ก็ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไหร่ หลินสวินที่หลับไหลอยู่ถูกเสียงสัตว์คำรามเสียงหนึ่งสะเทือนจนตื่น
เขาลืมตาขึ้นอย่างยากลำบาก ในครรลองสายตาเป็นต้นไม้ใหญ่ที่สูงตระหง่าน กิ่งใบอุดมสมบูรณ์บดบังท้องฟ้า แผ่เงาปกคลุม
ตัวเขาเองนอนอยู่บนพื้นที่ใบไม้เน่าเปื่อยทับถมอยู่
ฮูม…
หลินสวินพลันสูดหายใจเข้าลึก การรับรู้ที่เลือนรางค่อยๆ แจ่มชัดขึ้น ดวงตาที่เลื่อนลอยก็ค่อยๆ ชัดเจนขึ้นมา
ทว่าจากนั้นความรู้สึกเหนื่อยล้าอ่อนแรงอย่างที่สุดพลันพลุ่งพล่านไปทั่วร่างราวกับกระแสน้ำ เขาถึงขั้นไม่สามารถขยับได้แม้แต่นิ้วเดียว!
ความรู้สึกเช่นนี้ราวกับสัตว์ที่หิวโหย ผิวหนังทุกกระเบียดล้วนต้องการเสริมพลังอย่างที่สุด ลำบากยิ่งยวด
‘โชคดีที่อย่างน้อยก็รอดออกจากที่บ้าๆ นั่นแล้ว…’
หลินสวินนอนอยู่บนพื้น สูดพลังชีวิตในอากาศ สีหน้าเผยความผ่อนคลายที่ไม่เห็นมานาน
เขาคร้านจะใคร่ครวญแล้วว่าตอนนี้ตนอยู่ที่ไหน เริ่มรวบรวมสมาธิโคจรพลังปราณเงียบๆ ซึมซับไอวิญญาณที่คละคลุ้งอยู่กลางฟ้าดิน
ฮูม…
นี่เป็นป่าที่ไร้เงาผู้คน พอหลินสวินโคจรพลังปราณ ไอวิญญาณที่กระจายอยู่รอบๆ ก็ถามโถมเข้ามาราวกับกระแสน้ำ
ยามซึมซับไอวิญญาณที่คุ้นเคย แม้สำหรับระดับของเขาในตอนนี้พลังนั่นนับว่าเล็กน้อยมาก ทว่าหลินสวินยังคงรู้สึกดีใจอย่างที่สุด
ถูกขังอยู่ในฟ้าดาราที่เวิ้งว้างเปล่าเปลี่ยว ไร้ซึ่งพลังชีวิตนั่นหกปีเต็ม!
ตอนนี้ในที่สุดก็สัมผัสถึงพลังชีวิตแล้ว รับรู้ถึงพลังมหามรรค ความรู้สึกนั่นเหมือนผีอดอยากเพิ่งคลานออกจากนรก กระหายและดีใจ สบายและพึงพอใจอย่างบอกไม่ถูก
เพียงแต่ความดีใจเช่นนี้ดำเนินอยู่ได้ไม่เท่าไร นัยน์ตาหลินสวินพลันหดรัดลง
ตูม โครม…
บริเวณที่ไกลออกไป สัตว์ตัวใหญ่ยักษ์พุ่งปราดมาอย่างรุนแรง!
รูปร่างของมันเหมือนตั๊กแตนตัวใหญ่ สีเขียวมรกตตลอดตัว ยาวถึงเจ็ดแปดจั้ง มีขาหน้าแหลมคล้ายทวน ดวงตาทั้งคู่เหมือนโคมเขียวมรกตขนาดใหญ่
สัตว์ปีศาจที่เทียบเคียงระดับราชันตัวหนึ่ง!
หลินสวินตัดสินได้ในทันที
ถ้าเป็นเมื่อก่อนสัตว์ปีศาจเช่นนี้ไม่มีทางเข้าตาเขา ทว่าตอนนี้เขากำลังอยู่ในสภาพอ่อนแอถึงขีดสุด ไม่สามารถใช้พลังปราณได้ และไม่สามารถใช้สมบัติได้
อย่าว่าแต่สัตว์ปีศาจระดับราชัน กระทั่งสัตว์ร้ายตัวหนึ่งก็สามารถสร้างภัยคุกคามอย่างหนักต่อเขาได้
สวบ!
ลมคาวปะทะหน้า ตั๊กแตนเขียวมรกตตัวใหญ่ยักษ์นั่นโจมตีเข้ามา ขาหน้าที่แหลมคมทั้งคู่ฟันลงประหนึ่งดาบ เจือประกายแสงสีเขียวอันพร่างพราว
ชั่วขณะนี้หลินสวินนิ่งสงบผิดปกติ ใช้พลังเสี้ยวหนึ่งที่เพิ่งฟื้นฟูกลิ้งไปกับพื้น
ปัง!
ตำแหน่งที่เขาอยู่ในตอนแรก พื้นดินถูกผ่าแหวกออกเป็นรอยแยกขนาดใหญ่ ดินโคลนสาดกระเด็น
หลินสวินตกใจจนเหงื่อตก ลอบกัดฟัน แค่ตั๊กแตนตัวหนึ่งกลับกล้าลงมืออย่างกำเริบเสิบสานกับตน ช่างเหมือนกับคำที่ว่าพยัคฆ์ในที่ราบถูกสุนัขกลั่นแกล้งวซะจริง…
อีกเดี๋ยวจะต้องย่างตั๊กแตนตัวนี้ซะ!
ในฝ่ามือเขาลอบกำยันต์หยกชิ้นหนึ่งไว้ นี่เป็นยันต์คงชีพ อานุภาพไม่ถึงกับร้ายกาจนัก เทียบเท่าการโจมตีอย่างเต็มพลังของระดับอริยะแท้เท่านั้น
ทว่าเล่นงานสัตว์ปีศาจระดับราชันตัวหนึ่งกลับเหลือเฟือ
สมบัติเช่นนี้ล้วนเป็นทรัพย์หลักศึกที่หลินสวินได้จากศัตรูในการต่อสู้หลายปีมานี้ ไม่มีค่าอะไรสำหรับเขานานแล้ว
แต่คิดไม่ถึงว่ากลับได้ใช้ในเวลานี้…
ไกลออกไปตั๊กแตนเขียวมรกตยักษ์นั่นประหลาดใจเล็กน้อย ราวกับคิดไม่ถึงว่ามนุษย์ที่อ่อนแอเช่นนี้กลับหลบการโจมตีของมันได้
มันโบกขาหน้าอีกครั้ง จู่โจมเข้าใส่หลินสวิน
“เดรันฉาน!”
ทว่าไม่รอให้หลินสวินลงมือ เสียงผรุสวาทเสียงหนึ่งดังก้องขึ้น สิ่งที่ไวกว่าเสียง คือกระบองยาวกระดูกสัตว์ด้ามหนึ่งที่ทะลวงฟ้าโจมตีเข้ามา
ตูม!
ห้วงอากาศกึกก้อง ลมแรงพัดสะบัด
ตั๊กแตนยักษ์นั่นถูกกระบองกระแทกจนร่างกายระเบิดแหลกโดยตรง กระเด็นไปทั่ว คราบเลือดสีเขียวที่เหม็นคาวสาดกระเซ็น
หลินสวินเงยหน้ามองไป ก็เห็นเงาร่างงามทะลวงอากาศเข้ามา
นางสวมชุดหนังสัตว์สั้นไม่มีแขน เผยให้เห็นเอวบาง ภายใต้ชุดกระโปรงเป็นขายาวเกลี้ยงเกลาเปี่ยมพลัง
ผิวของนางเป็นสีน้ำตาลอ่อน ผมสีเงินสั้นเท่าดิ่งหู ดวงตาโตเป็นประกาย รูปลักษณ์งดงาม แผ่ความงดงามที่ดิบเถื่อน
“นี่ เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม”
นัยน์ตาเป็นประกายของหญิงผมเงินสังเกตหลินสวิน กล้าหาญและตรงไปตรงมา
หลินสวินเอ่ย “ไม่เป็นไร”
“เช่นนั้นเจ้ายืนขึ้นสิ ยังจะนอนอยู่ทำไม คงไม่ได้ตกใจจนโง่ไปแล้วหรอกนะ”
หญิงผมเงินกลั้นขำไม่ไหว เผยฟันขาวดั่งหิมะที่เรียงตัวเป็นระเบียบออกมา นางงดงามเปิดเผย มีบุคลิกเป็นเอกลักษณ์
หลินสวินสูดหายใจลึกครั้งหนึ่งแล้วยันตัวขึ้นอย่างยากลำยาก ลุกขึ้นยืนอย่างโซซัดโซเซ
หญิงผมเงินเดินเข้ามาจับแขนของเขาช่วยพยุงให้มั่นคง พร้อมพูดอย่างเยาะเย้ย “พี่ชายน้อย ลูกผู้ชายคนหนึ่งร่างกายกลับอ่อนแอขนาดนี้ กลางคืนทำงานหนักเกินไปหรือเปล่า”
เป็นครั้งแรกที่หลินสวินเจอผู้หญิงที่เปิดเผยเช่นนี้ จึงอดมองนางอย่างประหลาดใจไม่ได้ พร้อมกล่าวเยาะกลับไป “พี่สาวตัวน้อย เจ้าไม่รู้หรือว่าการพูดว่าผู้ชายคนหนึ่งอ่อนแอจุดจบรุนแรงมาก”
ผู้หญิงผมเงินที่ประหนึ่งกุหลาบหนามแหลมแปลกประหลาดและเต็มไปด้วยความป่าเถื่อนหัวเราะหึๆ ขึ้นมา “พอเถอะ ไก่อ่อนอย่างเจ้า ฝ่ามือเดียวของข้าบีบตายไปหลายคนแล้ว”
ว่าแล้วนางพลันแบกหลินสวินไว้บนไหล่!
หลินสวินอึ้ง รีบพูดว่า “เจ้าจะทำอะไร”
หญิงผมเงินก้าวเท้าเดินไกลออกไปแล้ว “อย่าคิดเลยเถิด ข้าไม่สนใจร่างกายอ่อนแอของพี่ชายน้อยหรอก ไม่ทำเรื่องน่าละอายฝืนใจคนแบบนั้นแน่ เพียงแค่เห็นว่าขาของเจ้าเดินไม่ถนัดจึงแบกเจ้าเท่านั้น”
หลินสวินอึ้งงัน
หลายปีที่ผ่านมานี่เป็นครั้งแรกที่หลินสวินถูกผู้หญิงคนหนึ่งแบก ในใจเกิดความรู้สึกเก้อเขินอย่างยากจะได้เห็น
หากผู้แข็งแกร่งในดินแดนรกร้างโบราณรู้เข้า ว่าเทพมารหลินที่ถูกพวกเขามองว่าไร้เทียมทานกลับมีวันที่ตกอยู่ในสภาพนี้ จะรู้สึกอย่างไรกัน
“นี่ พี่ชายน้อยเป็นคนที่ไหน เหตุใดข้าจึงไม่เคยเห็นมาก่อน”
ระหว่างทางหญิงผมเงินถามเรื่อยเปื่อย
“ข้า…”
หลินสวินพูดไม่ออกไปชั่วขณะ
“ไม่สะดวกพูดหรือ”
“ไม่ใช่”
“เช่นนั้นมีเงื่อนงำอื่นหรือ”
“ไม่ใช่”
“เช่นนั้นเจ้าก็พูดมาสิ”
“ข้า… หลงทาง”
หลินสวินอัดอั้นอยู่นานก่อนให้คำตอบเช่นนี้ออกมา
หญิงผมเงินอึ้งไปก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นหัวเราะลั่นอย่างไม่ห่วงภาพลักษณ์ “ฮ่าๆๆ พี่ชายน้อย เจ้าช่างเหมือนดอกไม้ประหลาดดอกหนึ่ง ไม่เพียงแค่ร่างกายอ่อนแอยังหลงทางอีก เจ้าจะน่าสนใจเกินไปแล้ว”
หลินสวิน “…”
นี่มีอะไรตลกกัน
ครู่ใหญ่หญิงผมเงินจึงหยุดหัวเราะ เช็ดน้ำลายที่มาอยู่ตรงมุมปากเพราะหัวเราะออกไปแล้วเอ่ยว่า “ข้าชื่อหนานชิว หนานที่แปลว่าทิศใต้ ชิวที่แปลว่าฤดูใบไม้ผลิ มาจากเผ่ามู่ซาง”
“เผ่ามู่ซางหรือ”
“ใช่ เผ่ามู่ซางที่เป็นหนึ่งในสิบสามเผ่าใหญ่โลกลำนำสวรรค์”
“โลกลำนำสวรรค์?”
“ใช่แล้ว จริงสิ พี่ชายน้อยเจ้าชื่ออะไร”
“หลินเต้ายวน”
“ที่แท้ก็เป็นพี่ชายน้อยหลิน”
“แม่นางหนานชิว เจ้าเล่าเรื่องของโลกลำนำสวรรค์ให้ข้าฟังหน่อยได้หรือไม่ ข้า… เหมือนจะสูญเสียความทรงจำไปบ้าง…”
ยามหลินสวินพูดถึงตรงนี้ หนานชิวหัวเราะลั่นอย่างไม่ห่วงภาพลักษณ์อีกครั้ง “ร่างกายอ่อนแอ หลงทาง แล้วยังความจำเสื่อมอีก เจ้าช่าง…น่าสนใจเกินไปแล้ว!”
หลินสวิน “…”
ตลกขนาดนั้นจริงๆ หรือ
ทว่าในที่สุดหลินสวินก็ดูออกแล้วว่าหนานชิวคงนิสัยแบบนี้อยู่แล้ว มองโลกในแง่ดี กร้าวแกร่ง ชัดเจนตรงไปตรงมา แน่นอนว่าชอบหัวเราะอย่างกำเริบเสิบสานด้วย
ระหว่างทางหลังจากนั้นหลินสวินก็ค่อยๆ ได้รู้ข้อมูลหลายอย่าง
ที่นี่คือโลกลำนำสวรรค์ โลกเล็กๆ อันห่างไกลที่ตั้งอยู่บนทางเดินโบราณฟ้าดารา
ในโลกนี้มีขุมอำนาจสี่สำนักใหญ่และสิบสามเผ่าใหญ่ควบคุมร่วมกัน
ในนั้นสำนักกระบี่สวรรค์ดำเนินเป็นขุมอำนาจอันดับหนึ่งในโลกลำนำสวรรค์ เป็นผู้นำและผู้ปกครองของโลกนี้
ส่วนเผ่ามู่ซาง เป็นเพียงแค่ขุมอำนาจเผ่าหนึ่งที่การจัดอันดับและศักยภาพรั้งท้ายในหมู่สิบสามเผ่าใหญ่เท่านั้น
“โลกลำนำสวรรค์ ทางเดินโบราณฟ้าดารา…”
ดวงตาหลินสวินเผยความตะลึง
หกปีก่อนตนยังอยู่บนแท่นสักการะในแหล่งสถานคุนหลุนอยู่เลย หกปีหลังจากนั้นตนทะลวงผ่านฟ้าดาราว่างเปล่าแห่งหนึ่ง และมาปรากฏตัวบนทางเดินโบราณฟ้าดาราอย่างไม่คาดคิด!
ควรรู้ว่าตอนที่อยู่ดินแดนรกร้างโบราณ มีเพียงบรรลุระดับจักรพรรดิเท่านั้น จึงจะสามารถทลายกำแพงระหว่างโลก ก้าวสู่ฟ้าดาราได้ ผู้ฝึกปราณคนอื่นๆ หากไม่มีวิธีพิเศษ ทั้งชาติก็อย่าหวังว่าจะได้ไปเยือนทางเดินโบราณฟ้าดารา
ทว่าตอนนี้ เขาหลินสวินมาแล้ว!
ความไม่แน่นอนบนโลกคงเป็นเช่นนี้
“โห! พี่หนานชิวแบกผู้ชายคนหนึ่งกลับมา!”
“เดี๋ยวๆ พี่หนานชิวเกลียดการแต่งงานที่สุดมิใช่หรือ เหตุใดวันนี้ออกไปล่าเหยื่อ เหยื่อที่ล่ากลับมากลับเป็นผู้ชายคนหนึ่ง”
เสียงวุ่นวายอลหม่านดังขึ้นระลอกหนึ่ง
หลินสวินเงยหน้ามองไป ก็เห็นหุบเขาใหญ่แห่งหนึ่ง ในหุบเขาไอวิญญาณคละคลุ้ง เมฆหมอกรายล้อม บ้านหินเก่าแก่หลายหลังตั้งอยู่ภายใน เรียงรายเป็นชั้นเป็นแถว
นี่คืออาณาเขตของเผ่ามู่ซางอย่างไม่ต้องสงสัย
บริเวณทางเข้าหุบเขาชายหญิงรุ่นเยาว์กำลังฝึกพลังยุทธ์ แต่ละคนล้วนแข็งแกร่งทรงพลัง มีกำลังวังชายิ่งยวด เลือดลมทั่วร่างพลุ่งพล่าน แสงพิสุทธิ์เวียนไหล น่ากลัวอย่างที่สุด
ตอนที่เห็นหนานชิวแบกหลินสวิน เด็กหนุ่มสาวเหล่านี้ต่างเริ่มฮือฮา
หนานชิวกลอกตาใส่ พูดอย่างไม่สมอารมณ์ “เจ้าพวกเด็กอมมือ พวกเจ้าจะรู้อะไร จดจ่อฝึกยุทธ์!”
ว่าพลางนางก็แบกหลินสวินเดินไปยังหุบเขา
ระหว่างทางนี้หลินสวินเห็นผู้แข็งแกร่งเผ่ามู่ซางจำนวนไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นชายหญิงแก่หรือเด็ก พลังกายล้วนแข็งแกร่งอย่างที่สุด เลือดลมเต็มเปี่ยม
ไม่นานหลินสวินก็ได้รู้ว่าเผ่ามู่ซางมีคนนับหมื่น อาศัยอยู่ที่นี่ทุกยุคทุกสมัย หลังจากคนในเผ่ากลายเป็นผู้ใหญ่ มีเพียงผู้ที่พลังปราณบรรลุถึงระดับราชันอมตะ จึงจะถูกส่งไปฝึกข้างนอก
พูดสั้นๆ ก็คือ หุบเขาแห่งนี้สามารถมองเป็น ‘แดนบรรพบุรุษ’ ของเผ่ามู่ซางได้
ไม่นานหนานชิวก็พาหลินสวินมาถึงหน้าบ้านหินที่เรียบง่ายหลังหนึ่ง ชายชราที่รูปร่างสูงใหญ่คนหนึ่งเดินออกจากบ้านพอดี เอ่ยพูดด้วยสีหน้าผิดคาดว่า
“หนานชิว เหตุใดเจ้าจึงแบกผู้ชายคนหนึ่งกลับมา”
หนานชิวพูดอย่างสบายๆ “อาเก้า ข้าเก็บเจ้าหมอนี่ได้ที่ ‘ป่าผีว่างเปล่า’ ร่างกายอ่อนแอเกินไป กลัวว่าเขาจะเกิดอันตรายจึงพาเขากลับมา”
ชายชราขานรับว่าอ้อคำหนึ่ง ในดวงตาปรากฏแววหลักแหลม พินิจหลินสวินครู่นึ่งก็เอ่ยกับหนานชิวว่า “ให้คุณชายคนนี้อยู่ที่นี่ก็พอ ข้าจะดูแลเอง เจ้าไปฝึกปราณเถอะ อย่าลืมว่าอีกหนึ่งเดือนเจ้าต้องไปร่วม ‘ศึกราชันลำนำสวรรค์’ แล้ว ถึงตอนนั้นจะสามารถโดดเด่นออกมาได้หรือไม่…”
หนานชิวรีบตัดบท “ได้อาเก้า ข้าเข้าใจ ”
ว่าพลางนางก็วางหลินสวินที่อยู่บนไหล่ลงพื้น ยิ้มตาหยีพูด “พี่หลิน เช่นนั้นก็ลำบากเจ้าอยู่ที่นี่สักระยะนะ อาเก้าเป็นถึงอาจารย์หลอมยาที่มีชื่อเสียงของโลกลำนำสวรรค์ ฉวยโอกาสนี้ให้เขาบำรุงร่างกายเจ้าให้ดี”
“ข้าจะหาเวลามาเยี่ยมเจ้า”
จากนั้นนางก็โบกมือแล้วหมุนตัวจากไป
——