ไม่นานนักประกายเทพที่ปลดปล่อยจากทั้งร่างหลินสวินก็รวมตัวเหมือนกระแสน้ำ
เขายืนอยู่กลางอากาศ ผมดำปลิวสยาย ดวงตาดำสุกสกาวดั่งดารา
ตั้งแต่เข้ามาในฟ้าดาราอันเวิ้งว้างแห่งนี้ก็ผ่านไปแล้วเกือบเก้าเดือน ด้วยการหยั่งรู้และขัดเกลา ทำให้หลินสวินมั่นใจได้เรื่องหนึ่ง
แม้เป็นสถานการณ์คับขัน ขอเพียงจิตใจเป็นดังเดิม ก็เป็นการฝึกปราณอันล้ำค่าหาได้ยากครั้งหนึ่ง!
ช่วงที่ผ่านมานี้สิ่งที่เขาได้รับไปไม่อาจเรียกว่าไม่มาก
อย่างแรก การควบคุมพลังของตนถึงขั้นบรรลุจุดสูงสุด สอดรับกับมรรคประหนึ่งเผาติงชำแหละวัว
ต่อมา หลอมครรภ์เทพอวัยวะตันห้าออกมาได้ การฝึกคัมภีร์มหามรรคหวงถิงบรรลุถึงขั้น ‘ห้าสี’ ทำให้มรรควิถีของตนก็ทะลวงถึงขั้นสมบูรณ์ของระดับมหาอริยะได้อย่างราบรื่นไปด้วย
ขาดแต่ทลายอุปสรรคหนึ่งไปได้ ก็จะแจ้งมรรคระดับอริยะขึ้นเป็นราชัน!
“น่าเสียดาย…”
ไม่นานนักหลินสวินกลับถอนหายใจยาวส่งเสียงออกมา
เพราะถึงตอนนี้ โอสถเทพกับของล้ำค่าที่ใช้ในการเติมพลังซึ่งอยู่กับตัวเขากำลังจะหมดลงไปแล้ว
เก้าเดือนยังหาทางออกจากฟ้าดาราแห่งนี้ไม่ได้ ทำให้หลินสวินอดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหลาดใจนัก และเพราะทรัพยากรที่อยู่กับตัวขาดแคลน ทำให้จิตใจของเขาหนักอึ้งไม่น้อย
“ทำได้เพียงผนึกพลังขับเคลื่อนของตัวเองไว้ส่วนหนึ่งไปก่อนแล้ว…”
หลินสวินตัดสินใจ
เพียงไม่กี่อึดใจกลิ่นอายทั้งตัวเขาก็เปลี่ยนแปลงฉับพลัน ลดลงจากระดับมกุฎมหาอริยะขั้นสมบูรณ์สู่ระดับมกุฎอริยะแท้ขั้นต้น
ในขณะเดียวกันเขารวมพลังที่จุดศูนย์กลาง ใช้กายเป็นนาวา ใช้จิตเป็นไม้พาย อาศัยพันฤกษ์วัฏจักรนำพานำทางท่องทะยานไปในฟ้าดารา
เช่นนี้แล้วหลินสวินก็เหมือนผนึกพลังของตนเอาไว้ ใช้พลังทั้งหมดไปกับการท่องทะยาน
กาลเวลาผันผ่าน…
ท่ามกลางฟ้าดาราอันเงียบเชียบและเยียบเย็น จิตใจหลินสวินจมจ่อมกับการหยั่งรู้วิชาตน…
ทรัพยากรขาดแคลนย่อมไม่อาจฝึกมรรควิถีได้ หยั่งรู้วิชาจึงกลายเป็นสิ่งเดียวที่หลินสวินทำได้
……
ผ่านไปอีกครึ่งปีอย่างรวดเร็ว
หลินสวินหลอมนัยเร้นลับของดรรชนีมหาอุดมสลายมายาทั้งหมดเข้าไปในคัมภีร์เตาหลอมมหามรรคได้สำเร็จ ทำให้วิชาที่สร้างขึ้นด้วยตัวเองนี้แปรสภาพอีกครั้งหนึ่ง มีคุณสมบัติแห่ง ‘ห้วงอากาศว่างเปล่า’ เพิ่มขึ้นมา
กระบวนการหลอมวิชาก็เหมือนคัมภีร์อันว่างเปล่าเล่มหนึ่งถูกหลินสวินเขียนตัวหนังสือลงไปไม่หยุด ทิ้งบทความอันเลิศลอยไว้ในทุกๆ หน้า!
