พรวด!
ทันทีที่ลงมือ เงาร่างอาหูดุจดั่งละอองแสงกลุ่มหนึ่ง พลันปราฏอยู่เบื้องหน้าผู้แข็งแกร่งคนหนึ่ง ข้อมือขาวเนียนดุจต้นหอมหมุนวน
เจตกระบี่สีม่วงกลางฝ่ามือใช้อานุภาพดุกร้าวไร้ศัตรูทัดเทียมตัดคอคนผู้นั้นขาด หัวใหญ่ๆ หัวหนึ่งลอยคว้างกลางอากาศ
ยามเลือดของศพไร้หัวพ่นกระฉูดออกมาราวน้ำตก เงาร่างอาหูก็หายไปจากจุดเดิมนานแล้ว ดุจดั่งภาพฝันมายา พุ่งไปฟันใส่อีกเป้าหมายหนึ่ง
เสียงร้องตกใจดังขึ้นทั่วในที่นั้น
อาหูที่ก่อนหน้านี้คอยดูอยู่ข้างๆ เรื่อยมา แม้รูปโฉมจะเหมือนเซียน เย้ายวนจับจิต ทว่ากลับถูกคนมองเป็นบ่าวติดตามข้างกายหลินสวินตามจิตใต้สำนึก
จนกระทั่งเวลานี้นางลงมือ ใช้ฝีมือที่เฉียบขาดฉับไว ท่วงท่าแผ่วพลิ้วเหมือนภาพมายา ฆ่าศัตรูได้ในพริบตาเดียว ผู้คนถึงได้ตกใจ
ที่แท้หญิงสาวคนนี้หาใช่พวกรังแกได้ง่ายๆ!
วิธีการต่อสู้ของนางต่างจากหลินสวินโดยสิ้นเชิง เห็นชัดว่ารางเลือนยิ่ง เงาร่างว่าเปล่าปานหมอกควัน และเร็วอย่างน่าเหลือเชื่อ
ผู้แข็งแกร่งที่กรูเข้ามาเหล่านั้นไม่มีใครไม่หน้าเปลี่ยนสี ประหนึ่งเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ ล้วนไม่กล้าดูเบาอีก ลงมือเต็มกำลังอย่างไม่ลังเลสักนิด
ชั่วขณะเดียวแสงสมบัติไหลหลั่ง วิชามรรคโจรกึกก้อง ล้วนพุ่งเข้าใส่อาหูคนเดียว!
“จะแข่งว่ามีสมบัติวิชามากเท่าไหร่หรือ”
อาหูแย้มยิ้ม ยวนเย้ายิ่งยวด เปี่ยมเสน่ห์เหลือคณา
เมื่อนางกวักมือคราหนึ่ง
สวบๆๆ!
กระบี่บินเขียวเจิดจ้าสิบสามเล่มโฉบออกมา กระบี่บินแต่ละเล่มล้วนประทับลายมรรค ดุจดั่งปลาบินฝูงหนึ่งแหวกว่ายทะลวงห้วงอากาศ ประพรมปราณกระบี่แน่นขนัดนับไม่ถ้วนลงมา
กระบี่มรรคอาคเนย์เขียวหนึ่งชุดเต็ม!
อาหูดีดนิ้วคราหนึ่ง กระบี่มรรคฝูงหนึ่งทะยานกึกก้อง เข่นฆ่าทั่วหล้า เสียงกระบี่ครวญดังชิ้งๆ ดังก้องฟ้าดิน
“ทะยาน!”
อาหูดึงปิ่นไม้เล่มหนึ่งที่เสียบผมออกแล้วโยนไปกลางอากาศ ปิ่นไม้กลายเป็นหงส์แท้สีดำตัวหนึ่ง ปีกสองข้างมีเพลิงเทพดำสนิทรินไหลออกมา เสียงร้องใสสะท้านเก้าสวรรค์ ผลาญฟ้าดับปฐพี
นี่ยังไม่ถือว่าจบ ในเวลาต่อมาอาหูเรียกธงวิญญาณเขียวมรกตออกมาอีก สะท้อนภูผาธาราหมื่นลักษณ์
โคมพระราชวังรูปดอกบัวดวงหนึ่ง แบ่งเป็นสิบสองมุม สะท้อนเงามายาเซียนสิบสองคน กรีดกรายร่ายรำกลางห้วงอากาศดุจดั่งเหินฟ้า
ระฆังทองแดงสีม่วงอ่อนคู่หนึ่ง เสียงไพเราะเสนาะหู ปลดปล่อยคลื่นเสียงสีม่วงออกมา แผ่กว้างดุจดั่งเกลียวคลื่น
มุกสมบัติสีเขียวครามเส้นหนึ่ง…
ภาพมรรคที่มีดอกกุหลาบพันปีสีเลือดผลิบานภาพหนึ่ง…
คทาสมประสงค์สีทองที่หัวท้ายสลักลายมรรคพยัคฆ์มังกรด้ามหนึ่ง…
ชั่วขณะเดียวข้างกายอาหูถูกแสงสมบัติเต็มฟ้ารายล้อม สมบัติมากมายไม่มีชิ้นไหนไม่เปี่ยมด้วยพลัง วิเศษมหัศจรรย์สุดหยั่ง ปลดปล่อยลักษณ์ประหลาดแตกต่างกันออกมา
ย้อมห้วงอากาศแถบนี้กลายเป็นสีสันงดงามตระการตา สวยงามโดยแท้
“สวรรค์!”
