ใต้ต้นท้อแบนคืนสู่ความเงียบสงบดังเก่า
หลินสวินสะสางทรัพย์หลังศึกรอบหนึ่ง ถูชิงสยงมีฐานะเป็นมกุฎมหาอริยะอันดับที่ยี่สิบเจ็ดของกระดานมหาอริยะฟ้าดารา ทรัพย์สินมั่งคั่งมากจริงๆ
แส้อสนีหยินม่วง สมบัติโบราณที่ตกทอดมานานเส้นหนึ่ง ความแกร่งกล้าของอานุภาพเรียกได้ว่าสะท้านโลก แม้แต่ดาบหักยังต้านการหวดของมันไม่ได้ เพียงคิดก็รู้ว่าไม่ธรรมดาปานไหน
กระบี่โบราณสีเขียวหม่นเล่มหนึ่ง ในสายตาผู้ฝึกปราณคนอื่น สมบัติบริสุทธิ์เช่นนี้กลับเป็นของไม่มีราคา ถูกหลินสวินโยนเข้าไปในธนูวิญญาณไร้แก่นสาร เป็นอาหารให้วิญญาณอาวุธอู๋เชวียฟื้นฟูพลังดั้งเดิมของตน
นอกจากนี้ถูชิงสยงยังพกโอสถเทพและสมบัติล้ำค่าไว้กับตัวไม่น้อย ต่างเป็นของดีชั้นหนึ่ง ถูกหลินสวินเก็บไว้ใช้เองทั้งหมดโดยไม่เกรงใจ
เมื่อทำทุกอย่างเสร็จแล้วหลินสวินก็นั่งขัดสมาธิ เอาท้อแบนออกมาผลหนึ่ง ลูกท้อสีแดงสดดั่งแสงสายันณห์ เปล่งปลั่งโปร่งใส ละอองแสงงดงามไหลหลั่ง กลิ่นสุคนธ์บริสุทธิ์ซึมซาบเข้าไปในใจ
ทันทีที่กลืนกิน กระแสร้อนระอุแปลกประหลาดแผ่กระจายไปทั่วร่าง หลินสวินเพียงรู้สึกว่าจิตวิญญาณส่งเสียงโครมครามดั่งรู้แจ้งกะทันหัน คล้ายกลายเป็นเซียนเหินขึ้นสวรรค์
พลังของท้อแบนนี้มหัศจรรย์เกินไป ทำให้กายและจิตของผู้ฝึกปราณรู้สึกสอดคล้องไปกับมรรค รู้แจ้งเห็นกระจ่างไม่เหมือนกับโอสถเทพ
ไม่นานหลินสวินก็จมจ่อมอยู่ในการแจ้งมรรคขั้นลึกซึ้ง
เขานั่งขัดสมาธิกับพื้น สีหน้าน่าเกรงขามยากจับต้อง รูขุมขนบนร่างกายทุกกระเบียดมีแสงมรรคไหวเคลื่อน เปล่งประกายสะดุดตา
ชั่วหนึ่งลมหายใจเข้าออก ปรากฏการณ์ประหลาดมหัศจรรย์ทั้งปวงปรากฏออกมาหลังศีรษะของเขา ทั้งเจินหลงท่องผงาด หยินหยางตัดสลับ เพลิงวารีเกลียวกลม
ทั้งยอดเอกอุหมุนเวียน หุบเหวกลืนกิน
และยังมีระลอกคลื่นที่เติบโตไม่ว่างเว้น ดั่งไม่เสื่อมสลายกำลังส่งเสียงเลื่อนลั่น
สิ่งเหล่านี้คือพลังมหามรรคทั้งหมดที่หลินสวินครอบครอง
จนกระทั่งต่อมา สารกาย พลังชีวิตและจิตวิญญาณภายในร่างหลินสวินส่งเสียงดังสนั่นราวกับภูเขาไฟปะทุ อวัยวะตันห้ากลวงหกเกิดท่วงทำนองอัศจรรย์ ส่งเสียงชิ้งๆ ดั่งเสียงทองและหยกประสานกัน
มองจากไกลๆ เงาร่างของเขาเหมือนเตาหลอมฟ้าดินเตาใหญ่ ยิ่งใหญ่และไร้ขอบเขต โคจรพลุ่งพล่าน บรรจุความเร้นลับมหามรรคทั้งหมด สำแดงนัยเร้นลับของวิชาลับทั้งปวง!