คัมภีร์เตาหลอมมหามรรคก็เป็นเช่นนี้ ยิ่งวิชาที่หลอมมีมากเท่าไร นัยเร้นลับที่มีอยู่ก็ยิ่งลึกลับมากเท่านั้น อานุภาพที่มีก็ยิ่งแกร่งกล้าขึ้นไปด้วย
แต่ก็ในช่วงครึ่งปีนี้เองที่ทรัพยากรเติมพลังที่หลินสวินพกติดตัวทั้งหมดถูกใช้ไปจนสิ้น
ในระหว่างนี้เขาก็ลองเสาะหาพลังชีวิต แสวงหาทรัพยากรที่จะนำมาใช้ได้ตามดาวต่างๆ แต่สุดท้ายก็กลับมามือเปล่า
ฟ้าดาราแห่งนี้เดิมก็เป็น ‘ที่ตาย’ แห่งหนึ่ง!
หลินสวินลองติดต่อ ‘อู๋เชวีย’ วิญญาณอาวุธของธนูวิญญาณไร้แก่นสาร แต่กลับพบว่าฝ่ายหลังจมสู่ภาวะเก็บตัวชั้นลึกมานานแล้ว ไม่มีทางตื่นขึ้นมาในช่วงสั้นๆ
ฉึบ!
ฝ่ามือหลินสวินมีปิ่นหยกเล่มหนึ่งเพิ่มขึ้นมา ปิ่นมีรูปลักษณ์โบราณเรียบง่าย เจียระไนขึ้นจากหยกดำสนิทลึกลับชนิดหนึ่ง บนนั้นมีตัวอักษร ‘ซี’ สลักอยู่ตัวหนึ่ง
นี่เป็นนามของหญิงลึกลับที่อยู่ในห้องโถงมรรคาสวรรค์ผู้นั้น
ถ้าพบกับเคราะห์ใหญ่เฉียดเป็นเฉียดตาย ขอเพียงกระตุ้นปิ่นหยกนี้ หญิงลึกลับก็จะออกมาจากห้องโถงมรรคาสวรรค์
หลินสวินนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ก่อนเก็บปิ่นหยกลงไปอีก
ไม่ได้เป็นเคราะห์เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเสียหน่อย ไยต้องรบกวน ‘ซี’ ด้วย
ข้าก็อยากรู้เหมือนกัน ว่าสุดท้ายความทรมานครั้งนี้จะกักขังข้าเอาไว้ได้หรือไม่
หลินสวินสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง สลัดความคิดยุ่งเหยิงทิ้ง สภาวะจิตยิ่งสงบนิ่งและแน่วแน่
ในสภาวะเฉียดเป็นเฉียดตายถึงน่ากลัวที่สุด แต่เห็นได้ชัดว่าตอนนี้ยังไม่ใช่ช่วงเวลาเป็นตายที่แท้จริง
หลินสวินไม่ได้เป็นพวกชอบเอาชนะ เขารู้ดีว่าพลังภายนอกก็เป็นส่วนหนึ่งของศักยภาพแห่งตน จะทำตามใจปรารถนาก็ได้ แต่ไม่อาจล้ำเส้นกฎเกณฑ์!
โดยเฉพาะเมื่อเกี่ยวโยงกับการหลอมมรรควิถีของตนเอง ยิ่งไม่อาจใช้พลังภายนอกได้ง่ายๆ หาไม่แล้วรังแต่จะทำให้มรรควิถีของตนด่างพร้อย
……
ครึ่งปีผ่านไป
หลินสวินผนึกพลังหลอมจิตและหลอมกาย ใช้เพียงพลังหลอมปราณมาค้ำจุน
หนึ่งปีผ่านไป
พลังหลอมปราณที่หลินสวินเหลือไว้เพียงอย่างเดียวถูกใช้ไปจนหมดสิ้น เปิดใช้พลังหลอมกาย
สองปีผ่านไป
หลินสวินเปิดใช้พลังหลอมจิต
…กาลเวลาผันผ่าน จนวันหนึ่งในปีที่ห้าของการท่องทะยานในฟ้าดาราอันแห้งแล้งแห่งนี้ พลังทั้งหมดในตัวหลินสวินก็ใช้ไปจนสิ้น
ทั้งตัวเขาหม่นแสงลง สติรับรู้ราวกับตกอยู่ในภาวะคล้ายตาย มีเพียงเจตจำนงตามสัญชาตญาณที่ยังค้ำจุนไว้อยู่
หลินสวินในตอนนี้จิตใจกลับสงบนิ่งและปลอดโปร่งอย่างประหลาด ‘เป็นและตาย ว่างและเต็ม โรยและรุ่ง หยินและหยาง…’
ก็ในสถานการณ์คับขันถึงที่สุดเช่นนี้เอง การหยั่งรู้อันหายากหาใดเทียบต่างๆ ผุดขึ้นในจิตใจของหลินสวิน
ทันใดนั้นก็ไม่รู้หลินสวินเอาพลังมาจากไหน พลันยืดตัวตรง ประกายเทพวาววาบออกมาจากดวงตาดำ
เป็นและตายไม่แน่นอน!
