ดินแดนรกร้างโบราณ
บนถนนอันพลุกพล่านดั่งสายน้ำในนครหยกขาว ผู้ฝึกปราณที่เดินสะพายกระบี่มีอยู่ทั่วไปหมด ทั้งชายทั้งหญิง ทั้งแก่ทั้งเด็ก
สะพายกระบี่ไว้ข้างหลัง อวิ๋นชิ่งไป๋ไม่ใช่คนแรกที่ทำเช่นนี้
แต่ในนครหยกขาวกลับเกิดกระแส ‘สะพายกระบี่’ เพราะเขาเป็นเหตุ
อวิ๋นชิ่งไป๋ตายไปตั้งแต่หลายปีก่อนแล้ว แต่ผู้ฝึกปราณในนครหยกขาวต่างชินกับนิสัยสะพายกระบี่ไปแล้ว
สิ่งนี้ถูกมองว่าเป็นสัญลักษณ์ของผู้ฝึกกระบี่ที่แท้จริง!
สรวงสวรรค์นครหยกขาว สิบสองหอห้าเมือง เซียนโอบศีรษะข้า ผูกเกศาประทานอมตะ
นครหยกขาวยังคงพลุกพล่านรุ่งเรืองเหมือนเมื่อหลายปีก่อน
ในระยะนี้มีชายหนุ่มคนหนึ่งนามว่าซูไป๋ สร้างความฮือฮาหลังมาถึงนครหยกขาวเมื่อไม่กี่วันก่อน
ภายในสามวัน เขาฝ่า ‘เก้าหอ’ ในสิบสองหอได้อย่างต่อเนื่อง การฝ่าหอแต่ละครั้งล้วนทำลายสถิติที่อวิ๋นชิ่งไป๋สร้างไว้ในตอนนั้น!
ความสำเร็จน่าจับตาเช่นนี้ย่อมดึงดูดความสนใจผิดธรรมดา
และวันนี้ซูไป๋ก็มาถึง ‘หอหลอมจิต’
นอกหอหลอมจิตแน่นขนัด เงาร่างล้อมรอบไปทุกหนแห่ง ยิ่งใหญ่อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
“ตอนนั้นผู้อาวุโสหลินสวิน อริยะแท้อันดับหนึ่งของดินแดนรกร้างโบราณก็เคยมาฝ่าสิบสองหอในนครหยกขาว สร้างสถิติที่ไม่เคยมีมาก่อน”
“ซูไป๋คนนี้ หรือต้องการเอาอย่างผู้อาวุโสหลินสวินในตอนนั้น”
“วันนี้ถ้าซูไป๋คนนี้สร้างสถิติได้อีก ก็เท่ากับว่าสถิติที่อวิ๋นชิ่งไป๋สร้างไว้สมัยมีปราณระดับกระบวนแปรจุติได้ถูกทำลายลงแล้ว”
“พวกเจ้ารู้ที่มาของซูไป๋คนนี้หรือไม่ หมอนี่ไม่รู้โผล่มาจากไหน อายุยังน้อยก็มีมรรควิถีเช่นนี้ น่าตกตะลึงเกินไปแล้ว”
…ณ ที่นั้นเต็มไปด้วยเสียงสนทนา
ไม่นานนักในหอหลอมจิตที่ฝูงชนจับตามอง ก็มีชายหนุ่มร่างตรงแน่ว แต่งกายด้วยชุดผ้าน้ำเงินทั้งตัวคนหนึ่งเดินออกมา หว่างคิ้วหนักแน่น บุคลิกเคร่งขรึม
ซูไป๋!
ทั้งที่นั้นระส่ำระสายไประลอกหนึ่ง
หญิงสาวบางคนยังเผยสีหน้าหลงใหล หญิงงามชอบพอวีรบุรุษมาแต่โบราณ นับประสาอะไรกับอัจฉริยะหนุ่มผู้โดดเด่นสะดุดตาอย่างซูไป๋
“ทำลายสถิติแล้ว!” ในหอหลอมจิตมีเสียงแก่ชราทอดถอนใจ
ประโยคเดียวทำให้ทั้งที่นั้นอึกทึกครึกโครมโดยสมบูรณ์ สายตาทั้งหมดที่มองไปยังซูไป๋ ประหนึ่งมองดูดาวดวงใหม่ที่ค่อยๆ พุ่งสูงขึ้นในดินแดนรกร้างโบราณ และกำลังจะฉายแสงเจิดจ้าเหนือเวิ้งฟ้า!
เพียงแต่ซูไป๋กลับถอนใจในใจ
ผู้คนบนโลกรู้เพียงว่าเขาทำลายสถิติของอวิ๋นชิ่งไป๋ในตอนนั้น แต่ไม่มีใครรู้ว่าที่เขาพยายามในช่วงหลายวันมานี้ ไม่อาจก้าวข้ามสถิติที่หลินสวินอาจารย์ของตัวเองทิ้งไว้ได้สักครั้ง!
‘สมัยท่านอาจารย์อยู่ระดับกระบวนแปรจุติจะแข็งแกร่งปานไหนกัน’
ซูไป๋อึ้งไป ความรู้สึกนึกคิดโบยบิน
ในบริเวณใกล้เคียงผู้คนกำลังโห่ร้องยินดี แต่เขากลับยากจะสนใจ
ตั้งแต่วันที่กราบหลินสวินเป็นอาจารย์ ซูไป๋ก็มองท่านอาจารย์หลินสวินเป็นเป้าหมายที่ต้องไล่ตามตลอดชีพ
เพราะเหตุนี้เขาจึงฝึกปราณจนลืมกินลืมนอน เคี่ยวกรำตัวเองสุดกำลัง แทบจะไม่เคยผ่อนปรน
ภูผาธารากว้างใหญ่เท่าไร บ้านเมืองงดงามเพียงใด ฟ้าดินไพศาลแค่ไหน โฉมตรูสวยสะคราญเท่าใด ก็ไม่เคยทำให้ซูไป๋อ้อยอิ่งได้แต่อย่างใด
ด้วยพากเพียรฝึกปราณอย่างใจจดใจจ่อ กอปรกับมีกระดูกกระบี่แต่กำเนิด พลังปราณของซูไป๋ย่อมทะยานฉับพลัน เหนือล้ำปุถุชน
คนบนโลกล้วนมองเขาเป็นบุคคลชั้นยอดในหมู่ผู้โดดเด่นรุ่นใหม่ของดินแดนรกร้างโบราณ แต่ซูไป๋กลับรู้ว่ารากฐานพลังที่ตนมีตอนนี้ยังสู้ท่านอาจารย์ในตอนนั้นไม่ได้อยู่ดี
นี่ทำให้เขาท้อแท้นัก ทั้งยังสะท้านอย่างอดไม่ได้ ยิ่งได้รู้เรื่องราวสมัยท่านอาจารย์อยู่ในดินแดนรกร้างโบราณ เขาก็ยิ่งรู้สึกได้ถึงความไม่เอาไหนของตน
เมื่อเทียบในระดับเดียวกัน เขาก็ยังขาดไปมากอยู่ดี!
‘ต้องพยายามกว่านี้ถึงจะได้’
ซูชิงลอบกำหมัดแน่น เขาจดจำคำพูดของหลินสวินได้ขึ้นใจมาโดยตลอด ความหวังเพียงอย่างเดียวของเขาก็คือ เมื่อท่านอาจารย์กลับมายังดินแดนรกร้างโบราณในสักวัน จะไม่ผิดหวังกับตน
เช่นนี้เขาก็พอใจแล้ว
ส่วนความคิดเห็นของคนบนโลกจะเป็นอย่างไร เขาคร้านจะใส่ใจอยู่แล้ว
“เจ้าหมอนี่… ช่างเหมือนกับอวิ๋นชิ่งไป๋ในตอนนั้นจริงๆ…”
ในที่นั้นมีคนเอ่ยปาก
ซูไป๋ที่กำลังครุ่นคิดอยู่พลันนิ่วหน้า กวาดสายตามองไปแล้วพูดว่า “อวิ๋นชิ่งไป๋ก็คืออวิ๋นชิ่งไป๋ ข้าก็คือข้า ข้ากับเขาย่อมไม่ใช่คนจำพวกเดียวกัน”
ทุกคนต่างงุนงง
ทอดถอนใจเรื่อยเปื่อยประโยคหนึ่งเท่านั้น แต่ดันทำให้ซูไป๋ปฏิเสธ ชวนให้รู้สึกเหมือนทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่
แต่ตัวซูไป๋เองคร้านจะแจกแจงเหตุผล
เขาอยากจากไปแล้ว นอกจากฝึกปราณเขาก็ไม่สนใจเรื่องอื่นสักนิด
“เจ้าหนุ่ม เจ้าอยากเข้ามาฝึกปราณที่สำนักกระบี่เทียมฟ้าของข้าไหม”
ชายชราคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นกะทันหัน มองดูซูไป๋พร้อมรอยยิ้ม สีหน้าเมตตา
ในที่นั้นระส่ำระสายไประลอกหนึ่ง ทุกคนต่างอิจฉาทั้งยังตกตะลึง สำนักกระบี่เทียมฟ้า ที่นี่เป็นถึงหนึ่งในสำนักโบราณที่มีเพียงหยิบมือของดินแดนรกร้างโบราณ!
และชายชราผู้นี้ยังเป็นเฒ่าดึกดำบรรพ์ในสำนักกระบี่เทียมฟ้า เป็นยอดฝีมือที่มีปราณระดับอริยะมานานแล้วคนหนึ่ง
“ไม่สนใจ”
แต่ที่เหนือความคาดหมายก็คือ ซูไป๋ไม่ใคร่ครวญสักนิดก็ปฏิเสธแล้ว
เพราะชีวิตนี้เขายกคนเพียงคนเดียวเป็นอาจารย์!
ชายชราอึ้งไปอย่างอดไม่ได้ ยิ้มเอ่ยทันทีว่า “เจ้าไม่ไตร่ตรองอีกหน่อยหรือ ถ้ามีสำนักกระบี่เทียมฟ้าเป็นที่พึ่ง ทรัพยากรการฝึกใดๆ ที่จำเป็นต่อการฝึกปราณก็จะให้เจ้าสมใจทั้งนั้น”
“ขออภัย”
ซูไป๋สายหัวแล้วจากไปทันที
ชายชราถูกตอกหน้าหงายจึงนิ่วหน้าอย่างอดไม่ได้ ตามองเงาร่างของซูไป๋จากไปช้าๆ เขาส่ายหัวแล้วสะบัดแขนเสื้อจากไป
วันนี้ข่าวเรื่องซูไป๋ทำลายสถิติของอวิ๋นชิ่งไป๋อย่างต่อเนื่อง ทั้งปฏิเสธไม่เข้าเป็นศิษย์สำนักกระบี่เทียมฟ้าก็กระจายออกไปอย่างรวดเร็วเหมือนติดปีก
แต่ไม่ว่าข่าวจะอึกทึกครึกโครมอย่างไร ที่มาที่ไปของซูไป๋ รวมถึงอาจารย์ของเขา ไม่มีใครให้คำตอบที่แน่ชัดได้เลย
การผงาดขึ้นของเขายิ่งเหมือนปริศนาข้อหนึ่ง
เฉกเช่นหลินสวินในตอนนั้น ยามผงาดขึ้นในดินแดนรกร้างโบราณ ใครก็ไม่รู้ที่มาที่ไปหรืออาจารย์ของเขา และเป็นในเวลาต่อมา ทุกคนจึงรู้ว่าเขามาจากโลกชั้นล่าง
……
จักรวรรดิจื่อเย่า โลกชั้นล่าง
ณ จุดสูงสุดของหอดูดาวหลวง ท้องฟ้ายามราตรีเงียบสงบ ดวงดาราพริบวาบ
“คำนวณดูแล้ว ถ้าเจ้าหนูนั่นยังมีชีวิตอยู่คงจะออกจากแหล่งสถานคุนหลุนแล้ว…”
ราชครูสองมือไพล่หลัง ยืนพิงแนวรั้ว ใบหน้าชรา เงาร่างโก่งงอ ผมสีดอกเลา แต่กลับมีดวงตากระจ่างใสสะอาดดั่งทารกคู่หนึ่ง
“ออกจากแหล่งสถานคุนหลุน เขาก็ย่อมไม่อาจกลับมาโลกชั้นล่างได้อีก สำหรับเจ้าหนูนี่แล้วก็มีแต่ทางเดินโบราณฟ้าดาราถึงรองรับก้าวย่างของมรรคาที่เขาเสาะแสวงได้”
ณ เรือนโอบดารานิทราบุหลัน เฒ่าโดดเดี่ยวดื่มเหล้าพลางเอ่ยปากอย่างเกียจคร้าน
ทั้งสองคนห่างกันไกลกันไม่รู้เท่าใด แต่กำลังสนทนาข้ามห้วงอากาศกันในตอนนี้
ราชครูเอ่ยเบาๆ ว่า “ลู่ป๋อหยาทุ่มเทเลือดเนื้อและจิตใจทั้งหมดดูแลเด็กคนนี้ สุดท้ายก็ไม่เหมือนใคร ถ้าไม่เกิดเรื่องเหนือความคาดหมาย เจ้าหนูนี่คงได้เป็นมกุฎมหาอริยะคนหนึ่งไปแล้วกระมัง”
เฒ่าโดดเดี่ยวดื่มเหล้าในกาหมดในอึกเดียว ปากขมุบขมิบเอ่ยว่า “มกุฎมหาอริยะหรือ เหอะๆ ก็อาจจะกระมัง อย่าเดาเลย เดาไปก็เดาไม่ออก แต่ข้ารู้แน่ว่าถ้าลู่ป๋อหยายังมีชีวิตอยู่ จะต้องซ่อนตัวอยู่บนทางเดินโบราณฟ้าดาราแน่”
“อาจจะกระมัง”
ราชครูเอ่ยคล้ายขบคิด
ลู่ป๋อหยา
คนผู้นี้เป็นบุคคลในตำนานที่เป็นดั่งเขาวงกตคนหนึ่ง ตอนนั้นต่อให้เป็นราชครูหรือเฒ่าโดดเดี่ยวก็มองไม่ออกว่าเขามาจากที่ไหนกันแน่
……
โลกอันเวิ้งว้างและมืดดำแห่งหนึ่ง
หมอกเลือดทะยานขึ้นกลางสันเขา วิวัฒน์เป็นปรากฏการณ์ประหลาดบิดเบี้ยวและน่ากลัวนานาชนิด
เสียงคำรามแหลมเป็นระลอกดังขึ้นประหนึ่งเทพผีชั่วร้ายกำลังหัวเราะร่า เศษเสี้ยวมหามรรคชวนพรั่นพรึงโปรยร่วงลงมาจากห้วงอากาศ กลิ่นอายที่กระจายออกมาน่าหวาดหวั่นหาใดเทียบ
ตูม!
นกปีศาจมหึมาตัวหนึ่งกระโจนออกมาจากสันเขา สยายปีกเน่าเปื่อยที่มีหมอกดำอบอวล ซัดแสงดุร้ายทะลุเมฆาขึ้นมา
มันเป็นเหมือนนกปีศาจสิ้นชีพที่มาจากนรก ดุร้าย ใหญ่โต น่าครั่นคร้าม
บนผืนดินรกร้างที่อยู่ไกลออกไป เงาร่างหนึ่งกำลังเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็ว แต่งกายชุดดำทั้งตัว หมวกคลุมบังหน้าไปครึ่งหน้า เผยให้เห็นแต่คางเกลาเกลี้ยงขาวกระจ่างครึ่งส่วน
เงาร่างของนางเรียวบางอรชร แต่ยามเคลื่อนไหวกลับมีท่วงท่าดุดันเด็ดขาด ทวนยาวกระดูกขาวที่มือขาวสะอาดถืออยู่มีประกายดาราคล้ายภาพฝัน
ตูม โครม!
นกปีศาจมหึมาตัวนั้นไล่ฆ่ากลางอากาศ ปีกเน่าเปื่อยกระพือหมอกดำถั่งโถมออกมา กลิ่นอายแห่งความตายแผ่ซ่าน
ห้วงอากาศปั่นป่วนไปหมด ผืนดินล้วนกำลังทลาย
ชิ้ง!
ทันใดนั้นเงาร่างเพรียวบางนั้นหยุดเดิน ร่างกายทะยานขึ้น บิดตัวยกทวนยาวกระดูกขาวในมือขึ้นมา
แล้วขว้างออกไปอย่างรุนแรง!
ฟุบ!
ทวนยาวกระดูกขาวเจาะผ่านคอของนกปีศาจใหญ่ยักษ์ตัวนั้น แทงทะลุร่างกายของมัน นำเอาเลือดเน่าสีดำออกมาด้วย
ที่น่าเหลือเชื่อก็คือนกปีศาจมหึมานั้นเหมือนไม่รู้สึกเจ็บปวด ถูกสังหารสิ้นซากจากฟากฟ้า กลิ่นเหม็นคาวปกฟ้าคลุมดิน
เงาร่างชุดดำนั้นยืนอยู่กลางอากาศ ทันใดนั้นก็สูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ยื่นฝ่ามือขาวเกลี้ยงเกลาข้างหนึ่งออกมา นิ้วเรียวยาวทั้งห้ารวบเข้าหากันแล้วชกออกไป
ในห้วงอากาศไกลออกไปหลายพันจั้งพลันถูกเจาะเป็นโพรงใหญ่โพรงหนึ่ง กระแสปั่นป่วนในอากาศม้วนตลบดั่งน้ำป่าไหลหลาก กลบร่างนกปีศาจยักษ์ตัวนั้นให้จมอยู่ภายใน
ตูม!