“นี่แม่ง…”
“โคตรรวยเกินไปแล้ว คนผู้นี้เป็นเซียนสะสมสมบัติหรือ”
ผู้แข็งแกร่งจำนวนหนึ่งที่ชมการต่อสู้อยู่ไกลๆ ลูกตาแทบถลนออกมา สีหน้าหลากหลายหาใดเปรียบ
ภาพนี้แสดงให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรมว่าอะไรที่เรียกว่ามั่งคั่ง อะไรที่เรียกว่ามากพร้อมด้วยทรัพย์สมบัติ!
ที่ทำให้คนตาลุกมากที่สุดคือ สมบัติแต่ละชิ้นนั่นล้วนเรียกได้ว่าเป็นสมบัติอริยะโบราณที่วิเศษอัศจรรย์หาใดเปรียบ มีอานุภาพแห่งตน หายากสุดขีด
หากได้ครอบครองสมบัติสักชิ้นสองชิ้นในจำนวนนั้น ล้วนสามารถทำให้ผู้ฝึกปราณคนใดก็ตามพึงพอใจ
แต่ตอนนี้อาหูโบกมือง่ายๆ ก็เรียกสมบัติโขยงใหญ่ออกมาได้ ภาพนี้สะท้านสะเทือนเกินไปแล้ว
ควรรู้ว่าเหล่าผู้แข็งแกร่งในที่นี้ แทบทั้งหมดล้วนมาจากขุมอำนาจชั้นยอดบนทางเดินโบราณฟ้าดารา อย่างหกเรือนมรรคใหญ่ สิบเผ่านักรบใหญ่ แต่ละคนล้วนมีพื้นเพมั่งคั่ง หาใช่คนที่ผู้ฝึกปราณทั่วไปจะเทียบรัศมีได้
แต่เมื่อเผชิญหน้ากับเหตุการณ์เช่นนี้ คนไม่น้อยแทบจะละอายจนโงหัวไม่ขึ้น ทำได้เพียงถอนใจที่สู้ผู้อื่นไม่ได้!
นับจากอดีตเป็นต้นมา บนทางเดินโบราณฟ้าดาราเคยมี ‘มหาจักรพรรดิมากสมบัติ’ อยู่คนหนึ่ง พลังต่อสู้ในระดับจักรพรรดิเรียกได้ว่าพอถูไถ แต่กลับเป็นพวกร้ายกาจที่แค่เอ่ยถึงคนก็หน้าเปลี่ยนสีคนหนึ่ง
หากไม่จำเป็นไม่มีใครอยากเป็นศัตรูกับเขา สาเหตุนั้นง่ายดายยิ่ง มหาจักรพรรดิมากสมบัติอะไรล้วนขาดแคลน ไม่ขาดก็แต่สมบัติ
ขอเพียงต่อสู้ ต่อให้เป็นมหาจักรพรรดิที่พลังต่อสู้แข็งแกร่งกว่าเขา รากฐานพลังมั่นคงแน่นหนากว่าเขา ก็ต้านการโจมตีของสมบัติมากมายบนตัวเขาไม่ได้
‘บนโลกใบนี้ไม่มีการต่อสู้อะไรที่สมบัติคลี่คลายไม่ได้ ถ้าหากมี เช่นนั้นก็ทุ่มสมบัติเพิ่มอีกจำนวนหนึ่ง’
นี่ก็คือคำกล่าวของมหาจักรพรรดิมากสมบัติ เป็นที่เลืองลือไปทั่วทางเดินโบราณฟ้าดาราตลอดมา ดุจดั่งตำนาน
ตอนนี้ทรัพย์มหาศาลที่อาหูเผยออกมา ก็ค่อนข้างใกล้เคียงกับบารมีของ ‘มหาจักรพรรดิมากสมบัติ’ ในปีนั้นอยู่หลายส่วน ทำเอาผู้คนทั้งสะท้านสะเทือนทั้งตาลุกวาว
แต่สำหรับผู้แข็งแกร่งที่ต่อสู้กับอาหูเหล่านั้น กลับพากันตกใจระคนเดือดดาล แรงกดดันเพิ่มขึ้นทบทวี มีทุกข์แต่พูดไม่ออก
เดิมพลังต่อสู้ของอาหูก็แข็งแกร่งยิ่ง หาใช่คนทั่วไปจะเทียบได้ ซ้ำยังมีสมบัติมากมายขนาดนี้คอยช่วย ชั่วขณะเดียวก็กลายเป็นฝ่ายถือไพ่เหนือกว่า ทำเอาคู่ต่อสู้ไม่น้อยต่างมือเท้าปั่นป่วนพัลวัน โงหัวไม่ขึ้น
เดิมทีพวกเขาตั้งใจจัดการอาหู ดึงความสนใจและข่มขู่หลินสวิน แต่เห็นได้ชัดยิ่งว่านี่เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอนแล้ว!
…
และขณะนี้หลินสวินที่ถูกศัตรูมากมายล้อมกำราบ ในที่สุดก็ระเบิดออกมาอย่างสิ้นเชิง ไม่ได้ออมมืออีก ปลดปล่อยพลังเต็มที่
ตูม!
อานุภาพรอบตัวเขาพลันเปลี่ยนไป ใช้คัมภีร์กลืนกินไร้สิ้นสุดแทนคัมภีร์เตาหลอมมหามรรค ร่างกลายเป็นเหวใหญ่ครอบฟ้า อานุภาพเปลี่ยนเป็นเผด็จการไร้ขอบเขตในพริบตา
และในสองมือของเขา ปรากฏสองกระบี่อเวจีและยอดสังหารเพิ่มขึ้นมา
อเวจีดุจมหาโลกันตร์
ยอดสังหารดั่งธารนรก
ด้านหลังมีเหวใหญ่แผ่ลอยอยู่!
ทอดสายตามองจากไกลๆ หลินสวินก็เหมือนนายเหนือหัวที่ปกครองนรกเหวลึก เดินออกมาจากกลางธารนรก อานุภาพน่าพรั่นพรึงนั่นทำเอาฟ้าดินมืดสลัว
“ตาย!”
ผมดำเขาปลิวไสว นัยน์ตาดำเต็มไปด้วยไอสังหารและจิตต่อสู้ที่ลุกโชน เงาร่างพาดขวาง กลืนฟ้าเขมือบดิน กระบี่คู่ในมือฟาดฟันออกไป
ปึง!
ทวนศึกเล่มหนึ่งระเบิดเป็นเสี่ยงกลางอากาศ เจ้าของทวนศึกถูกกระบี่เดียวฟันสังหาร เลือดพรมฟ้ากว้าง ก่อนสิ้นใจยังไม่ทันแม้แต่จะส่งเสียงร้องอนาถออกมา
“ตาย!”
หลินสวินสีหน้าไม่ทุกข์ไม่สุข ฟันกระบี่หอบม้วนสิบทิศ
ในระหว่างนี้ไม่ว่าสมบัติวิชามรรคใดๆ ที่ปิดครอบลงมาหาเขา ล้วนถูกเหวใหญ่บดขยี้ กลืนกิน กลายเป็นพลังโหมซัดที่ถูกปลดปล่อยออกมา
นี่ก็คือ ‘กายข้าไร้ขอบเขต กลืนกินไร้สิ้นสุด’!
“เร็ว กำราบเขาด้วยกัน!”
“ฆ่า!”
ในที่นั้นเสียงคำรามเดือดระลอกแล้วระลอกเล่าดังขึ้น สะเทือนชั้นเมฆ
แต่ย่อมเปลืองแรงเปล่า!
ยามอยู่ระดับมหาอริยะขั้นต้น หลินสวินสามารถฆ่าบุคคลกร้าวแกร่งที่ไต่ขึ้นกระดานมหาอริยะฟ้าดาราอย่างเยี่ยนฉุนจวิน ลู่อ๋างได้
ยามอยู่ระดับมหาอริยะขั้นกลางสมบูรณ์ ก็สามารถสังหารคู่ต่อสู้ร้ายกาจนับร้อยบนยอดเขาพญามังกรด้วยตัวคนเดียวได้
นับประสาอะไรกับตอนนี้
ไม่มีใครรู้ชัดว่าการทะลวงปราณขั้นหนึ่ง สำหรับหลินสวินที่พื้นฐานแน่นไร้ทัดเทียมเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว สิ่งที่หมายถึงคือการเปลี่ยนแปลงอันน่าตกใจปานใด!
และยิ่งไม่มีใครรู้ว่าสิ่งที่หลินสวินเสาะแสวงหาตั้งแต่แรกสุด ก็คือหนทางไร้ศัตรูที่ ‘ทั่วหล้าบนล่าง มรรคข้าเป็นหนึ่ง’!
พรวด!
พรวด!
พรวด!
เพียงชั่วสิบกว่าลมหายใจเท่านั้น ก็มีผู้แข็งแกร่งคนแล้วคนเล่าถูกสังหารต่อเนื่อง บ้างถูกฟันขาดเป็นสองท่อน บ้างถูกเสียบทะลุกลางคิ้ว บ้างถูกตัดเอวขาด บ้างถูกปราณกระบี่บดขยี้ทั่วร่างตรงๆ…
หยาดเลือดสีแดงฉาน เสียงคำรามดาลเดือด เสียงร้องโหยหวนน่าอนาถปะปนเข้าด้วยกัน ประกอบเป็นภาพการเข่นฆ่าที่น่าหวั่นหวาดสะท้านจิต
ส่วนหลินสวินที่อยู่กลางภาพ ก็เหมือนเหวแห่งหนึ่ง กลืนกินสรรพชีวิต!
“เหตุใด… เหตุใดพลังต่อสู้ของเขาถึงแข็งแกร่งขนาดนี้”
เมิ่งอี้แทบจะคลั่งแล้ว
ก่อนหน้านี้เขากับพวกเหวินฉิงเสวี่ยร่วมมือกัน ไม่อาจกดดันหลินสวินได้ ตอนนี้มีผู้สืบทอดขุมอำนาจใหญ่มากมายเข้ามาเสริม… ก็ยังไม่ได้!
เมิ่งอี้แทบไม่กล้าจินตนาการว่าบนโลกใบนี้มีพวกพลิกฟ้าเช่นนี้ได้อย่างไร ล้มล้างความรู้ความเข้าใจของเขาโดยสิ้นเชิง
ตั้งแต่ต้นจนจบเหวินฉิงเสวี่ยไม่พูดสักคำ สงบนิ่งมาโดยตลอด เพียงแต่ดวงหน้างามกระจ่างดุจเซียนของนางนั้นค่อยๆ ปกคลุมด้วยแววขุ่นหมองที่ขจัดไม่ออก
ความแข็งแกร่งของหลินสวินก็สร้างแรงโจมตีใหญ่ยิ่งต่อสภาวะจิตของนางด้วยเช่นกัน
ควรรู้ว่านางเองก็เคยช่วงชิงมหาศุภโชคในแหล่งสถานคุนหลุนมาได้เหมือนกัน หลอมเป็น ‘ผลมรรค’ ผลหนึ่งแล้ว เดิมมีความมั่นใจในตัวเองเปี่ยมล้น คิดว่ายามจัดอันดับกระดานมหาอริยะฟ้าดาราใหม่ครั้งหน้า ตนต้องสามารถไต่เต้าขึ้นอันดับต้นๆ ได้แน่
ทว่าพลังต่อสู้ที่หลินสวินสำแดงออกมา ทุบทำลายความมั่นใจของนางแล้ว!
ตัวคนเดียวเผชิญหน้าศัตรูทั้งกลุ่ม ยังคงสามารถเข่นฆ่าอาละวาดประหนึ่งไร้ศัตรู อานุภาพที่น่าสะพรึงนั่นทำเอานางถึงขั้นรู้สึกหนาวสะท้าน
เมื่อเทียบกันแล้ว ความแตกต่างระหว่างนางกับหลินสวินถูกขับเน้นออกมาอย่างไร้รูป ว่าห่างชั้นกันปานใด!
‘พลังต่อสู้ในตอนนี้ของเขา… เกรงว่าสามารถขึ้นสู่สิบอันดับแรกบนกระดานมหาอริยะฟ้าดาราได้สบายๆ แล้วกระมัง’
ในใจเหวินฉิงเสวี่ยปั่นป่วนไม่หยุด
นางเคยเห็นบุคคลแห่งยุคที่ตอนนี้อยู่อันดับห้าในกระดานมหาอริยะฟ้าดารา มาดบารมีที่ผงาดง้ำโอหังระดับนั้น ทำเอานางยังอดเทิดทูนไม่ได้
และเมื่อเทียบหลินสวินกับคนผู้นั้น ในแง่ปราณด้อยกว่ากันหน่อย แต่มาดบารมีปานไร้ศัตรูนั่นกลับคล้ายกันจนน่าตกใจ!