ว่างเปล่าและเติมเต็มไร้จำกัด!
ร่วงโรยและรุ่งเรืองเป็นวัฏจักร!
หยินและหยางเข้าแทนที่ซึ่งกันและกัน!
สิ่งนี้เรียกได้ว่าเป็นมรรคแห่ง ‘เลวร้ายกลายสุขสวัสดิ์’
ตูม!
เมื่อกระจ่างแจ้งถึงจุดนี้ ร่างกายของหลินสวินที่เดิมแห้งเหี่ยวโรยรา พลังหลอมกาย หลอมปราณและหลอมจิตทั้งสามที่ใช้ไปจนสิ้นแล้วก็พลิกผันถึงที่สุดในตอนนี้
พลังแฝงของเขาถูกกระตุ้นขึ้นโดยสมบูรณ์ พลังแรกกำเนิดที่อยู่ในส่วนลึกสุดของร่างกายได้รับการปลดปล่อย
จากนั้นพลังชีวิตอันไพศาลดั่งสายธารก็พวยพุ่งไปยังแขนขาและกระดูกดั่งภูเขาถล่มสมุทรคำราม ถาโถมเพิ่มพูดทั้งร่าง ประหนึ่งคลองที่แห้งเหือดถูกฝนห่าใหญ่กระหน่ำรดลงมา!
เลวร้ายกลายสุขสวัสดิ์!
ถ้าไม่ถูกบีบจนถึงที่สุดเช่นนี้ แม้แต่ตัวหลินสวินยังไม่กล้าเชื่อว่าตนจะถึงกับมีพลังแฝงมหาศาลที่ยังไม่ถูกขุดออกมา
เพียงครึ่งเค่อเท่านั้น สภาพของหลินสวินก็ฟื้นฟูถึงขั้นสมบูรณ์สูงสุดอย่างหมดจด
แม้พลังปราณยังไม่ทะลวงขั้น แต่หลินสวินกลับรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าตัวเองในตอนนี้แข็งแกร่งกว่าแต่ก่อนไม่ใช่แค่เท่าตัว!
ก็เหมือนทะเลสาบแห่งหนึ่งที่กว้างใหญ่ขึ้นหนึ่งเท่า ทะเลสาบยังเป็นทะเลสาบ แต่สายน้ำที่บรรจุอยู่ไม่เหมือนเดิมไปนานแล้ว
หลินสวินยืนเงียบๆ อยู่เหนือฟ้าดารา เสื้อผ้าโบกพลิ้ว ผมดำปลิวสยาย กลิ่นอายยากจับต้องอันอิ่มเอิบแผ่ออกมาทั่วกาย สีหน้ามีแต่ความโอหัง
ขณะนี้ความเชื่อมั่นในตัวเองอันแรงกล้าเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ สายตาของเขากวาดมองฟ้าดารา ปากโพล่งเบาๆ ว่า
“ระดับนี้ มีข้าไร้ศัตรู!”
