Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1736 ความลับสะเทือนใต้หล้า

เมื่อมองไปที่ภาพหมื่นวิญญาณเซ่นไหว้บนกำแพง ในหัวหลินสวินก็ปรากฏเรื่องในอดีตบางส่วนเมื่อปีนั้นขึ้นมาอีกครั้ง

ปีนั้นยามเทศกาลโคมกถามรรคที่แดนฐิติประจิมปิดฉาก เคยมีโอสถราชันกายสิทธิ์ต้นหนึ่งปรากฏ อุปนิสัยเหมือนอันธพาลเฒ่า

แต่ก็เป็นโอสถราชันกายสิทธิ์ต้นนี้ที่ทำให้หลินสวินได้รู้เรื่องบางอย่างเกี่ยวกับ ‘ระฆังมหามรรคไร้กฎ’

‘เมื่อเสียงระฆังดังขึ้นครั้งหนึ่ง ก็หมายถึงพลังของสรรพชีวิตรวมตัวกัน สามารถเปลี่ยนแปลงจักรวาลโดยง่าย ทำให้ผีเทพถอยหนี ลี้ลับถึงที่สุด หากผู้ใดได้ครอบครอง ผู้นั้นก็เท่ากับถือครองพลังแห่งสรรพชีวิต!’

มันยังเคยพูดว่า ‘ระฆังมหามรรคไร้กฎนั่นเป็นตัวแทนของพลังแห่งสรรพชีวิตทั้งมวล ตอนนั้นที่เหล่าอริยะหลอมขึ้นสำเร็จ ก็เพราะสมบัตินี้ละเมิดข้อห้าม ได้รับการลงทัณฑ์จากสวรรค์อย่างไม่เคยมีมาก่อน แม้ว่าจะได้มา ก็ไม่อาจใช้ได้ในเวลาอันสั้น’

‘แต่ถ้าอยากใช้สมบัตินี้ ก็ต้องมีพลังแห่งสรรพชีวิต!’

‘พลังแห่งสรรพชีวิต เกี่ยวข้องกับแรงปรารถนาแห่งสรรพชีวิต มีเพียงผู้เก่งกาจที่สักการะอริยมรรคสำเร็จถึงสามารถไปรวบรวมได้’

ตอนนั้นหลินสวินจำได้ชัดเจน ตามตำนานอริยบุคคลดึกดำบรรพ์เผยแพร่มรรคแก่ใต้หล้า สั่งสอนกล่อมเกลาสรรพชีวิต ย่อมได้รับความเลื่อมใสศรัทธาจากสรรพชีวิตโดยไม่อาจกำหนดได้ และรวมตัวเป็นพลังลี้ลับอย่างหนึ่ง…

แรงปรารถนา!

เหมือนดั่งรูปปั้นทวยเทพในอาราม ได้รับการบูชากราบไหว้จากปุถุชนมานานปี ย่อมมีกลิ่นอายน่าเกรงขามน่าหวาดกลัวเป็นธรรมดา

กลิ่นอายเหล่านั้นก็คือแรงปรารถนาอันผิวเผินอย่างหนึ่ง

ทว่าแรงปรารถนาสำหรับผู้ฝึกปราณนั้นกลับต่างออกไป เป็นตัวแทนแห่งภาพที่วาดหวังในวิถีบำเพ็ญเพียรอันยิ่งใหญ่ อริยบุคคลที่แท้จริงทุกคนล้วนตั้งปณิธานมหามรรคอันเกริกไกรของตนเอง

เพื่อสิ่งนี้ อริยะบางคนเลือกเข้าสู่สังคม สั่งสอนสรรพชีวิต ส่งเสริมปณิธานอันยิ่งใหญ่ของตน ได้รับศรัทธาและการยอมรับจากสรรพชีวิต ก็จะได้รับแรงปรารถนาของสรรพชีวิตอย่างไม่ขาดสาย