ตูมโครม!
การต่อสู้เริ่มดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ ฟ้าดินมืดสลัว ฝุ่นคลุ้งหินเคลื่อน
ใต้เขาคุนหลุนที่ทรงพลังหาใดเปรียบ ขอบเขตสนามรบที่กว้างใหญ่และความรุนแรงของสถานการณ์การต่อสู้นี้ ต่อให้เป็นที่ทางเดินโบราณฟ้าดาราก็เรียกได้ว่าหายาก
ยามแพร่สะพัดออกไป จะต้องเรียกคลื่นยักษ์ซัดโหมระลอกหนึ่งอย่างแน่นอน!
ไกลออกไปบนใบหน้าซีดขาวเหมือนคนป่วยของฮว่าซิงหลีเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมแล้ว ยามกะพริบตาเพลิงมารโหมกระพือ
‘นี่จึงจะเป็นรากฐานที่แท้จริงของเจ้าสินะ…’
ความแข็งแกร่งของหลินสวินทำให้ในใจฮว่าซิงหลีไม่อาจสงบได้เช่นกัน รู้สึกถึงแรงกดดันไร้รูปอย่างหนึ่ง
เขาไม่สามารถจินตนาการได้ ว่าในดินแดนรกร้างโบราณนั่นมีคนร้ายกาจสะท้านโลกที่น่าเหลือเชื่อเช่นนี้ได้อย่างไร
“นายน้อย ควรลงมือได้แล้ว เจ้าหมอนี่นับวันยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ หากครั้งนี้ปล่อยให้เขาหนีรอดไปได้ ภายหน้าจะต้องน่าสะพรึงยิ่งกว่านี้แน่!”
เซวี่ยชิงอีที่อยู่ข้างๆ ร้อนรนหาใดเปรียบ
มีเพียงเขาที่รู้ถึงความน่ากลัวของหลินสวินดีที่สุด ปีนั้นในสมรภูมิเก้าดินแดน ด้วยปราณระดับอริยะแท้ หลินสวินก็สามารถกำราบบุคคลระดับผู้นำของค่ายทัพแปดดินแดนอื่นได้อย่างมั่นคงแล้ว
และเขาในเวลานี้ เมื่อเทียบกับปีนั้นก็แข็งแกร่งขึ้นไม่รู้กี่เท่าแล้ว!
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นภายในไม่กี่ปีสั้นๆ เท่านั้น สามารถคาดการณ์ได้ว่าหากให้เวลาหลินสวินอีกสักหน่อย เช่นนั้นภายหน้าใครยังจะสามารถกำราบเขาได้อีก
“โง่งม!”
ฮว่าซิงหลีปรายตามองเซวี่ยชิงอีปราดหนึ่ง ป่านนี้แล้วสมองยังดักดาน ยึดมั่นตั้งตนเป็นศัตรูกับหลินสวิน เห็นชัดว่าสมองบวมน้ำแล้ว ไม่เข้าใจสักนิดว่าอะไรที่ว่าประเมินสถานการณ์!
และพร้อมกันนั้นพวกซวีหลิงคุน จวนอวี๋เหิงก็เผยสีหน้าจดจ่อ จับจ้องทุกการเคลื่อนไหวของหลินสวินในสนามรบไม่วางตา ในใจแต่ละคนต่างไหวกระเพื่อม
ใช่แล้ว พลังที่หลินสวินสำแดงออกมาเหนือความคาดหมายของพวกเขาอีกครั้ง ทำให้พวกเขาเริ่มให้ความสำคัญ ถึงขั้นระวังตัว!
ขณะเดียวกันพวกเขาก็ไม่ได้มองข้ามฝีมือของอาหู พลังที่หลินสวินสำแดงออกมาทำให้ผู้คนไม่อาจดูเบา แต่ความสามารถของอาหูก็ทำให้พวกเขารู้สึกแปลกใจด้วยเช่นเดียวกัน
หญิงสาวที่งามดุจเซียน แต่กลับมีเสน่ห์เย้ายวนคนหนึ่ง ไม่เพียงพลังต่อสู้โดดเด่นแข็งแกร่ง ซ้ำยังครอบครองสมบัติโบราณหายากมากมายขนาดนี้ ใครจะกล้ามองข้ามนาง