“เขาก็คือเจ้าคนบ้าคลั่งคนนั้นหรือ ดูเรียบง่ายธรรมดาเกินไปหรือเปล่า!”
อวี่อวิ๋นเหอเผยสีหน้าประหลาดใจ
“อวิ๋นเหอ อย่าประหม่าเชียว บนโลกนี้แต่ไรมาไม่ขาดพวกร้ายกาจที่เก่งเรื่องการเก็บงำกลิ่นอาย จงใจทำให้คนมองตื้นลึกหนาบางไม่ออกเพื่อบรรลุเป้าหมายที่คาดไม่ถึง”
หม่าไท่เจิ้นพูดเรียบๆ
อวี่อวิ๋นเหอหลุดขำออกมา “ขอแค่คนที่มีรากฐานพลังและความองอาจ ล้วนสามารถมั่นใจและเย่อหยิ่ง เหตุใดต้องหลบๆ ซ่อนๆ เช่นนี้จอมปลอมเกินไป!”
ว่าแล้วเขาพลันยื่นนิ้วชี้หลินสวินที่เดินมาจากไกลๆ “เจ้าน่ะหรือที่บีบบังคับให้มู่ซิวหย่วนคุกเข่า กล้ามาก!”
คำพูดไม่เกรงใจสักนิด ราวกับกำลังดุด่าคนที่ฐานะต่ำกว่า
หลินสวินยืนอยู่ในระยะที่ห่างออกไปหมื่นจั้ง ไม่ได้สนใจคำท้าทายของอวี่อวิ๋นเหอ สายตากวาดมองทุกคนในที่นั้น สุดท้ายมองไปยังหม่าไท่เจิ้นแล้วกล่าว “ตามคาด เจอกันครั้งนี้ต้องไม่รื่นรมย์มากๆ แน่”
“สารเลว! เจ้าไม่ได้ยินที่คุณชายอย่างข้าพูดหรือ”
อวี่อวิ๋นเหอสีหน้ามืดทะมึน
“ตบหน้าสามที จดบัญชีไว้แล้ว”
หลินสวินเสมองเขาแวบหนึ่ง ราวกับมองตัวตลก
“เจ้า…”
อวี่อวิ๋นเหอเดือดดาล กำลังจะพูดอะไรบางอย่างแต่กลับถูกหม่าไท่เจิ้นขวางไว้
“เจ้าหนุ่ม ในเมื่อเจ้าเดาจุดประสงค์ในการมาอยู่ตรงนี้ของพวกเราได้แล้ว ย่อมเข้าใจสถานการณ์ในตอนนี้ใช่หรือไม่”
หม่าไท่เจิ้นท่าทางเคร่งขรึม แผ่กลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์ปานนายเหนือหัวออกมาทั้งตัว “สำนักยุทธ์เตาโอสถของข้าก็ไม่ใช่ว่าไม่ฟังเหตุผล แจ้งชื่อและที่มาของเจ้ามา ไม่แน่ว่าข้าอาจจะให้โอกาสเจ้าสำนึกผิด”
เขามองเบื้องลึกเบื้องหลังของหลินสวินไม่ออก อีกฝ่ายนิ่งและสงบเกินไป แม้เผชิญหน้ากับผู้คนมากมายก็ไม่เกรงกลัวสักนิด
นี่สามารถยืนยันได้เพียงว่า ถ้าไม่ใช่อีกฝ่ายมั่นใจไม่เกรงกลัว ก็ต้องมีที่มาที่ไปไม่ธรรมดา
“สำนึกผิดหรือ…”
หลินสวินทวนคำพูดนี้อีกรอบแล้วพลันยิ้มออกมา “ไม่จำเป็นต้องยุ่งยากขนาดนี้ ก็แค่ลงมือตรงๆ ก็พอ”
“อวดดี!”