เช่นเดียวกัน อริยะบางคนเลือกออกจากสังคม ใช้ภาพที่วาดหวังของตนพิสูจน์กับหมื่นมรรคทั่วหล้า ยามแผ้ววิถีบำเพ็ญเพียรใหม่หรือบุกเบิกวิชามรรคใหม่ก็จะได้รับแรงปรารถนาเช่นกัน

แรงปรารถนาเช่นนี้ยังถูกเรียกว่า ‘แรงปรารถนามหามรรค’

ไม่ว่าจะเข้าสู่สังคมหรือปลีกตัวออกจากสังคม หากหมายแปรเปลี่ยนจาก ‘อริยะ’ เป็น ‘อริยบุคคล’ ก็ย่อมสัมพันธ์กับแรงปรารถนาอย่างแยกไม่ออก

หลินสวินยังจำได้ ตอนนั้นในป่าต้นหม่อนที่สมรภูมิกระหายเลือด จักจั่นทองลึกลับตัวนั้นก็เคยตั้งปณิธานหนึ่งที่สามารถสะเทือนใต้หล้า เกริกก้องไปชั่วกัปกัลป์…

ฝันว่าสักวันหนึ่ง สรรพชีวิตในใต้หล้าล้วนสามารถกลายเป็นอริยะ!

นี่เป็นปณิธานมหามรรคอย่างหนึ่งเช่นกัน

นึกถึงตรงนี้หลินสวินก็นึกถึงตอนที่ลู่เสวียนจีเผชิญหน้ากับกำแพงหิน และทดลองดำเนินการไปหลายครั้งเมื่อครู่นี้ขึ้นมาอีกคราอย่างอดไม่อยู่

ลู่เสวียนจีเชื่อว่าในภาพหมื่นวิญญาณเซ่นไหว้นี้ซ่อนพลังแห่งสรรพชีวิตไว้ ขอแค่ครอบครองมันได้ก็จะสักการะอริยมรรคสำเร็จ กลายเป็นอริยบุคคลที่แท้จริง ไม่ใช่แค่อริยะ

อริยบุคคลและอริยะ ขาดเพียงหนึ่งอักษร แต่แตกต่างกันสุดขั้ว

มีเพียงคนที่สักการะในระดับมหาอริยะสำเร็จจึงจะเรียกได้ว่าเป็น ‘อริยบุคคล’ สามารถครอบครองพลังแห่งสรรพชีวิต ในภายหน้าก็จะกลายเป็นราชันอริยะบนมกุฎมรรคาได้!

ด้วยเหตุนี้ลู่เสวียนจีจึงลองหยั่งเชิงดูหลายครั้ง แต่สุดท้ายก็ยังล้มเหลว

นึกถึงเรื่องในอดีตบางส่วนในปีนั้น เปรียบเทียบกับคำพูดของลู่เสวียนจีอีกครั้งตอนนี้แล้ว หลินสวินสัมผัสได้ยิ่งกว่าเดิมว่าระฆังมรรคใบนั้นที่อยู่ในภาพหมื่นวิญญาณเซ่นไหว้นี้ มีโอกาสสูงที่จะเป็นระฆังมหามรรคไร้กฎ!

‘สักการะอริยมรรคจึงกลายเป็นอริยบุคคล คำว่าบุคคลคำเดียวนี้ ก็แบ่งแยกจากอริยะคนอื่นได้ทั่วหล้า’

‘ดังคำกล่าวที่ว่า ‘พบผู้ประเสริฐจงถือเอาเป็นแบบอย่าง’ สิ่งนี้หมายถึงระดับของขอบเขตการฝึกปราณ และเป็นพลังที่เหนือกว่าอริยะอย่างหนึ่ง’

หลินสวินตกอยู่ในห้วงคิด เขาฝึกปราณถึงขั้นสมบูรณ์ในระดับมหาอริยะขั้นกลางแล้ว ย่อมรู้ชัดถึงความแตกต่างของอริยะและอริยบุคคลเป็นธรรมดา

ด้วยมีเพียงอริยบุคคลที่กลายเป็นราชันอริยะบนมกุฎมรรคาได้!

