ตีนเขาเทพขลุ่ยหิมะ หน้าเมือง
ช่วงพลบค่ำหนานเหลยเผิงพาผู้แข็งแกร่งเผ่ามู่ซางทั้งกลุ่มมาปรากฏตัวที่นี่
หนานเหลยเผิงขมวดคิ้วแน่น พูดอย่างกังวล “ก็ไม่รู้ว่าหลินเต้ายวนนั่นพาหนานชิวมาด้วยหรือเปล่า…”
หลังจากออกจากเผ่ามู่ซาง พวกเขาเดินทางไม่หยุด แทบจะทะยานสู่เขาเทพขลุ่ยหิมะด้วยความเร็วเต็มพิกัด เพื่อห้ามหลินสวินไม่ให้ไปแก้แค้นมู่ซิวหย่วนอย่างไม่รู้จักประมาณตน
ทว่าระหว่างทางกลับไม่เจอเงาร่างของหลินสวินกับหนานชิวเลย
นี่ทำให้ในใจหนานเหลยเผิงวิตกกังวลมาก กลัวเพียงว่าหลินสวินจะทำเรื่องที่ล่วงเกิน สร้างความไม่พอใจให้กับสำนักกระบี่สวรรค์ดำเนิน
หากเป็นเช่นนี้ จะต้องทำให้พวกเผ่ามู่ซางถูกลากโยงไปด้วยแน่!
“เฮ้อ หวังเพียงว่าเจ้าหมอนั่นจะไม่ทำเรื่องโง่ๆ แบบนี้”
ผู้แข็งแกร่งเผ่ามู่ซางคนอื่นๆ เองก็ถอนใจพร้อมคร่ำครวญ
“ไป เข้าเมืองไปสืบข่าวก่อน”
หนานเหลยเผิงสูดหายใจลึก แล้วเดินนำเข้าเมืองไป
“ดูนั่น คนของเผ่ามู่ซางมาแล้ว”
“ผู้นำก็คือหนานเหลยเผิง ได้ยินว่าตอนนั้นสัญญาหมั้นหมายของหนานชิวและมู่ซิวหย่วน ก็เป็นเขาที่จัดการขึ้นเองกับมือ”
ทันทีที่เข้าเมืองพวกหนานเหลยเผิงก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติอย่างฉับไว
ผู้ฝึกปราณที่เจอระหว่างทางแต่ละคนสีหน้าแปลกประหลาด แววตาที่มองพวกเขาแฝงความประหลาดใจที่ยากจะอธิบาย
นี่ทำเอาพวกหนานเหลยเผิงไม่เป็นตัวของตัวเอง หนักใจอยู่บ้าง หรือสุดท้ายเรื่องที่ไม่อยากเห็นที่สุดก็เกิดขึ้นไปแล้ว
“น้องเหลยเผิง!”
ทันใดนั้นชายชราชุดแพรที่รูปร่างสูงใหญ่หัวเราะเสียงดังขึ้นมา “ไม่เจอกันหลายปี เจ้าเก่งขึ้นเรื่อยๆ เลยนะ”
หนานเหลยเผิงจำอีกฝ่ายได้ในทันที เป็นผู้อาวุโสเผ่าเร้นวารี นามว่าสุ่ยเซี่ยงตง
“พี่สุ่ยอย่าได้ล้อข้าเลย เจ้าคงได้ยินเรื่องที่หนานชิวถูกถอนหมั้นแล้วสินะ”
หนานเหลยเผิงยิ้มขื่น ความสัมพันธ์ของเขากับสุ่ยเซี่ยงตงไม่เลว
สุ่ยเซี่ยงตงหน้าเศร้าลง “ได้ยินแล้ว เรื่องวันนี้ฮือฮามาก อยากไม่รู้ยังยาก แต่ข้ากลับคิดไม่ถึงว่านางหนูหนานชิวจะสุดยอดขนาดนี้”
หนานเหลยเผิงอึ้ง จากนั้นพูดอย่างไม่พอใจ “พี่สุ่ย เจ้ากำลังหัวเราะเยาะข้าหรือ”
สุ่ยเซี่ยงตงอึ้งไป “หัวเราะเยาะอะไร หรือเจ้าไม่รู้ว่าวันนี้นางหนูหนานชิวมาหาเจ้าสำนักกระบี่สวรรค์ดำเนินถึงที่!”