อวี่อวิ๋นเหอไม่ชอบใจอย่างมาก เจ้าคนที่ไม่รู้โผล่มาจากไหน เผชิญหน้ากับพวกเขากลับท่าทางดื้อดึงไม่ยอมเชื่อฟัง พูดคุยมาดมั่น นี่ทำให้เขาไม่อาจทนดูได้
มู่ซิวหย่วนที่อยู่ใกล้ๆ เองก็ไม่พอใจ คนเหล่านี้ล้วนเป็นผู้สูงส่งจากสำนักยุทธ์เตาโอสถ เจ้าหมอนี่ไม่รู้ว่าอะไรเรียกว่ากลัวเกรงหรือ
“อวดดีหรือ เหอะๆ”
หลินสวินยิ้มเยาะ
ตอนนั้นยามอยู่ในแหล่งสถานคุนหลุน เขาสังหารบุคคลพลิกฟ้าแห่งหกเรือนมรรคใหญ่และสิบเผ่านักรบใหญ่มาแล้วไม่รู้เท่าไหร่ อย่างเยี่ยนฉุนจวิน เหวินฉิงเสวี่ย คุนจิ่วหลิน ซวีหลิงคุนเป็นต้น จำนวนนับไม่ถ้วนเลยเชียว
เมื่อเทียบกันแล้ว เจ้าคนที่อยู่ตรงหน้าด้อยกว่ามากเกินไป
“เจ้า… ถึงกับกล้าหัวเราะเยาะข้าหรือ”
อวี่อวิ๋นเหอสีหน้ายากจะเชื่อ รู้สึกเหลวไหลมาก เจ้าหมอนี่ไม่รู้ว่าคำว่าตายเขียนอย่างไรแล้วจริงๆ หรือ
ไร้สมองเกินไปแล้วกระมัง
หากเป็นคนทั่วไป ในโลกเล็กๆ มากมายที่โลกต้าอวี่ปกครองอยู่ ใครจะกล้าไม่เคารพตนเช่นนี้
หลินสวินกล่าว “ยังนับว่าไม่โง่ ดูออกว่าข้ากำลังหัวเราะเยาะเจ้า หายากนะ”
อวี่อวิ๋นเหอโกรธจนหน้าเขียวแล้ว
ตอนนี้หม่าไท่เจิ้นเองก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ กล่าวว่า “เจ้าหนุ่ม หากลงมือ วันนี้เกรงว่าเจ้าคงต้องทิ้งชีวิตไว้แล้ว ข้าเห็นแก่ที่เจ้าฝึกปราณมาไม่ง่ายจึงให้โอกาสเจ้า เจ้ากลับไม่รู้ค่า หรือคิดว่า… ข้าเป็นคนพูดง่ายจริงๆ หรือ”
หลินสวินเก็บรอยยิ้มบนใบหน้า ดวงตาดำเย็นชา กล่าวออกไป “เจ้าเฒ่า เจ้าพูดไร้สาระมากไปแล้ว”
ประโยคเดียวทำเอาเหล่าผู้ยิ่งใหญ่สำนักยุทธ์เตาโอสถในที่นั้นต่างเดือดดาล
ตูม!
บนร่างหม่าไท่ไหล อานุภาพน่ากลัวพวยพุ่ง ผิวทุกกระเบียดล้วนมีประกายแสงไหลหลั่ง ส่องสว่างเก้าสวรรค์ชั้นฟ้าสิบแผ่นดิน ทั้งร่างประหนึ่งเทพมาเยือนโลก ทำให้ฟ้าดินล้วนตกใจ
บนเขาเทพขลุ่ยหิมะที่อยู่ไกลออกไป กงหยางฉี่สีหน้าตื่นเต้น พึมพำอย่างกระตือรือร้น “ในที่สุดก็จะลงมือแล้ว วันนี้เจ้าหมอนี่ยากจะรอดพ้นความตายแน่!”