สำหรับอริยะ บางทีอาจได้เลื่อนขั้นเป็นระดับราชันอริยะ แต่ถูกลิขิตให้ไร้วาสนากับมกุฎมรรคา!

เดิมทีตามแผนการของหลินสวิน เมื่อก้าวเข้าสู่ระดับมหาอริยะขั้นสมบูรณ์ เขาจึงจะพิจารณาเรื่องอุทิศตนเป็นอริยบุคคล

แต่ตอนนี้เบื้องหน้าก็มีโอกาสเช่นนี้เกิดขึ้นแล้ว!

ในที่สุดหลินสวินก็สูดหายใจลึก ตัดสินใจลองดู

ฮูม…

เขาแผ่จิตรับรู้เข้าไปในภาพหมื่นวิญญาณเซ่นไหว้ที่อยู่บนกำแพงนั่น กายใจเขาพลันสั่นสะท้านทันที ในหัวเหมือนมีเสียงระฆังเก่าแก่ทรงพลังดังขึ้น

ในความรางเลือนเหมือนเห็นระฆังมรรคใบหนึ่งผลุบโผล่อยู่ในกาลเวลามาตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน มันยิ่งใหญ่ไร้สิ้นสุด สีเขียวสำริดทั่วทั้งใบ ปกคลุมด้วยลายมรรคเก่าแก่แน่นขนัด

เมื่อมันสั่นคลอน เสียงระฆังจะดังก้องเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดิน พิบัติสวรรค์ หายนะ สิ่งชั่วร้าย ความลำเค็ญที่อัดแน่นบนโลกล้วนสลายหายไปท่ามกลางเสียงระฆัง

สิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนที่ประสบหายนะล้วนซาบซึ้งใจ หมอบคลานลงกับพื้น ก้มกราบด้วยความเลื่อมใสศรัทธา…

แรงปรารถนาของสรรพชีวิตมากมายก่อเกิด ราวกับควันแห่งความเลื่อมใสศรัทธา และถูกระฆังมรรคใบนั้นดูดกลืนอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย

ตูม!

ไม่นานภาพพวกนี้ก็สลายหายไป เหลือเพียงระฆังมรรคใบหนึ่งที่ผลุบโผล่อยู่ในสายน้ำแห่งกาลเวลา เสียงเก่าแก่เรียบง่ายดังขึ้น

เสียงระฆังหมายถึงสรรพชีวิต เมื่อเสียงระฆังกังวาน ก็หมายความว่าพลังที่เกิดจากเจตจำนงของสรรพชีวิตสามารถพลิกฟ้าดิน กำจัดภัยพิบัติได้!

พร้อมกันนี้ในใจหลินสวินก็เกิดการหยั่งรู้มากมาย

อริยะ สื่อถึงระดับของการฝึกปราณอย่างหนึ่ง

ผู้ที่อาศัยพลังแห่งตนสั่งสอนสรรพชีวิต ได้รับการยอมรับและความเลื่อมใสศรัทธาจากสรรพชีวิต ย่อมได้ครอบครองพลังแห่งสรรพชีวิต เช่นนี้จึงเรียกได้ว่าเป็นอริยบุคคล!