“อะไรนะ”
พวกหนานเหลยเผิงตกใจจนหน้าเปลี่ยนสี ราวกับถูกฟ้าผ่า เรื่องนี้ดันเกิดขึ้นจริง!
“หนานชิวล่ะ” หนานเหลยเผิงอดถามไม่ได้
สุ่ยเซี่ยงตงกล่าว “ได้ยินว่าถูกเจ้าสำนักกระบี่สวรรค์ดำเนินพาไปที่หอสวรรค์ดำเนิน”
“เร็ว รีบไปหอสวรรค์ดำเนิน!”
หนานเหลยเผิงลนลานขึ้นมาทันที ไม่ทันสนใจอย่างอื่น พลันพาคนทั้งขบวนจากไปอย่างร้อนรน
จบสิ้นแล้ว!
หนานเหลยเผิงจิตใจว้าวุ่น หนานชิวยัยเด็กนี่ เห็นได้ชัดว่าถูกสำนักกระบี่สวรรค์ดำเนินจับกุมไว้ คราวนี้ควรช่วยอย่างไรดี
หอสวรรค์ดำเนิน
ตอนที่พวกหนานเหลยเผิงมาถึงท้องฟ้าก็มืดแล้ว หอสูงถึงร้อยจั้ง ประดับประดาด้วยผ้าและโคมไฟสวยงาม เป็นประกายระยิบระยับภายใต้ท้องฟ้ารัตติกาล งามสง่าสุกใส
หน้าหอมีผู้สืบทอดสำนักกระบี่สวรรค์ดำเนินกลุ่มหนึ่งยืนอยู่
ที่นี่คืออาณาเขตของสำนักกระบี่สวรรค์ดำเนิน คนนอกไม่สามารถบุกรุกโดยพลการได้
ทว่าตอนนี้หนานเหลยเผิงไม่สนใจเรื่องพวกนี้แล้ว พูดอย่างลนลาน “ข้าน้อยหนานเหลยเผิงแห่งเผ่ามู่ซางหนาน…”
ไม่รอให้พูดจบ ก็มีผู้สืบทอดสำนักกระบี่สวรรค์ดำเนินคนหนึ่งหันมาโดยพลัน กล่าวว่า “พวกเจ้าเป็นผู้แข็งแกร่งของเผ่ามู่ซางหรือ”
หนานเหลยเผิงรีบพูดว่า “ใช่แล้ว”
แม้เขาจะเป็นอริยะ แต่กลับไม่มีความมั่นใจสักนิด เพราะความแข็งแกร่งของสำนักกระบี่สวรรค์ดำเนิน เขารู้ดีกว่าใคร
ด้านหลังผู้แข็งแกร่งคนอื่นๆ ของเผ่ามู่ซางเองก็อดกังวลไม่ได้
“เชิญทุกท่าน พวกเราได้รับคำสั่งจากเจ้าสำนักให้มารับสหายยุทธ์ทุกท่านที่นี่ตั้งนานแล้ว”
กลับเห็นผู้สืบทอดสำนักกระบี่สวรรค์ดำเนินคนนั้นเผยรอยยิ้มเบิกบาน แฝงความกระตือรือร้นอย่างที่สุด เชิญอย่างอ่อนน้อมถ่อมตนและสุภาพ
ในหัวหนานเหลยเผิงอึ้งงันไปหมด หนานชิวทำอะไรไว้กันแน่ เจ้าสำนักกระบี่สวรรค์ดำเนินถึงขั้นออกคำสั่งด้วยตัวเอง
คนอื่นๆ ข้างหลังเองก็สีหน้าเปลี่ยนไป อกสั่นขวัญแขวน
หนานเหลยเผิงสูดหายใจเข้าลึกๆ คราหนึ่ง ถามอย่างขมขื่น “สหายยุทธท่านนี้ หนานชิวทำอะไรผิดหรือไม่ ได้… ได้ทำให้เจ้าสำนักโกรธแล้ว?”