ด้านหลังเขาผู้ยิ่งใหญ่แห่งสำนักกระบี่สวรรค์ดำเนินและผู้สืบทอดนับไม่ถ้วนต่างรวมตัวกัน มองดูจากไกลๆ ยามเห็นภาพนี้ต่างเผยสีหน้ารอคอย
ในที่สุดเจ้าคนที่เหี้ยมโหดเผด็จการก็จะประสบเคราะห์แล้ว!
ในเมืองใต้เขาเทพขลุ่ยหิมะ ผู้ฝึกปราณมากมายต่างตื่นตระหนกในชั่วขณะนี้ ล้วนมองไปยังชั้นเมฆไกลออกไป
“สวรรค์! ผู้ยิ่งใหญ่สำนักยุทธ์เตาโอสถเหล่านั้นจะสังหารเจ้าหนุ่มคนนั้นหรือ”
“ข้าว่าแล้ว สำนักกระบี่สวรรค์ดำเนินเก็บกลั้นความโกรธครั้งนี้ไม่ไหวหรอก เจ้าหมอนั่นกรรมตามสนองแล้ว”
“นี่ก็คือค่าตอบแทนของความบ้าระห่ำ สำนักกระบี่สวรรค์ดำเนินใช่สำนักที่ใครๆ จะล่วงเกินได้ตามอำเภอใจหรือ”
เสียงวิพากษ์วิจารณ์ฮือฮาดังขึ้นราวกับคลื่นยักษ์
“แย่แล้ว!”
ผู้แข็งแกร่งเผ่ามู่ซางอย่างพวกหนานเหลยเผิงเองก็สังเกตเห็นภาพนี้ ต่างตกใจจนหน้าถอดสี วิญญาณแทบจะหลุดออกมาแล้ว
ก่อนหน้านี้พวกเขาคิดว่าหนานชิวมีหลินสวินหนุนหลัง เผ่ามู่ซางของพวกเขาเองก็จะพลอยได้รับผลประโยชน์ไปด้วย
ทว่าตอนนี้…
ผู้สูงส่งสำนักยุทธ์เตาโอสถดันลงมือแล้ว!
สำนักยุทธ์เตาโอสถเชียวนะ นั่นเป็นถึงสำนักโบราณที่เรียกได้ว่ายิ่งใหญ่ในโลกต้าอวี่ เมื่อเทียบกันแล้วเผ่ามู่ซางเหมือนมดปลวกที่ความสามารถไม่เพียงพอสักนิด
หากหลินสวินตาย สำนักกระบี่สวรรค์ดำเนินที่เคยถูกเขาดูหมิ่นและกดดัน จะปล่อยเผ่ามู่ซางของพวกเขาได้อย่างไร
และมู่ซิวหย่วนจะปล่อยหนานชิวไว้ได้อย่างไร
คิดถึงตรงนี้ในใจของพวกหนานเหลยเผิงต่างดิ่งวูบ หน้าถอดสี มือเท้าเย็นเยียบ
โลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน!
หนานชิวเม้มปาก นางรู้นานแล้วว่าพี่สาวของมู่ซิวหย่วนฝึกปราณอยู่ที่สำนักยุทธ์เตาโอสถ การเล่นงานหลินสวินครั้งนี้ มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเกี่ยวข้องกับจุดนี้
นางพึมพำในใจ ‘ก่อนหน้านี้ใครจะคิดว่าเขาคนเดียวจะสามารถข่มสำนักกระบี่สวรรค์ดำเนินได้ แล้วตอนนี้เล่า จะเกิดเรื่องที่คล้ายกันหรือไม่’
……
“ผู้อาวุโสหม่าโปรดระงับโทสะ เล่นงานชายหนุ่มคนหนึ่งเท่านั้น เหตุใดต้องลำบากถึงท่านด้วย ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเถอะ”
บนทะเลเมฆ ชายวัยกลางคนในชุดหรูหราคนหนึ่งก้าวออกมาพร้อมรอยยิ้ม
เขาสวมหมวกสูงเข็มขัดกว้าง ท่าทางสง่างาม มีนามว่าจูฉาง เป็นผู้ดูแลคนหนึ่งของสำนักยุทธ์เตาโอสถ พร้อมกันนั้นก็เป็นมกุฎมหาอริยะที่มีชีวิตอยู่มาหลายพันปีแล้วด้วย
“พี่จูฉางอย่างเพิ่งใจร้อน เจ้าคนอวดดีคนนี้ฆ่าได้ง่ายอยู่แล้ว แต่ฆ่าไปง่ายๆ เช่นนี้ไม่สามารถสลายความชิงชังได้แน่ ไม่สู้ให้ข้าจับตัวเขาแล้วส่งให้อวิ๋นเหอจัดการ ให้เขาได้ระบายความโกรธสักหน่อย”
ฮูหยินชุดเขียวที่งดงามหยาดเยิ้มคนหนึ่งก้าวออกมา ยิ้มพูดอย่างเปี่ยมเสน่ห์
“เหตุใดต้องลำบากเช่นนี้ ให้ข้าโจมตีสังหารโดยตรงก็ได้แล้วไม่ใช่หรือ”
อวี่อวิ๋นเหอพูดด้วยสีหน้าอึมครึม
“ฮ่าๆ อวิ๋นเหอเจ้าอยู่ในฐานะอะไร จะลดตัวลงไปทำเรื่องเล็กเช่นนี้ได้อย่างไร”
มีคนหัวเราะเย้า
ระหว่างที่พวกเขาสนทนากัน ต่างมองหลินสวินเป็นเหยื่อที่สามารถสังหารได้ตามใจ และกำลังแย่งกันว่าใครจะลงมือสังหารเขา
ท่าทางที่ผ่อนคลายเยือกเย็นนั่นทำให้มู่ซิวหย่วนเห็นแล้วฮึกเหิมในใจ เลือดร้อนพลุ่งพล่าน นี่แหละคือความองอาจของผู้สูงส่งที่เขาปรารถนา!
ทว่าตอนนี้จู่ๆ หลินสวินที่อยู่ห่างออกไปพันจั้งก็ยิ้ม “เคยเห็นคนที่รนหาที่ตาย แต่ยังไม่เคยเห็นคนที่แย่งกันมาตาย ไม่สู้พวกเจ้าเข้ามาพร้อมกันไปเลยเล่า”
ทุกคนเงียบไปชั่วขณะ
เหล่าผู้ยิ่งใหญ่สำนักยุทธ์เตาโอสถที่กำลังแย่งกันลงมือ แต่ละคนเดือดดาล ถูกคำพูดนี้กระตุ้นเข้าแล้ว
“รนหาที่ตาย!”
จูฉางที่สวมชุดหรูหราท่าทางสง่างามลงมืออย่างไม่ลังเลสักนิด
ตูม!