เช่นเดียวกัน ผู้ที่ตั้งปณิธานมหามรรคของตนพิสูจน์กับปวงสวรรค์ บุกเบิกมรรคาใหม่ สร้างวิชามรรคใหม่เพื่อคนรุ่นหลัง ก็จะถือครองแรงปรารถนามหามรรค ถูกเรียกว่าอริยบุคคลได้เช่นกัน

สรุปง่ายๆ ก็คือการเป็นอริยบุคคลมีสองเส้นทาง อย่างหนึ่งคือครอบครองแรงปรารถนาของสรรพชีวิต อีกอย่างคือถือครองแรงปรารถนามหามรรค

‘ข้าฝึกปราณมาถึงตอนนี้ เสาะหามรรคาที่ทั่วหล้าไม่เคยมีมาก่อน ก็เหมือนเปิดเส้นทางใหม่ให้คนรุ่นหลัง’

ในดวงตาดำหลินสวินแผ่ประกายเฉลียวฉลาด ‘ข้าสร้างวิชาแห่งตนในระดับอริยะ ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันไม่เคยมีมาก่อนเช่นกัน เท่ากับเป็นการสร้างวิชามรรคให้คนรุ่นหลังใหม่ทั้งหมด…’

‘เมื่อข้าอยู่ในระดับมหาอริยะขั้นสมบูรณ์ แน่นอนว่าต้องครอบครองแรงปรารถนามหามรรค ถือโอกาสอุทิศตนเป็นอริยบุคคล!’

เมื่อเข้าใจจุดนี้แล้ว ยามหลินสวินมองไปยังภาพหมื่นวิญญาณเซ่นไหว้นั้นอีกครั้ง สภาวะจิตก็เปลี่ยนเป็นผ่องแผ้วว่างเปล่า ไม่ขวนขวายปรารถนา

สำหรับลู่เสวียนจี พลังแห่งสรรพชีวิตที่ซ่อนอยู่ในภาพหินสลักนี้เรียกได้ว่าเป็นศุภโชคชั้นยอด

แต่ในสายตาหลินสวินกลับดูเลือนรางถึงที่สุด

เขาไม่เคยเผยแพร่มรรคแก่ใต้หล้าหรือสั่งสอนสรรพชีวิต แน่นอนว่าไม่ให้ความสำคัญกับการได้รับการยอมรับและความเลื่อมใสศรัทธาจากสรรพชีวิตเป็นธรรมดา

หรือพูดได้ว่าหลินสวินไม่มีความคิดจะเป็นตัวแทนของสรรพชีวิตแต่แรก แน่นอนว่าไม่คิดกอบโกยแรงปรารถนาของสรรพชีวิตอะไร

สิ่งเดียวที่หลินสวินอยากรู้ตอนนี้คือ ทำไมภาพของระฆังมหามรรคไร้กฎถึงปรากฏอยู่ในพื้นที่ของหนึ่งในแดนเก้าลับแห่งคุนหลุนนี้

หรือว่าระฆังนี้จะเป็นสิ่งที่ตกทอดมาจากแหล่งสถานคุนหลุน

ขณะที่หลินสวินกำลังใคร่ครวญ ในใจก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นทันใด…

‘สหายน้อย ทำไมไม่ใช้ขวดมหามรรคไร้ขอบเขตเก็บพลังแห่งสรรพชีวิตไปเล่า’

เสียงทรงพลังราวกับเสียงระฆังดังก้อง!

‘ใครกัน’

หลินสวินตกตะลึง จากนั้นในหัวก็มีภาพของระฆังมรรคสำริดใบหนึ่งปรากฏออกมาตามธรรมชาติ เก่าแก่และทรงพลัง กลิ่นอายที่ดูลึกลับสูงส่งแผ่อบอวล

‘สหายน้อยอย่าตกใจ แดนเก้าลับแห่งคุนหลุนนี้ต่างมีสมบัติเก้าชิ้นซ่อนอยู่ ล้วนเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจาก ‘เตามารดาหลอมสมบัติ’ เมื่อนานมาแล้วสมบัติเก้าชิ้นนี้ถูกผู้มีวาสนาเก้าคนเอาไปทีละชิ้น’

‘ส่วนข้าก็เป็นเจตจำนงของระฆังมหามรรคไร้กฎ’

เสียงระฆังที่ก้องกังวานในหัวเปลี่ยนเป็นคำพูด และเอ่ยพูดให้หลินสวินฟัง

ในใจเขาสั่นสะท้าน เป็นระฆังมหามรรคไร้กฎดังคาด!