เพียงไม่กี่ชั่วยาม
พร้อมๆ กับเสียงสะเทือนฟ้าสะท้านดิน พื้นที่แถบนี้ต่างสั่นสะเทือน พลังชีวิตเจตะเข้มข้นถาโถมราวกระแสธาร ทะยานขึ้นมาจากทั่วสารทิศ พุ่งเข้าไปในร่างหลินสวินอย่างไม่ขาดสาย
ส่วนร่างของเขาก็เป็นดั่งหุบเหวไร้สิ้นสุด ดูดกลืนและหลอมรวมอย่างละโมบบ้าคลั่ง…
ภาพนี้น่าตกตะลึงนัก!
มองลงมาจากเวิ้งฟ้า ในแดนลับป่าท้อนี้ ทั้งป่าล้วนส่ายไหวดังซู่ซ่า พลังชีวิตเจตะที่แผ่ออกมาโถมไปยังที่ที่หลินสวินอยู่ทั้งหมด
พลังอันเกรียงไกรเหิมฮึกเช่นนั้น หากเปลี่ยนเป็นผู้ฝึกปราณคนอื่นย่อมไม่อาจรับไหวอยู่แล้ว อย่าว่าแต่หลอมเลย
แต่หลินสวินกลับไม่รู้สึกอะไรทั้งสิ้น เงาร่างเขาดั่งเตาหลอม โอบรับพลังทั้งแปดทิศ บรรจุสรรพสิ่ง หลอมรวมทุกอย่าง!
ที่ลึกลับที่สุดก็คือ ในใจของหลินสวินสถานการณ์กลับเป็นอีกอย่าง นัยเร้นลับมหามรรคอันเหลือเชื่อชนิดต่างๆ ปรากฏขึ้น ทำให้เขาจมสู่การหยั่งรู้ที่ลึกลงไป
ในความเร้นลับคือความเร้นลับ อัศจรรย์เกินบรรยาย
……
เพียงแค่สองวัน
โครม!
พลังขับเคลื่อนที่พลุ่งพล่านถึงขีดสุดทั้งตัวหลินสวินพลันทะลวงออกมาในตอนนี้ เปรียบดั่งทำลายปราการสวรรค์ ก้าวเข้าสู่ระดับมหาอริยะขั้นกลางอย่างราบรื่น!
ทั้งภายนอกและภายในร่างของเขาส่องแสงสว่างจ้า พลังถั่งโถมดั่งควันสัญญาณลอยสูงขึ้นไป ซัดเมฆแปดทิศให้แหลกกระจุย สั่นคลอนเวิ้งฟ้า
และทั้งหมดนี้ยังไม่จบ
พลังมหัศจรรย์ที่พลังของท้อแบนนำมา ทำให้หลินสวินยังจมอยู่ในสภาวะแจ้งมรรคอันพิสดารเช่นนั้น!
ไม่เพียงแค่พลังปราณเพิ่มสูงขึ้น การหยั่งรู้มหามรรค ความรู้ในวิชาของตน การหยั่งถึงคัมภีร์กลืนกินไร้สิ้นสุดของเขา…
ก็ล้วนเพิ่มสูงดั่งเป็นน้ำขึ้น!
……
สามวันผ่านไป
เตาหลอมที่ดูเหมือนจริงลอยอยู่เหนือหัวหลินสวิน
พื้นผิวเตาหลอมประทับด้วยวิชาลับต่างๆ ทั้งคัมภีร์กระบี่ไท่เสวียนสำแดงปราณกระบี่ปกคลุมสิบทิศ มีเทพแกว่งหมัดสะเทือนฟ้าดิน ทั้งเจินหลงร้องคำราม ร่างจำแลงร่างเก้าแบบ มีพลังดรรชนีไร้ขอบเขตปรากฏ สำแดงความอัศจรรย์กลางอากาศ…
เตาหลอมฉายแสงพลุ่งพล่าน วิชามรรคแต่ละวิชาต่างเผยการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด!
ที่แปรสภาพก่อนใครคือปราณกระบี่ไท่เสวียน
จากปราณกระบี่สามสิบสามชั้น วิวัฒน์เป็นภูเขาใหญ่ปราณกระบี่เจ็ดสิบสองลูก แต่ละลูกล้วนก่อตัวจากปราณกระบี่ไท่เสวียนสามพันแปดร้อยสาย!
อสูรปฐพีมีจำนวนเจ็ดสิบสองตัว จึงขนานนามว่า ‘เขากระบี่อสูรปฐพี’ !
ที่ตามมาติดๆ คือนัยเร้นลับของหนึ่งหมัดสะเทือนสวรรค์ถูกหลอมอย่างสมบูรณ์ แปรสภาพเป็นนัยเร้นลับอย่างหนึ่งในคัมภีร์เตาหลอมมหามรรค ไม่แบ่งแยกกันอีก
นับจากนี้เมื่อหลินสวินโคจรคัมภีร์เตาหลอมมหามรรค อานุภาพของมันมีพลัง ‘สะท้านสวรรค์สะเทือนปฐพี’!
จากนั้นเจินหลงเก้าร่างแปรสภาพ ควบรวมเป็นสัญลักษณ์อักษรเคราะห์ประทับบนเตาหลอม นัยเร้นลับของมันถูกหลอมเข้าไปในคัมภีร์เตาหลอมมหามรรคทั้งหมดเหมือนหนึ่งหมัดสะเทือนสวรรค์ มีความเยี่ยมยอดของการ ‘แปรเปลี่ยน’ เพิ่มเข้ามา
อย่างไรจึงเรียกว่าเปลี่ยนแปลง
เช่นมังกร เล็กได้ใหญ่ได้ ปรากฏได้ซ่อนได้ ยามใหญ่พลิกเมฆเรียกหมอก ยามเล็กเร้นตนซ่อนรูป ยามปรากฏท่องทะยานทั่วหล้า ยามหลบซ่อนเร้นกายในหุบเหว!
มังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปร เดิมเป็นมรดกลับของเผ่าเจินหลง และตอนนี้นัยเร้นลับของมันก็ถูกหลินสวินหลอมเข้าไปในวิชาแห่งตนทั้งหมด กลายเป็นส่วนหนึ่งของวิชาแห่งตนเหมือนหนึ่งหมัดสะเทือนสวรรค์
จนถึงท้ายที่สุด นัยเร้นลับของกระบวนเฉือนวัฏจักรฟ้าก็ถูกหลอมรวมแล้ว… ทำให้คัมภีร์เตาหลอมมหามรรคมีนัยเร้นลับแห่งความ ‘แหลมคม’ เพิ่มขึ้นมา
ดุดันหาใดเทียบ แกร่งกล้าเหนือทุกสิ่ง!
ภายหน้ายามหลินสวินโคจรคัมภีร์เตาหลอมมหามรรค ควบคุมดาบหักให้สำแดงหนึ่งกระบวนวัฏจักรฟ้า ก็สามารถผสานความอัศจรรย์แห่งการแปรเปลี่ยนของเจินหลงกับอานุภาพสะท้านสวรรค์สะเทือนดินเข้าไปได้ดั่งใจ อานุภาพย่อมไม่อาจเทียบได้กับแต่ก่อน!
เพียงแต่สุดท้ายหลินสวินก็ยังไม่สามารถหลอมนัยเร้นลับของ ‘ดรรชนีมหาอุดมสลายมายา’ กับ ‘คัมภีร์กระบี่ไท่เสวียน’ เข้าไปในวิชาของตัวเองได้
คัมภีร์กระบี่ไท่เสวียนพิเศษนัก วิชานี้เป็นมรดกตกทอดที่จักรพรรดิกระบี่อันดับหนึ่งแห่งยุคดึกดำบรรพ์หลงเหลือไว้ เป็นยอดวิชาคัมภีร์กระบี่มรรคจักรพรรดิที่แท้จริง
คิดจะหลอมมันเข้าไปในวิชาของตนเอง หลินสวินก็ต้องมีพลังปราณระดับจักรพรรดิเท่านั้น
ส่วนดรรชนีมหาอุดมสลายมายา ดูเหมือนมีแค่สามกระบวนท่า แต่เกี่ยวโยงถึงพลังกฎเกณฑ์ห้วงอากาศอันเป็นปริศนายากเข้าใจถึงที่สุด สำหรับหลินสวินในตอนนี้ก็ยังไม่อาจเข้าใจความเร้นลับของมันได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ ด้วยการวิวัฒน์ครั้งนี้ คัมภีร์เตาหลอมมหามรรคก็พัฒนาสมบูรณ์ขึ้นไปอีกขั้นหนึ่งแล้ว นัยเร้นลับกับอานุภาพที่บรรจุไว้อย่างน้อยก็แข็งแกร่งขึ้นหนึ่งเท่ากว่าเมื่อเทียบกับเมื่อก่อน!