เสียงระเบิดสะท้านฟ้าสะเทือนดินดังขึ้น ห้วงอากาศแห่งนั้นราวกับแตกพัง ฟ้าดินพลิกคว่ำ มีเค้าลางทำลายล้างขนานใหญ่
วู้มๆๆ…
คลื่นลมเย็นยะเยือกแผ่ซ่าน ซัดให้หมวกคลุมสีดำของร่างเพรียวบางนั้นเลิกขึ้น เผยให้เห็นใบหน้างดงามจนทำให้ฟ้าดินหม่นหมอง
ผิวพรรณของนางเปล่งปลั่งขาวสะอาด ตาโตกระจ่างใส สันจมูกตรงแน่ว ริมฝีกปากเม้มบางๆ เป็นเส้นโค้งงามสวย
เงาร่างนางอ้อนแอ้นสูงโปร่ง เครื่องหน้าดั่งภาพเขียน มองไปไกลๆ เงียบๆ ฟ้าดินเวิ้งว้าง ภูผาธารามืดมน แต่นางกลับเป็นสิ่งที่มีสีสันสดใสที่สุดในนั้น
ความงดงามปานนั้น ความสงบเงียบเช่นนั้น
ซย่าจื้อ!
ผ่านไปครู่หนึ่งนางก็ดึงหมวกคลุมสีดำลงมาปิดปังใบหน้า มายังที่ที่นกปีศาจยักษ์ตัวนั้นสิ้นชีพ แล้วหยิบเอาเศษเสี้ยวมหามรรคสีเทาชิ้นหนึ่งขึ้นมา
‘ชิ้นที่หนึ่งพันเก้าร้อยสามสิบเจ็ด’
นางนิ่งคิด พอโบกมือครั้งหนึ่งทวนยาวกระดูกขาวก็เคลื่อนมาจากที่ไกลออกไป แล้วตกลงมาในมืออย่างนุ่มนวล
นางหมุนตัว ก้าวเดินไปยังส่วนลึกของโลกมืดมนที่เวิ้งว้างและแหลกสลายแห่งนั้นอีกครา
หลายปีมานี้ นางหนึ่งคน ทวนหนึ่งเล่ม กรำศึกที่นี่มาโดยตลอด
เคยถูกบีบให้อยู่ในสถานการณ์คับขัน เงาร่างอาบเลือด ผิวเนื้อแตกละเอียด เฉียดใกล้ความตาย
ทั้งยังเคยโจมตีศัตรูตัวฉกาจคนแล้วคนเล่าด้วยพลังทำลายล้างรุนแรง ทุกที่ที่ปลายทวนชี้ไปไม่มีศัตรูใดต้านทานได้
เคยรักษาบาดแผลอยู่เงียบๆ เหม่อลอยอยู่เงียบๆ ในความมืดมิด
แต่เวลาส่วนมาก นางใช้ไปกับการต่อสู้
เหมือนไม่มีวันเหนื่อยล้า
ในโลกอันเวิ้งว้างเสื่อมโทรมแห่งนี้ก็ไม่มีใครให้พูดคุยด้วยได้ แต่นางก็ไม่ได้อยากพูดอะไร ต่อให้ในชั่วขณะที่ร่างกายได้รับบาดเจ็บสาหัส เฉียดใกล้ความตาย นางก็มีท่าทีเงียบสงบ
ไม่พูดสักคำ
มีเพียงบางครั้งยามนึกถึงเงาร่างนั้น นางถึงรู้สึกว่าที่แท้ในโลกนี้ก็ไม่ได้มืดมิดไปเสียหมด
ท่ามกลางฟ้าดินมืดสลัว นางเดินโซเซเพียงลำพัง เงาร่างอรชรวาดเงาอันเดียวดายขึ้นในฟ้าดินเวิ้งว้าง
“หลินสวิน รอข้ากลับมานะ”
——