หลินสวินอดกล่าวในใจไม่ได้ ‘เตามารดาหลอมสมบัติหรือ จะใช่เตาหลอมสมบัติใบนั้นที่กลายเป็น ‘แดนหลอมสมบัติ’ หรือไม่’

เขายังจำได้ชัดเจน ตอนนั้นบนภูเขากลับหัวที่แดนหลอมสมบัติ เขาเคยได้รับก้อนทองแดงดำสนิทก้อนหนึ่ง ของสิ่งนี้ทำให้เขาเห็นภาพที่สะเทือนใต้หล้าบางส่วน

ตัวอย่างเช่น ก้อนทองแดงนี้ก็คือสิ่งที่เตาหลอมสมบัติใบหนึ่งเหลือทิ้งไว้

และในตอนแรกก็เคยมีสมบัติจักรพรรดิวิถีเก้าชิ้น เกิดขึ้นมาจากเตาหลอมสมบัตินี้พร้อมกัน!

สมบัติจักรพรรดิวิถีเก้าชิ้นนั้น แบ่งเป็นกระบี่เทพเล่มหนึ่ง ทวนเล่มหนึ่ง โคมสำริดดวงหนึ่ง ธงรบผืนหนึ่ง ประทับมรรคดวงหนึ่ง ขวดหยกใบหนึ่ง เกราะชุดหนึ่ง จานหยกใบหนึ่ง ดาบเทพเล่มหนึ่ง

‘ไม่ผิด’

เสียงของเจตจำนงที่ระฆังมหามรรคไร้กฎเหลือทิ้งไว้ดังขึ้น ‘เตามารดาหลอมสมบัติหล่อเก้าศาสตราจักรพรรดิเพื่อปกป้องคุนหลุน แต่ก็ด้วยละเมิดข้อห้ามจึงประสบมหาเคราะห์อย่างไม่เคยมีมาก่อน ทำให้เตามารดาหลอมสมบัติหายไปอย่างสิ้นเชิง’

‘ส่วนศาสตราจักรพรรดิเก้าชิ้นนี้ก็ซ่อนอยู่ในแดนเก้าลับนี่ ในเวลาต่อมาถูกผู้มีวาสนาคนแล้วคนเล่าเก็บเอาไป’

ถึงตอนนี้หลินสวินเข้าใจแล้ว

แดนหลอมสมบัติคือสถานที่ซึ่งวิวัฒน์มาจากซากเตามารดาหลอมสมบัติ ส่วนศาสตราจักรพรรดิเก้าชิ้นที่เคยถูกเตามารดาหลอมสมบัติหลอมออกมาในปีนั้น ก็กระจายกันไปซ่อนอยู่ใน ‘แดนเก้าลับแห่งคุนหลุน’ นี้ตั้งแต่ตอนนั้น!

ที่น่าเสียดายคือในช่วงเวลาที่ผ่านมา ทยอยมีคนมาที่นี่และนำศาสตราจักรพรรดิทุกชิ้นนี้ไปแล้ว…

‘ข้าสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของขวดมหามรรคไร้ขอบเขตบนตัวเจ้า ของสิ่งนี้ก็เป็นหนึ่งในเก้าศาสตราจักรพรรดิ เดิมซ่อนอยู่ใน ‘ทะเลสาบไร้ขอบเขต’ หนึ่งในแดนเก้าลับแห่งคุนหลุน ต่อมาถูกผู้สืบทอดแห่งคีรีดวงกมลคนหนึ่งที่มีชื่อว่า ‘หลี่เสวียนเวย’ เอาไป’

ผู้สืบทอดแห่งคีรีดวงกมล!