อีกทั้งเมื่อวิชาที่หลินสวินหลอมในภายหน้ามีมากขึ้น พลังกับนัยเร้นลับของคัมภีร์เตาหลอมมหามรรคก็จะยิ่งมากขึ้นตามไปด้วย
นี่ก็คือวิชาแห่งตนของหลินสวิน ตั้งแต่ชั่วขณะที่ถูกรังสรรค์ขึ้น ก็ถูกกำหนดให้เป็น ‘วิชาหนึ่งเดียวในใต้หล้าและนิรันดร์กาล’!
……
เจ็ดวันผ่านไป
หลินสวินตื่นขึ้นจากการแจ้งมรรคขั้นลึกซึ้ง
แววตาเขากระจ่างและใสสะอาดประหนึ่งน้ำพุที่ใสที่สุดในโลก แต่กลับสามารถฉายส่องทั่วหล้า มองทะลุลักษณ์แห่งสรรพสิ่ง
ส่วนร่างเขาตั้งแต่หัวจรดเท้ามีท่วงทำนองมรรคไหลเคลื่อน ไร้มลทินสิ่งสกปรก ยากจับต้องเหนือธรรมดา
เพียงว่ากันด้วยรูปลักษณ์ภายนอก เว้นแต่มีระดับและพลังที่เหนือกว่าหลินสวิน หาไม่แล้วไม่ว่าใครก็ยากจะดูตื้นลึกหนาบางของเขาออก
นี่ก็เรียกว่า ‘กายาดั่งหุบเหว อานุภาพดุจว่างเปล่า’ ซ่อนมหาลักษณ์ไว้อย่างไร้รูป!
จิตใจหลินสวินแจ่มกระจ่าง ปลอดโปร่งอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
ชั่วพริบตาเขาก็รับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงทั้งมวลของพลังตัวเอง
ในด้านพลังปราณ อยู่ขั้นสมบูรณ์ของระดับมกุฎมหาอริยะขั้นกลาง หลอมรวมพลังหลอมจิต หลอมปราณและหลอมกายไว้ในหนึ่งเตา ก่อเกิดหนึ่งเดียวอันสัมบูรณ์
ด้านการแจ้งมรรค พลังมหามรรคทั้งปวงในตัวควบรวมเป็นกฎเกณฑ์มหาอริยะทั้งหมดแล้ว ทั้งยังได้รับการขัดเกลาไปอีกขั้น ยิ่งมั่นคงและบริสุทธิ์
ที่ไม่เหมือนแต่ก่อนก็คือการหยั่งรู้นัยเร้นลับห้วงอากาศว่างเปล่า จากเดิมที่อยู่ระดับแรกก้าวสำรวจ เลื่อนสูงขึ้นเป็นระดับเข้าถึงชำนาญ!
ด้านการฝึกยุทธ์ก็มีการเปลี่ยนแปลงมากมาย…
ขณะที่สงบใจหยั่งรู้การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้ หลินสวินกลับถอนใจเบาๆ เฮือกหนึ่งเหมือนยังไม่หายอยาก
‘สำหรับคนอื่นแล้ว ท้อแบนผลหนึ่งเทียบได้กับกรำฝึกร้อยปี แต่สำหรับข้าแล้ว อย่างมากก็เท่ากับกรำฝึกสิบปีเท่านั้น…;
แต่หลินสวินก็รู้ดี นี่คงเป็นเพราะรากฐานมรรควิถีของตนทรงพลังเกินไป
คนทั่วไปฝึกฝนร้อยปีย่อมไม่เหมือนกับเขาฝึกร้อยปี
แต่หลินสวินกลับไม่ได้ไม่ยินยอม
หรือควรพูดว่า สามารถใช้เวลาสั้นๆ ไม่ถึงเจ็ดวัน ทำให้เกิดการพัฒนาที่ต้องกรำฝึกเป็นสิบปี ก็ทำให้หลินสวินสะท้านไหวและประหลาดใจแล้ว
การฝึกปราณ แต่ไหนแต่ไรไม่ใช่ยิ่งฝึกเร็วยิ่งดี แต่อยู่ที่ระหว่างการเสาะแสวงมรรคา รากฐานที่ขัดเกลาได้ในระดับนี้มั่นคงและแข็งแกร่งหรือไม่
นี่จึงจะเป็นแก่นของการฝึกปราณ และเป็นตัวตัดสินความสำเร็จที่ผู้ฝึกปราณคนหนึ่งจะได้รับในภายหน้า!
ความจริงแล้วถ้าคำนวณโดยละเอียด ตั้งแต่หลินสวินฝึกปราณจนตอนนี้ ในเวลาไม่ถึงร้อยปีก็บรรลุระดับมกุฎมหาอริยะ ความเร็วในการฝึกปราณเช่นนี้เรียกได้ว่าน่าตื่นตะลึงแล้ว
แม้แต่บนทางเดินโบราณฟ้าดาราก็ยังเรียกได้ว่าเป็นปีศาจแห่งยุค
แน่นอนว่ามรรคาของหลินสวิน สิ่งที่ไขว่คว้าไม่เคยเป็นความเร็ว แต่เป็น ‘มีข้าไร้ศัตรู โดดเด่นชั่วกัลป์’!
‘ด้วยพลังของข้าในตอนนี้ ฆ่าคนอย่างเยี่ยนฉุนจวินก็ไม่เปลืองแรงเป่าฝุ่น…’
ความเชื่อมั่นในตัวเองปรากฏขึ้นในดวงตาหลินสวิน นี่เป็นความโอหังราวไร้ศัตรูเทียมทาน
ตอนนี้เขาเพียงต้องการลองดูว่าถ้าเป็นคนอย่างซาหลิวชิง จะสามารถรับได้กี่กระบวนท่า!
“ยินดีด้วยพี่หลิน การฝึกมรรคก้าวหน้าไปอีกขั้นแล้ว!”
ข้างๆ กันเสียงกังวานเสนาะหูเสียงหนึ่งดังขึ้น อาหูในชุดสีเหลือง ใบหน้าไร้การแต่งแต้มยิ้มมองมา
ตัวนางในตอนนี้ดวงตาสุกสกาว ริมฝีปากอิ่มเอิบ ผิวพรรณขาวเปล่งปลั่ง ร่างกายอ้อนแอ้นอรชร ฉายความสง่างามน่าตื่นตะลึง ไม่ว่าจะยิ้มแย้มหรือนิ่วหน้าก็ล้วนมีเสน่ห์เย้ายวนใจ เป็นที่ชื่นชอบทั้งใต้หล้า
ยามไม่ยิ้มกลับเหมือนนางเซียนเยือนโลก ความสง่างามทั้งสองหลอมรอมอยู่ด้วยกัน เกิดเป็นความงดงามที่ทำให้ฟ้าดินหม่นหมอง
“เจ้าก็เช่นกัน”
หลินสวินยิ้มให้ เขาดูออกแล้วว่าหลังจากอาหูกินท้อแบนผลหนึ่ง พลังก็แปรสภาพอย่างน่าตกตะลึง
ทั้งสองต่างยิ้มอย่างอดไม่ได้แล้ว
การเดินทางมายังแดนลับป่าท้อคราวนี้ให้ผลเก็บเกี่ยวน่าตื่นตะลึงอย่างยิ่งสำหรับทั้งสอง และเช่นเดียวกัน ตอนนี้ก็ได้เวลาจากไปแล้ว
ทั้งสองสนทนากันเล็กน้อยก็ตัดสินใจออกเดินทางทันที
แดนลับป่าท้อเป็นเพียงหนึ่งในแดนวาสนามากมายของโบราณสถานคุนหลุน ทั้งสองย่อมไม่สิ้นเปลืองเวลาทั้งหมดที่นี่
ก่อนไปจู่ๆ หลินสวินก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ ทันใดนั้นก็เอาทวนยาวออกมาเสียบลงไปในผืนดินใต้เท้าตนอย่างแรง
เคร้ง!
ที่เหนือความคาดหมายก็คือ ฟ้าดินแห่งนี้ดันแข็งแกร่งหาใดเปรียบ เทียบได้กับโลหะเทพที่แข็งที่สุดในโลก สั่นสะเทือนจนง่ามมือหลินสวินชาหนึบไปครู่หนึ่ง ทวนยาวในมือยังส่งเสียงวิ้งไม่หยุด
“นี่เจ้าทำอะไร”
อาหูอึ้งไป
“ขุดเอาดินอัศจรรย์ห้าสีเหล่านี้กลับไปปลูกต้นไม้”
หลินสวินเอ่ยปาก เขานิ่วหน้าเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าผืนดินแห่งนี้จะถึงกับแข็งปานนี้
หลินสวินนิ่งคิดแล้วลองดูอีกหลายครั้ง แต่ล้วนไม่ได้ดั่งใจ ความแข็งของดินที่นี่ทำเอาเขายังรู้สึกเหลือเชื่ออย่างอดไม่ได้
ก็ในตอนนี้เอง เสียงหัวเราะคล้ายหน่ายใจเสียงหนึ่งดังขึ้นในใจหลินสวิน