ผู้สืบทอดสำนักกระบี่สวรรค์ดำเนินนั่นสีหน้าไม่แปลกประหลาดเล็กน้อย แต่ยังคงยิ้มพูด “ทุกท่านตามข้ามาเถอะ ตอนนี้แม่นางหนานชิวสบายดี”
“ยินดีต้อนรับทุกท่าน!”
ผู้สืบทอดสำนักกระบี่สวรรค์ดำเนินคนอื่นๆ ที่อยู่บริเวณนั้น ตอนนี้ต่างคำนับโดยพร้อมเพรียง
หนานเหลยเผิงอึ้ง จู่ๆ ก็พบว่าสถานการณ์ไม่ปกตินัก เหตุใดสำนักกระบี่สวรรค์ดำเนินจึงสุภาพและมีมารยาทเช่นนี้
“ทุกท่านเชิญตามข้ามา”
ผู้สืบทอดสำนักกระบี่สวรรค์ดำเนินคนนั้นเริ่มนำทางพร้อมรอยยิ้ม
หนานเหลยเผิงและคนอื่นๆ ที่หัวสมองมึนงงสบตากัน ล้วนจำต้องตามไปพร้อมความประหลาดใจเต็มทรวง
จนกระทั่งเข้าสู่หอสวรรค์ดำเนิน ก็เห็นว่าหนานชิวนั่งอยู่หน้าโต๊ะยาวตรงกลางโถง ข้างๆ มีสาวใช้หลายคนยืนอยู่อย่างเคารพ ท่าทางเหมือนเจ้าของบ้านอย่างไรอย่างนั้น
นี่ทำเอาพวกหนานเหลยเผิงอึ้งไปอีกครั้ง นี่มันอะไรกัน
“อาเก้า!”
หนานชิวลุกขึ้น พูดอย่างประหลาดใจ “พวกท่านมาได้อย่างไร”
หนานเหลยเผิงพูดอย่างโมโห “ก็เพราะเป็นห่วงเจ้าอย่างไรเล่า แต่เจ้า… เหตุใดเจ้าจึง…” สีหน้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
“ทุกท่านค่อยๆ คุยกันไป พวกข้าขอตัวก่อน”
ผู้สืบทอดสำนักกระบี่สวรรค์ดำเนินที่เป็นผู้นำทางพูดพร้อมรอยยิ้ม พาเหล่าสาวใช้จากไปอย่างเร่งรีบ ทิ้งโถงอันโออ่าให้เผ่ามู่ซาง
หนานชิวฉวยโอกาสนี้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นหน้าสำนักกระบี่สวรรค์ดำเนินในวันนี้โดยละเอียด
ฟังจบแล้วพวกหนานเหลยเผิงต่างอึ้งอยู่ตรงนั้น แต่ละคนสีหน้าอัศจรรย์อย่างที่สุด ในใจสั่นสะท้านเดือดพล่าน เนิ่นนานก็ยังไม่สามารถสงบได้
ผู้ชายที่ถูกหนานชิวแบกกลับเผ่าคนนั้น ถึงกับกำราบจนสำนักกระบี่สวรรค์ดำเนินต้องก้มหัวให้!
ใครจะกล้าเชื่อ
เริ่มแรกพวกหนานเหลยเผิงยังยากจะเชื่อ ถามย้ำอยู่หลายรอบ สุดท้ายจึงพอจะฝืนรับความจริงนี้ได้
“มิน่าเจ้าแก่ที่หัวสูงอย่างสุ่ยเซี่ยงตง วันนี้กลับเป็นฝ่ายทักทายข้าก่อน อีกทั้งบรรดาผู้สืบทอดสำนักกระบี่สวรรค์ดำเนินก็ปฏิบัติกับพวกเราอย่างระมัดระวังเช่นนี้ มิน่าเล่า…”
ครู่ใหญ่หนานเหลยเผิงจึงส่งเสียงถอนหายใจ
คนอื่นๆ เองก็ตื่นเต้นอย่างไม่มีข้อยกเว้น
ครั้งนี้หนานชิวได้รับโชคดีในความโชคร้าย ได้รับความช่วยเหลือจากบุคคลยิ่งใหญ่คนหนึ่ง ใครจะกล้าดูถูกเผ่ามู่ซางของพวกเขาอีก
หนานเหลยเผิงถามอย่างไม่สบายใจนัก “หนานชิว ก่อนหน้านี้เผ่าของพวกเราละเลยคุณชายหลินคนนั้นไม่น้อย เขา… จะโกรธพวกเราเพราะเรื่องนี้หรือไม่”
“วางใจเถอะ ในสายตาของคนอย่างเขาจะสนใจเรื่องเล็กเช่นนี้ได้อย่างไร” หนานชิวอดขำไม่ได้
อาเก้าเป็นคนน่าเกรงขามขนาดนั้น ทว่าตอนนี้กลับเหมือนเด็กที่กระทำความผิด ท่าทางเช่นนี้น้อยมากที่จะได้เห็น
“เช่นนั้นก็ดี เช่นนั้นก็ดี…”
หนานเหลยเผิงราวกับยกภูเขาออกจากอก ในใจเสียดายไม่น้อย หากรู้แต่แรกว่าชายหนุ่มคนนั้นสุดยอดเช่นนี้ ก็ควรจะปฏิบัติต่อเขาด้วยมารยาทอย่างที่สุด
ตอนนี้อยากไปเชื่อมสัมพันธ์ก็สายไปแล้ว…
……
เขาเทพขลุ่ยหิมะ
ภายในถ้ำสวรรค์แดนมงคล หลินสวินสงบใจนั่งขัดสมาธิ ทั้งตัวราวกับหุบเหวใหญ่ กลืนกินไอวิญญาณที่ซัดสาดมาจากสี่ทิศแปดด้านจนหมด
ครืน โครมๆ…
ประกายศักดิ์สิทธิ์ส่ายไหว แสงมรรคอึงอล
จนถึงสุดท้าย พลังชีพจรปราณวิญญาณที่ฝังอยู่ใต้เขาเทพขลุ่ยหิมะ รวมถึงไอวิญญาณบริสุทธิ์ที่รวบอยู่กลางฟ้าดินราวกับถูกชักนำ พุ่งไปยังถ้ำที่หลินสวินอยู่
ชั่วขณะหนึ่งเมฆลมท้องฟ้าเปลี่ยนสี พื้นดินสิบทิศล้วนเต็มไปด้วยเสียงมรรคกึกก้องไม่ขาดสาย
ทั้งสำนักกระบี่สวรรค์ดำเนินต่างตกใจ ผู้ยิ่งใหญ่แต่ละคนต่างตะลึง คิดว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงสะเทือนฟ้าอะไรขึ้น
จนกระทั่งตอนที่แน่ใจแล้วว่า นี่เป็นเพราะระลอกคลื่นที่เกิดขึ้นตอนหลินสวินฝึกปราณ พวกเขาแต่ละคนต่างอึ้งงันอยู่ตรงนั้น พูดอะไรไม่ออก
นี่ต้องเป็นพลังปราณที่น่ากลัวเพียงใด จึงสามารถทำได้ขนาดนี้
‘โลกลำนำสวรรค์มีคนพลิกฟ้าเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ เป็นมกุฎอริยะเช่นเดียวกัน แต่ยามเผชิญหน้ากับเขา เหตุใดกลับทำให้ข้ารู้สึกต่ำต้อย…’
กงหยางฉี่สีหน้าเลื่อนลอย ในใจเกิดคลื่นซัดสาด
กับทั้งหมดนี้ หลินสวินราวกับไม่รับรู้
เขาจมอยู่ในการฝึกปราณ เขาเทพขลุ่ยหิมะช่างสมกับเป็นอาณาเขตของสำหนักอันดับหนึ่งในโลกลำนำสวรรค์ ไอวิญญาณเข้มข้นอย่างที่สุด แทบจะสามารถตอบสนองความต้องการในการฝึกปราณของเขาได้แล้ว
สามวันหลังจากนั้น
พลังของหลินสวินฟื้นคืนมากว่าครึ่งแล้ว
เจ็ดวันหลังจากนั้น
พลังของหลินสวินฟื้นคืนมาแปดส่วนแล้ว
…พร้อมกับเวลาที่ล่วงเลยไป หลินสวินราวกับหลุมดำ กลืนกินไอวิญญาณทรงพลังที่หล่อเลี้ยงในฟ้าดินแห่งนี้อย่างกระหาย
นี่ทำให้ผู้ฝึกปราณสำนักกระบี่สวรรค์ดำเนินต่างขมขื่นอย่างไม่สามารถอธิบายได้ เพราะตอนที่พวกเขาฝึกปราณจะไม่สามารถดูดไอวิญญาณได้ เพราะถูกหลินสวินคนเดียวยึดครองไปทั้งหมดแล้ว!
สิบวันหลังจากนั้น
พลังขับเคลื่อนรอบตัวหลินสวินจึงค่อยๆ จางไป พลังของเขาฟื้นสู่สภาวะสมบูรณ์แล้ว กลิ่นอายมหามรรคที่ยากคาดเดาพลุ่งพล่านอยู่รอบตัว แม้นั่งอยู่ตรงนั้นยังแผ่อานุภาพอหังการที่กลืนกินจักรวาล สยบเวิ้งฟ้าออกมา
‘ก้าวต่อไป ก็คือการเตรียมทะลวงระดับราชันอริยะ ด้วยร่างอริยบุคคลของข้าในตอนนี้ อีทั้งมรรคาที่สมบูรณ์พร้อม ขอเพียงแค่คว้าจุดเปลี่ยนมาได้ ก็สามารถทะลวงขึ้นไปได้โดยสะดวก…’
หลินสวินใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเริ่มนั่งขัดสมาธิอีกครั้ง
ในการเคี่ยวกรำทรมานตลอดหกปีที่ฟ้าดาราอันเวิ้งว้าง มรรควิถีของเขาเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ละเอียดอ่อนและมหัศจรรย์มากมาย
ตอนนี้พลังฟื้นคืนสู่ระดับสมบูรณ์ หลินสวินถึงได้มีโอกาสสัมผัสและหยั่งถึงประโยชน์ที่ได้รับจากการเปลี่ยนแปลงนี้
และวันนี้เอง ศึกราชันลำนำสวรรค์ที่เป็นที่สนใจของทั่วโลกเริ่มขึ้นในลานแสดงยุทธ์ขนาดใหญ่หน้าเขาเทพขลุ่ยหิมะ
บุคคลชั้นยอดรุ่นเยาว์ที่มาจากสี่สำนักใหญ่ สิบสามเผ่าใหญ่ล้วนเข้าร่วม แสดงการต่อสู้ที่มหัศจรรย์สนามแล้วสนามเล่า
ตอนที่เงาร่างของหนานชิวปรากฏได้กลายเป็นจุดสนใจของผู้ฝึกปราณทุกคนในที่นั้นทันที!
ทุกคนล้วนรู้ว่า หญิงสาวแห่งเผ่ามู่ซางคนนี้ ไม่ใช่ตัวตลกที่ถูกถอนหมั้นคนนั้นอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นผู้สะดุดตาที่ทำให้สำนักกระบี่สวรรค์ดำเนินยังต้องปฏิบัติด้วยความเคารพ
สิ่งที่เหนือความคาดหมายของทุกคนคือ มู่ซิวหย่วนที่เคยได้รับความอับอายจากการคุกเข่า กลับเข้าร่วมในศึกราชันลำนำสวรรค์เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น และแสดงฝีมือได้อย่างโดดเด่นเป็นที่สุด
เพียงแต่ทุกสายตาที่มองมายังเขาล้วนแฝงความสับสน มีทั้งเวทนา สะใจ แตกต่างกันออกไป
ศึกราชันลำนำสวรรค์ดำเนินมาได้สามวันแล้ว สุดท้ายได้ผู้แข็งแกร่งที่แสดงฝีมือได้สะดุดตาที่สุดสิบคน มู่ซิวหย่วนย่อมเป็นหนึ่งในนั้น
ส่วนหนานชิวเองก็เป็นหนึ่งในสิบ
“ทำไมยังไม่มา…”
ตอนที่ศึกราชันลำนำสวรรค์จบลง กงหยางอวี่เจ้าสำนักกระบี่สวรรค์ดำเนินจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวมาโดยตลอด รอคอยด้วยใจที่ร้อนรน
“ดูนั่น ยานข้ามโลก! ผู้ยิ่งใหญ่สำนักยุทธ์เตาโอสถมาแล้ว!”
ทันใดนั้น มีคนตะโกนด้วยความตื่นเต้น
——