ชัดถ้อยชัดคำ ดังก้องจักรวาล สะท้านสิบทิศ
……
เหมือนถูกฟ้าเบื้องบนอิจฉา หลังจากหลินสวินแปรสภาพ ‘เลวร้ายกลายสุขสวัสดิ์’ ท่ามกลางสถานการณ์คับขันถึงที่สุดแล้ว การเดินทางในฟ้าดาราครั้งนี้ก็ยังไม่จบลง
เวลาผ่านไปอีกหนึ่งปีโดยไม่รู้ตัว
หลินสวินไม่อาจไม่ใช้วิธีเดิม ทั้งยังต้องใช้ทุกวิถีทางเพื่อประหยัดพลังกาย แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้การผลาญพลังก็ยังอันตรายยิ่งดังเดิม…
ถูกทรมานขนาดนี้ ถ้าเปลี่ยนเป็นคนธรรมดาเกรงว่าคงหมดอาลัยตายอยาก สิ้นหวังยอมแพ้ไปนานแล้ว
แต่หลินสวินยังคงหนักแน่น ถ้าความตายไม่มาจู่โจม จะไม่ยอมแพ้เช่นนี้เด็ดขาด
‘ก็ไม่รู้ว่าศิษย์พี่เก่ออวี้ผูกับศิษย์พี่หลี่เสวียนเวยจะรู้หรือไม่ ว่า ‘ทางรอด’ ที่ท่านอาจารย์หลงเหลือไว้ให้ในตอนนั้นจะลำบากยากเข็ญขนาดนี้…’
หลินสวินถอนใจในใจ
หกปีเต็มๆ แล้ว!
ตัวคนเดียวท่องทะยานไปในฟ้าดาราไร้ขอบเขตที่ว่างเปล่า เย็นเยียบ และมีแต่กลิ่นอายความตายเช่นนี้ ไม่มีทรัพยากร ไม่มีพลังชีวิต ไม่มีพลังมหามรรค…
ประสบการณ์และการเคี่ยวกรำที่ไม่เคยมีมาก่อนนี้ สามารถทำให้คนที่สภาวะจิตไม่แข็งแกร่งต้องทรมานจนเสียสติ
“หืม?”
ก็ในระหว่างที่ความคิดของหลินสวินโบยบินไปนี้เอง จู่ๆ ก็สังเกตได้ว่าเข็มของพันฤกษ์วัฏจักรนำพาส่งเสียงวิ้งขึ้นทันใด
หลินสวินเงยหน้าขึ้นมองออกไปไกลตามจิตใต้สำนึก ก็เห็นว่าในส่วนลึกของจักรวาลอันไร้ขอบเขต มีประตูวังวนสีเทาขมุกขมัวบานหนึ่งปรากฏขึ้นเงียบๆ
ชั่วพริบตานี้ร่างของหลินสวินพลันตึงเครียด ดวงตาเปล่งประกาย ความตื่นเต้นดีใจยากบรรยายจู่โจมเข้าที่ดวงใจราวน้ำหลาก
ทางรอด!
ในที่สุดก็ปรากฏขึ้นแล้วหรือ
หลินสวินแทบจะทุ่มพลังที่เหลืออยู่เฮือกสุดท้ายในร่างกายทั้งหมด พุ่งถลาไปหาประตูวังวนที่อยู่ไกลออกไปเต็มกำลัง
โครม!
ชั่วพริบตาที่เงาร่างกระโจนเข้าไป หลินสวินรู้สึกเพียงเบื้องหน้าฟ้าพลิกดินคว่ำ ร่างกายถูกพลังเคลื่อนย้ายอันน่ากลัวเหนี่ยวนำไปโดยสูญเสียการควบคุม
‘ในที่สุดก็ได้ออกไปแล้วสินะ…’
ขณะนี้จิตใจที่ตึงเครียดมาหกปีของหลินสวินผ่อนคลายลงโดยสมบูรณ์ เขาคร้านจะสนใจแล้วว่าประตูวังวนนี้จะส่งเขาไปที่ไหน
ขอเพียงออกจากสถานที่บ้าๆ ที่เหมือนกับกรงขังแห่งนี้ได้ก็พอแล้ว!
จากนั้นภาพตรงหน้าหลินสวินที่ใช้พลังจนหมดสิ้นก็ดำมืดไปหมด หลับใหลไปโดยสมบูรณ์ เขาเหนื่อยเกินไปแล้วจริงๆ
‘ซี’ หญิงลึกลับที่อยู่ในห้องโถงมรรคาสวรรค์เผยรอยยิ้ม
หกปีมานี้นางเห็นทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับหลินสวิน หลายครั้งแม้แต่ตัวนางเองยังทนดูต่อไปไม่ได้ หมายจะลงมือช่วยอย่างอดไม่อยู่
แต่ทุกๆ ครั้งหลินสวนก็ฝืนทนต่อไปได้อย่างปาฏิหาริย์
กระทั่งตอนนี้มองดูหลินสวินหนีออกจากกรงขังได้สำเร็จ ในใจของซีก็โล่งใจและยินดีเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก
“เหนื่อยแล้ว ก็นอนให้สบายเถอะ…”
ครู่ต่อมาเงาร่างอรชรดั่งภาพฝันของซีก็ออกมาจากห้องโถงมรรคาสวรรค์
ที่นี่คืออุโมงค์ฟ้าดาราสายหนึ่ง เต็มไปด้วยกระแสกาลเวลายุ่งเหยิง ละอองแสงปลิวกระจาย งดงามตระการตา ทั้งยังอันตรายถึงที่สุด
ตูม!
กรงเล็บสัตว์มหึมาข้างหนึ่งพลันยื่นมาจากความว่างเปล่าไกลลิบ ตบเข้าที่อุโมงค์ฟ้าดาราสายนี้อย่างจัง
ยามซีปรากฏตัว เหมือนคาดเดาภาพนี้ได้ล่วงหน้า สีหน้าเรียบเฉยไม่หวั่นไหว เพียงแค่ยื่นมือออกไปกรีดเบาๆ
พลังดรรชนีโฉบพุ่ง เปลี่ยนเป็นใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็วในอากาศประหนึ่งเสาค้ำฟ้า กลิ่นอายไพศาลที่กระจายออกมาข่มกรงเล็บสัตว์นี้ไว้อย่างจัง
ทั้งสองปะทะกัน เกิดเป็นคลื่นกระแทกน่ากลัวแผ่กระจายออกมา ทำเอาอุโมงค์ฟ้าดาราสายนี้สั่นสะเทือนรุนแรง
กรงเล็บสัตว์มหึมามิดฟ้าถูกซัดให้ถอยไปแล้ว ในความว่างเปล่าไกลออกไปมีเสียงสัตว์ร้องคำรามอู้อี้
ซีเงยหน้ามองไป ก็เห็นอสูรยักษ์พิสดารตัวมหึมาหาใดเทียบตัวหนึ่งเคลื่อนขวางห้วงอากาศ ชักนำดวงดาวนับหมื่นพันมาด้วย
เพียงแค่ดวงตาทั้งคู่ของมันก็เหมือนดวงอาทิตย์สองดวง แดงฉานน่าหวาดหวั่น แผ่ประกายน่ากลัวที่เย็นชาไร้ความปรานีออกมา
แต่เมื่อเทียบกับร่างกายใหญ่โตของมันนั้น ดวงดาราทั้งท้องฟ้าก็เหมือนไข่มุกที่ไม่สะดุดตาเม็ดแล้วเม็ดเล่า…
ถ้าหลินสวินตื่นอยู่จะต้องจำได้ว่าเขาเคยพบอสูรยักษ์ฟ้าดาราอันพิสดารตัวนี้มาก่อน และยังไม่ใช่แค่ครั้งเดียวด้วย!
ซีนัยน์ตาหดรัด สะบัดแขนเสื้อครั้งหนึ่ง พาหลินสวินที่หลับไหลกระโจนไปยังส่วนลึกของอุโมงค์ฟ้าดาราด้วยความเร็วอันน่าเหลือเชื่อ
ตูม!
อสูรยักษ์แปลกประหลาดตัวนั้นยื่นกรงเล็บมหึมาออกมาบดขยี้ห้วงอากาศ ตีอุโมงค์ฟ้าดาราที่ซีเคลื่อนผ่านไปสายนั้น ละอองแสงปลิวว่อน ระเบิดออกท่ามกลางความว่างเปล่า
ภาพน่ากลัวนั้นสามารถทำให้ระดับจักรพรรดิตกตะลึงจนเหงื่อกาฬชโลมกาย
แต่สุดท้ายก็ยังถูกซีหลบพ้นไปก่อนก้าวหนึ่ง หายลับไปในประตูวังวนขนาดยักษ์ที่อยู่สุดปลายอุโมงค์
“หุบเหวกลืนกิน… ข้าจะจับเจ้าให้ได้…”
อสูรยักษ์ประหลาดตัวนั้นถลึงตาเยียบเย็นแดงฉาน มองดูจุดที่ซีหายลับไปอยู่ครู่ใหญ่แล้วจึงหันกลับ หายลับไปในห้วงอากาศเวิ้งว้าง
——
(จบภาค มหายุคอันพร่างพราว ใครเล่าคุมสถานการณ์)