หลี่เสวียนเวย!

หลินสวินตกตะลึง ไม่ใช่ว่าเขาเป็น ‘ศิษย์พี่’ คนหนึ่งของตนหรือ

‘หลี่เสวียนเวยเป็นคนที่น่าสนใจมากคนหนึ่ง เป็นคนเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ อุปนิสัยงามสง่า ตอนที่เขาจากไป ข้าเคยพึ่งพาพลังของต้นเทพชางอู๋ มุ่งหน้าไปที่ดินแดนรกร้างโบราณพร้อมกับเขา…’

เสียงของระฆังมหามรรคไร้กฎดังขึ้นอีกครั้ง ‘ต่อมาหลี่เสวียนเวยและศิษย์พี่ศิษย์น้องของเขาต้องการมุ่งหน้าไปแจ้งมรรคบนฟ้าดารา ดังนั้นจึงออกจากดินแดนรกร้างโบราณไป’

‘ก่อนจากไปหลี่เสวียนเวยนำขวดมหามรรคไร้ขอบเขตทิ้งไว้บนเขาพยับครามลูกนั้น บอกว่าสักวันหนึ่งต้องมีผู้สืบทอดของคีรีดวงกมลมาที่นี่แน่ ขวดมหามรรคไร้ขอบเขตนี้เป็นของขวัญแรกพบที่เขาเหลือไว้ให้ศิษย์น้อง’

หลินสวินอึ้งงันอย่างสมบูรณ์แล้ว

เขานึกถึง ‘เทศกาลโคมกถามรรค’ ที่เปิดฉากบนเขาพยับครามขึ้นมา!

นึกถึงขวดมหามรรคไร้ขอบเขตที่ได้มาจากการทดสอบรอบที่สองของเทศกาลโคมกถามรรค

ตอนนั้นเมื่อการทดสอบปิดฉาก เคยมีภาพประทับที่ชายหญิงกลุ่มหนึ่งเหลือไว้ปรากฏออกมา บอกลาเขาและเรียกเขาว่า ‘ศิษย์น้อง’!

หลินสวินจำได้อย่างชัดเจน ตอนนั้นเคยมีชายหนุ่มคนหนึ่งที่ราศีจับเปล่งประกาย ท่าทางงามสง่า ถูกเรียกว่า ‘ศิษย์พี่หลี่’ เคยกล่าวว่า

‘เมื่อก้าวเข้าสำนักนี้ ไม่ว่าอายุมากน้อยเพียงใดก็ล้วนแต่เป็นพี่น้องกันทั้งสิ้น ศิษย์น้อง สักวันพวกเราจะได้พบกันบนวิถีแห่งมหามรรค รักษาตัวด้วย!’

……………

Battling Records of the Chosen One

Battling Records of the Chosen One

BRCO, Tian Jiao Zhan Ji, 天骄战纪
Score 8
Status: Ongoing Type: Author: , Released: 2016 Native Language: Chinese
ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์ ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้ แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน… In the vast and boundless continent Cangtu, there were ancient sects governing the Ten Old Domains, unworldly immortal clans beyond the Blue Sky, and primordial demon gods dominating the dark abyss that together created a great number of brilliant stories over the long course of the history. In this very world, there was a boy, named Lin Xun, who embarked on his journey to the pinnacle of strength alone through cultivation and spiritual tattoo inscribing. Escaping alone from the Mine Prison where he had been living since he was adopted by Master Lu, Lin Xun knew nothing about his identity but the little information his adopter, Master Lu, had told him. With two ancient spiritual tools Master Lu gave to him before the destruction of the Mine Prison, Lin Xun started his journey to Ziyao Empire, where he is supposed to find out the truth of his lost Spiritual Vessel and the person who slaughtered his family, leaving him orphaned. Will he be able to unlock the mysteries of the two magic treasures, unveil the secrets of his identity and create a legend of his own?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset