บนทะเลเมฆเงียบสงัด
หนานชิวจ้องมู่ซิวหย่วน สีหน้าสับสนไม่หยุด เป็นผู้ชายคนนี้ ที่วันนี้ใช้การถอนหมั้นมอบการโจมตีและความอับอายอันหนักหน่วงอย่างที่สุดมาให้นาง
นางคิดไม่ตกว่าเหตุใดอีกฝ่ายต้องไร้ไมตรีกันขนาดนี้ ต่อให้ไม่ยินยอม แต่เหตุใดต้องทำร้ายตนเช่นนี้ด้วย
เพราะเขาคือผู้สืบทอดอันดับหนึ่งของสำนักกระบี่สวรรค์ดำเนินหรือ
ยิ่งคิดหนานชิวก็ยิ่งโกรธ ร่างสั่นเทิ้มขึ้นมา แทบจะควบคุมตัวเองไม่อยู่แล้ว
มู่ซิวหย่วนที่อยู่ไกลออกไปพอจะรู้เรื่องมาก่อนแล้ว และสังเกตเห็นสายตาที่เดือดดาลอย่างที่สุดของหนานชิว
ทว่าเขาไม่ได้สนใจ
เขาเพียงมองหลินสวิน สีหน้าแฝงความยากจะเชื่อ ราวกับไม่สามารถจินตนาการได้ ว่าคนเช่นนี้กล้ามาท้าทายสำนักกระบี่สวรรค์ดำเนินได้อย่างไร
“สหายยุทธ์ มู่ซิวหย่วนมาแล้ว” กงหยางฉี่พูดเนิบๆ
ในเวลาเดียวกันมู่ซิวหย่วนสูดหายใจเข้าลึกคราหนึ่ง กดความสงสัยในใจไว้ ประสานหมัดพูด “มู่ซิวหย่วนคารวะผู้อาวุโส ไม่ทราบว่าข้าล่วงเกินผู้อาวุโสตรงไหน โปรดบอกให้รู้”
“คุกเข่า”
หลินสวินพูดง่ายๆ
แค่สองคำแต่ทำให้ทุกคนในที่นั้นผิดคาด กงหยางฉี่เองก็นัยน์ตาหดรัด นี่เห็นได้ชัดว่าจงใจเหยียบย่ำและสร้างความอับอายให้มู่ซิวหย่วน!
มู่ซิวหย่วนสีหน้าชะงักงัน ใบหน้าขาวผ่องหล่อเหลาแดงก่ำ เอ่ยว่า “ผู้อาวุโส แม้ตายก็ไม่ยอมก้มหัว ข้ามู่ซิวหย่วนยอมตายทั้งที่ยังยืน ดีกว่าต้องคุกเข่าเพื่อมีชีวิต!”
คำพูดทรงพลัง เสียงดังกังวานก้องฟ้า
ผู้ฝึกปราณจำนวนไม่น้อยในเมืองต่างสภาวะจิตเหิมหาญ นี่คือความองอาจของผู้ฝึกกระบี่ระดับราชัน อันดับหนึ่งในบรรดาคนรุ่นเยาว์!
ในเวลาเดียวกันในใจพวกเขาต่างเกิดการต่อต้านหลินสวิน พลังแข็งแกร่งก็สามารถกำเริบเสิบสาน บีบบังคับกันเช่นนั้นหรือ
หลินสวินไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้ กล่าวว่า “ตายทั้งที่ยังยืนหรือ นี่ง่ายกับเจ้าเกินไป เจ้าคุกเข่าลงจะดีกว่า”
เขากดมือลวกๆ คราหนึ่ง พลังน่าสะพรึงพลันปกคลุมลงมา
“สหายยุทธ์ มีอะไรคุยกันดีๆ”
กงหยางฉี่ลงมือโดยไม่ลังเล เมฆหมอกสีม่วงแถบหนึ่งเปลี่ยนเป็นกระแสปราณกระบี่ที่พลุ่งพล่านปานกระแสน้ำ สกัดขวางการโจมตีนี้
ตูม โครม!
กระแสปราณกระบี่สีม่วงสลายไปราวกระดาษเปื่อย
กงหยางฉี่นัยน์ตาหดรัดโดยพลัน ในใจหวาดหวั่น พลังน่าสะพรึงกลัวนัก เจ้าหมอนี่เป็นใครกันแน่ เหตุใดจึงแข็งแกร่งเพียงนี้
ปัง!
มู่ซิวหย่วนคุกเข่าอยู่กลางอากาศ ด้วยพลังระดับราชันของเขา ไม่ควรค่าให้หลินสวินชายตามองด้วยซ้ำ หากหลินสวินต้องการ เพียงการโจมตีเดียวก็สามารถบดกระดูกเขาให้เป็นฝุ่นผงได้แล้ว
“อ๊าก…”
มู่ซิวหย่วนใบหน้าแดงก่ำ ส่งเสียงร้องออกมา รู้สึกอับอายและเดือดดาลอย่างที่สุด ถูกบีบให้คุกเข่าต่อหน้าทุกคน ความรู้สึกเช่นนี้เขาไม่เคยสัมผัสมาก่อน
ในฐานะผู้กล้าอย่างเขา คิดไม่ถึงว่าตนกลับเจอการดูหมิ่นที่น่าอับอายเช่นนี้ที่โลกลำนำสวรรค์ หน้าประตูภูเขาสำนักกระบี่สวรรค์ดำเนิน
ผู้สืบทอดสำนักกระบี่สวรรค์ดำเนินที่อยู่รอบๆ ต่างสีหน้าเปลี่ยนไป เงียบกริบปานจักจั่นหน้าหนาว
กงหยางฉี่สีหน้าอึมครึมไม่หยุด ในใจอัดอั้นอย่างที่สุด แต่สุดท้ายก็ถอนหายใจยาว สถานการณ์ไม่อำนวย เขาไม่ก้มหัวไม่ได้!
ส่วนในเมืองด้านล่าง ทุกคนต่างตะลึง มู่ซิวหย่วนถูกบีบให้คุกเข่าแล้ว…
หญิงสาวบางส่วนที่ชื่นชมมู่ซิวหย่วนอย่างที่สุดเพียงรู้สึกว่าหัวใจสลาย
แม้เป็นหนานชิวยังคิดไม่ถึงว่าหลินสวินจะเผด็จการเช่นนี้ กำราบมู่ซิวหย่วนต่อหน้าเจ้าสำนักกระบี่สวรรค์ดำเนิน!
“ความรู้สึกเช่นนี้ทรมานมากใช่ไหม”
หลินสวินเอ่ยปาก สายตาลึกล้ำ “ในใจเจ้าคงโกรธมาก ไม่เข้าใจว่าเหตุใดข้าต้องเจาะจงเล่นงานเจ้า”
“ไม่ผิด!”
มู่ซิวหย่วนกัดฟัน สีหน้าคล้ำเขียวอย่างที่สุด
หลินสวินชี้ไปที่หนานชิวที่อยู่ข้างๆ พร้อมพูดว่า “นางชื่อหนานชิว เป็นน้องสาวของข้า ตอนนี้เจ้าเข้าใจหรือยัง”
“อะไรนะ!?”
ในที่นั้นฮือฮาขึ้นมาทันที หลายคนต่างเผยสีหน้ายากจะเชื่อ
หนานชิว ผู้หญิงที่มีสัญญาหมั้นหมายกับมู่ซิวหย่วนตั้งแต่เกิด ต่อให้ไม่มีใครเคยเห็นนาง แต่ใครจะไม่รู้จักชื่อหนานชิวเล่า
กงหยางฉี่สีหน้าแปรเปลี่ยน ในใจสะท้านรุนแรง ตระหนักได้ถึงปัญหาแล้ว ชั่วขณะเดียวก็รู้สึกว่าภาพตรงหน้ามืดสลัวขึ้นมา
เช้าตรู่วันนี้พวกเขาสำนักกระบี่สวรรค์ดำเนินเพิ่งเป็นตัวแทนของมู่ซิวหย่วน วานให้เผ่าเพลิงเมฆาไปถอนหมั้นที่เผ่ามู่ซาง
ตอนนี้กรรมสนองแล้ว!
ในเมือง ผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนต่างอึ้งค้าง ก่อนหน้านี้พวกเขายังวิพากษ์วิจารณ์การถอนหมั้นครั้งนี้ มองหนานชิวเป็นตัวตลก คำพูดเต็มไปด้วยความสบประมาทและเย้ยหยัน
แต่ตอนนี้… ตัวตลกที่ถูกถอนหมั้นอย่างหนานชิวกลับปรากฏตัวกลางอากาศ ยืนอยู่ตรงหน้ามู่ซิวหย่วนที่คุกเข่าอยู่!
“เป็นไปไม่ได้! หนานชิวมีพี่ชายอย่างเจ้าตั้งแต่เมื่อไหร่” มู่ซิวหย่วนราวกับถูกฟ้าผ่า ร้องเสียงหลง สภาวะจิตเสียการควบคุมอย่างสิ้นเชิง
เขาดิ้นรนหมายลุกขึ้น กลับถูกกำราบไว้ตรงนั้น ให้อยู่ในท่าคุกเข่าอันน่าอดสู
หลินสวินสายตาเย็นเยียบ “เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าหนังสือถอนหมั้นฉบับเดียวของเจ้า แทบทำลายทั้งชีวิตของหนานชิว เจ้าไม่เคยคิด เพราะเจ้าคิดเองเออเองว่าตนสูงส่ง สามารถทำตามอำเภอใจได้ และมีสำนักกระบี่สวรรค์ดำเนินเป็นที่พึ่ง จะสนใจผู้หญิงคนหนึ่งที่มาจากเผ่ามู่ซางได้อย่างไร”
เสียบราบเรียบสะท้อนก้องในบรรยากาศที่เงียบสงัดชวนกดดัน สีหน้าของหลายคนต่างไม่เป็นธรรมชาติขึ้นมา
หลินสวินพูดต่อ “ให้เจ้าคุกเข่าครั้งนี้ ข้าก็ไม่ได้คิดว่าจะเป็นการทำลายทั้งชีวิตของเจ้าหรือไม่ เพราะข้าก็อยากให้เจ้าลิ้มลองความรู้สึกของการถูกดูหมิ่นและเหยียบย่ำนี้”
“พูดสั้นๆ ก็คือ นี่คือการแก้แค้น ตอนนี้เจ้าเข้าใจหรือยัง”
พอสิ้นเสียงในที่นั้นล้วนเงียบกริบไร้สรรพเสียง
หนาวชิวขอบตาแดงก่ำ ในใจเกิดความรู้สึกที่พูดไม่ออก
แต่ยามมองดูมู่ซิวหย่วนซึ่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าราวกับนักโทษ ในใจนางไม่มีความสะใจที่ได้แก้แค้น มีเพียงความรังเกียจ
“ข้า… ข้า…”
มู่ซิวหย่วนสีหน้าเปลี่ยนไป สุดท้ายกระอักเลือดออกมา เพราะโทสะโจมตีจิตใจจึงโกรธจนหมดสติไปแล้ว
กงหยางฉี่ตกใจ ไม่สนใจอย่างอื่นอีก รีบลงมือช่วยมู่ซิวหย่วนไว้
“สหายยุทธ์ ได้แก้แค้นไปแล้ว ตอนนี้เจ้าพอใจหรือยัง”
กงหยางฉี่สูดหายใจเข้าลึกๆ เอ่ยถาม
คนอื่นๆ ต่างมองไปทางหลินสวิน
ตวนมู่เจียงหนึ่งในหกผู้สืบทอดแท้จริงสำนักกระบี่สวรรค์ดำเนินตายแล้ว ผู้อาวุโสจั๋วหมิงตายแล้ว ตอนนี้มู่ซิวหย่วนเองก็หมดสติไปทั้งที่กำลังคุกเข่า
การแก้แค้นเช่นนี้ เรียกได้ว่านองเลือดและหนักหน่วงนัก
ทว่าหลินสวินกลับส่ายหน้าพูด “หากไม่มีสำนักกระบี่สวรรค์ดำเนินของพวกเจ้าให้ท้าย มู่ซิวหย่วนย่อมไม่กล้าทำเรื่องไม่เหมาะสมเช่นนี้ สำนักกระบี่สวรรค์ดำเนินของพวกเจ้าก็ต้องชดใช้เช่นกัน”
ประโยคนี้ทำเอาร่างกงหยางฉี่เย็นวาบขึ้นมา และทำให้คนอื่นๆ โกรธจนแทบควบคุมตัวเองไม่ได้ เจ้าหมอนี่เห็นสำนักกระบี่สวรรค์ดำเนินของพวกเขาเป็นอะไร
“ข้าอยากยืมที่แห่งนี้ฝึกตนสักระยะ ถือเป็นการชดเชยของสำนักกระบี่สวรรค์ดำเนิน สหายยุทธ์คิดอย่างไร”
หลินสวินชี้ไปยังเขาเทพขลุ่ยหิมะที่อยู่ไกลออกไป
ฝึกตนหรือ
กงหยางฉี่อึ้งไป สีหน้าดีขึ้นไม่น้อย ฝืนยิ้มพูด “สหายยุทธ์มาเยือน ถือเป็นเกียรติของสำนักกระบี่สวรรค์ดำเนิน ย่อมยินดีอย่างที่สุด”
หลินสวินมองกงหยางฉี่ด้วยแววตาลึกล้ำคราหนึ่ง ก่อนพูดว่า “หากไม่ใช่เพราะท่าทีของเจ้ายังถือว่าไม่เลว วันนี้เกรงว่าสำนักกระบี่สวรรค์ดำเนินจะเสียหายหนักกว่านี้”
ริมฝีปากกงหยางฉี่ขมขื่น ท่าทีไม่เลวอะไรกัน อย่างตนตอนนี้เรียกว่ากล้ำกลืนความอัปยศต่างหาก!
……
เขาเทพขลุ่ยหิมะ
หลินสวินแผ่จิตรับรู้ออกไป เจอถ้ำสวรรค์แดนมงคลที่ชีพจรปราณวิญญาณรวมตัวอยู่แห่งหนึ่งในทันที จึงเอ่ยว่า “สหายยุทธ์ นี่คือถ้ำของใคร”
กงหยางฉี่ที่อยู่ข้างๆ รีบพูดว่า “หากสหายยุทธ์ถูกใจก็ฝึกในนั้นได้ตามสบาย”
หลินสวินยิ้มพูด “เช่นนั้นข้าไม่เกรงใจแล้ว”
ว่าแล้วเงาร่างของเขาก็พริบไหว พุ่งเข้าไปในนั้น
มองเงาร่างของเขาหายไปในถ้ำสวรรค์แดนมงคลนั่น กงหยางฉี่สีหน้าแปรเปลี่ยนอยู่นาน สุดท้ายก็ถอนหายใจยาว สีหน้ามืดทะมึน
สำนักกระบี่สวรรค์ดำเนินของตน ครั้งนี้ล่วงเกินคนเช่นไรเข้าแล้ว!
“สหายยุทธ์ มีอีกเรื่องจะรบกวน” จู่ๆ เสียงของหลินสวินก็ดังมาจากไกลๆ
กงหยางฉี่ใจหดรัด รีบพูดว่า “สหายยุทธ์เชิญว่ามา”
เสียงของหลินสวินดังมา “น้องสาวข้าจะเข้าร่วมศึกราชันลำนำสวรรค์ เรื่องนี้หวังว่าเจ้าจะสามารถจัดการสักหน่อย”
กงหยางฉี่ลอบถอนหายใจแล้วพูดว่า “เรื่องเล็ก สหายยุทธ์ไม่ต้องเป็นห่วง”
เมื่อเห็นว่าหลินสวินไม่มีคำสั่งอื่น กงหยางฉี่จึงหมุนตัวจากไปอย่างรวดเร็ว
เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ พูดได้ว่ากระทบชื่อเสียงของสำนักกระบี่สวรรค์ดำเนินอย่างหนัก
โดยเฉพาะคนน่ากลัวที่ไม่ทำอะไรตามหลักการอย่างหลินสวิน ตอนนี้ยังอยู่ที่สำนักกระบี่สวรรค์ดำเนินของพวกเขา นี่ทำให้กงหยางฉี่รู้สึกยากจะรับมือ รู้ว่าต้องรีบจัดการโดยไว จะปล่อยให้เกิดความวุ่นวายใดๆ ขึ้นตอนนี้อีกไม่ได้เด็ดขาด
ยามกงหยางฉี่มาถึงหน้าประตูโถงสำนัก พวกคนเบื้องบนของสำนักกระบี่สวรรค์ดำเนินมารวมตัวกันรอเขาอยู่ที่นั่นแล้ว
“เจ้าสำนัก คนผู้นั้นวิธีการเหี้ยมโหด เลือดเย็นเผด็จการ พวกเราจะยอมให้เขาเหยียบย่ำวางอำนาจเหนือหัวพวกเราหรือ”
คนมากมายเอ่ยปากวุ่นวาย แต่ละคนล้วนเดือดดาลยากจะทนไหว วันนี้สำนักของพวกเขาเสียหน้าจนไม่เหลือซากแล้ว
กงหยางฉี่สีหน้ามืดทะมึน ตะโกนว่า “หุบปาก!”
ทุกคนเงียบกริบ บรรยากาศในโถงสำนักก็เงียบเชียบเช่นกัน
“สั่งการลงไป ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ไม่ว่าใครล้วนห้ามเข้าใกล้แดนมงคลหลังเขา เพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนการฝึกตนของสหายยุทธ์หลิน”
กงหยางฉี่สูดหายใจเข้าลึกคราหนึ่งแล้วออกคำสั่ง “นอกจากนี้ ยามศึกราชันลำนำสวรรค์เริ่มขึ้น ปฏิบัติกับผู้แข็งแกร่งเผ่ามู่ซางอย่างแขกสำคัญ อย่าสะเพร่าเด็ดขาด หากข้ารู้ว่าใครกล้าหาเรื่องเผ่ามู่ซางในที่ลับ อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ”
เสียงราวกับฟ้าร้อง ก้องสะท้อนทั้งห้องโถง
เหล่าคนใหญ่คนโตสำนักกระบี่สวรรค์ดำเนินต่างอึ้งงัน คิดไม่ถึงว่าในเวลาที่ต้องแบกรับความอับอายเช่นนี้ เจ้าสำนักกลับจัดการอย่างนี้
ทว่ากงหยางฉี่คร้านจะอธิบายแล้ว แอบคิดในใจว่า ‘ยามศึกราชันลำนำสวรรค์จบลง เหล่าผู้ยิ่งใหญ่จากสำนักยุทธ์เตาโอสถแห่งโลกต้าอวี่ก็จะมาถึง ตอนนั้นจึงจะเป็นเวลาแก้แค้นของสำนักกระบี่สวรรค์ดำเนิน…’
คิดถึงตรงนี้ในใจกงหยางฉี่ก็สงบลงไม่น้อย คำนวณอย่างเงียบๆ ว่าต้องแลกกับอะไร จึงจะขอความช่วยเหลือจากเหล่าผู้ยิ่งใหญ่สำนักยุทธ์เตาโอสถได้
ทุกครั้งที่ศึกราชันลำนำสวรรค์สิ้นสุดลง ก็จะมีผู้แข็งแกร่งที่โดดเด่นถูกเลือกและพาตัวไปฝึกปราณในโลกต้าอวี่
หลายปีมานี้สำนักกระบี่สวรรค์ดำเนินของพวกเขาก็มีลูกศิษย์หลายคนที่ผ่านศึกราชันลำนำสวรรค์ เข้าไปฝึกปราณยังสำนักยุทธ์เตาโอสถ ทำให้สำนักกระบี่สวรรค์ดำเนินได้ผลประโยชน์ไม่น้อยจากเรื่องนี้
อย่างเช่นตอนนี้ ในมือกงหยางฉี่ครอบครองยันต์รับศิษย์แท้จริงที่สำนักยุทธ์เตาโอสถให้มาอยู่หลายชิ้น มียันต์นี้ก็เท่ากับได้รับการคุ้มครองชั้นหนึ่งจากสำนักยุทธ์เตาโอสถ
ทว่ากงหยางฉี่เองก็รู้ดี ว่าการคุ้มครองเช่นนี้เป็นเพียงการข่มขวัญอย่างหนึ่ง สำหรับคนทั่วไปยังพอใช้ได้ ทว่าคิดเล่นงานที่คนน่ากลัวอย่างหลินสวินจะต้องจ่ายค่าตอบแทนใหญ่ยิ่ง จึงจะมีโอกาสได้รับความช่วยเหลือจากผู้ยิ่งใหญ่สำนักยุทธ์เตาโอสถ
‘รอศึกราชันลำนำสวรรค์จบลง…’ กงหยางฉี่ลอบกัดฟัน ถูกดูหมิ่นขนาดนี้ ในใจเขาจะไม่คับแค้นได้อย่างไร
——