เงาร่างของเขาเปล่งแสง ราวกับภูเขาไฟสงบนิ่งมาหมื่นกาลปะทุขึ้น เคลื่อนย้ายผ่านห้วงอากาศ ครู่ต่อมาก็ปรากฏตรงหน้าหลินสวิน
หมัดหนึ่งซัดใส่ศีรษะของหลินสวิน
พลังหมัดที่น่ากลัวนั่น ราวกับสุริยันดวงโตเจิดจ้า เต็มไปด้วยพลังกฎเกณฑ์ที่สะดุดตายิ่งยวด
มหาอริยะ ยิ่งใหญ่ไร้จำกัด เพียงโจมตีลวกๆ ครั้งเดียวก็มีอานุภาพผลาญภูเขาต้มสมุทร
ก็เห็นทะเลเมฆบริเวณนั้นล้วนระเหยขึ้นในทันใด ห้วงอากาศทรุดทลาย ถูกพลังหมัดนี้ของจูฉางโจมตีทั้งหมด
กงหยางฉี่ที่อยู่ห่างออกไปเห็นเช่นนี้ก็อดสูดหายใจหนาวเยือกไม่ได้ ไม่อาจไม่ยอมรับว่ามกุฎมหาอริยะของสำนักยุทธ์เตาโอสถหาใช่คนทั่วไปจะเทียบได้ ทำเอาเขาละอายที่สู้ไม่ได้
หลินสวินแววตาลึกล้ำ นิ่งไม่ขยับ ยืนมือขวาออกไปลวกๆ ดูเหมือนเนิบช้า แต่กลับคว้าหมัดที่โจมตีเข้ามาไว้ได้อย่างเหลือเชื่อ
ไม่มีเสียงปะทะ หมัดนี้ของจูฉางถูกจับไว้มั่นอย่างเงียบเชียบไร้เสียง ไม่ว่าพลังขับเคลื่อนรอบตัวเขาจะโคจรอึงอลอย่างไร ก็ไม่สามารถขยับเข้าไปได้อีกแม้แต่น้อย
ภาพที่แปลกประหลาดนี้ทำเอาทุกคนในที่นั้นต่างอึ้งค้าง
จูฉางสีหน้าแปรเปลี่ยนยกใหญ่ หมัดนี้ของเขาราวกับต่อยใส่ปราการสวรรค์ที่ไม่ขยับมาหมื่นกาล พลังทั้งหมดล้วนถูกกักขังไว้มั่น
และไม่สามารถปลีกตัวถอยได้!
“อ่อนแอเกินไปแล้ว…”
หลินสวินถอนหายใจเบาๆ นิ้วมือของเขาออกแรง
ตูม!
พลังอันน่าสะพรึงที่ไม่อาจขวางได้พุ่งไปตามหมัด แขน และแทรกเข้าสู่ร่างของจูฉางอย่างง่ายดาย…
“ไม่…!”
จูฉางตะโกนอย่างตื่นตกใจ ครู่ต่อมาหมัด แขนและร่างกายของเขา… ก็ราวกับประทัดที่ถูกจุดไฟ ระเบิดออกทุกกระเบียด ฝนเลือดสาดพรม
ห้วงอากาศว่างเปล่าที่อยู่ใกล้ๆ ล้วนสั่นสะเทือนกึกก้อง ถูกสีเลือดแดงสดย้อม
ทั้งที่นั้นเงียบสนิท
การโจมตีเดียว จูฉางมกุฎมหาอริยะซึ่งมาจากสำนักยุทธ์เตาโอสถ ก็ประหนึ่งมดปลวกที่ถูกสังหารคาที่!
ภาพที่เผด็จการและคาวเลือดนั่น ทำเอาพวกหม่าไท่เจิ้นหน้าเปลี่ยนสี จิตใจสั่นไหวยากจะเชื่อ
บนเขาเทพขลุ่ยหิมะ ความฮึกเหิมบนใบหน้ากงหยางฉี่แข็งทื่อไป ตกใจจนหนังหัวชาวาบ นั่นเป็นถึงมกุฎมหาอริยะ ไม่ใช่ผักใช่ปลา แต่กลับถูกฆ่าง่ายๆ เช่นนี้หรือ
ในเมืองใต้ภูเขาเองก็จมสู่ความเงียบสงัดไปทั้งแถบ ผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนตะลึงจนอ้าปากค้าง
“คนแรก”
สายตาของหลินสวินมองไปยังพวกหม่าไท่เจิ้นที่อยู่ไกลออกไป “ฟังที่คนแซ่หลินเช่นข้าเตือนสังหน่อย พวกเจ้าเข้ามาพร้อมกันจะดีที่สุด”
เสียงที่ราบเรียบล่องลอยกลางฟ้าดิน แต่กลับไม่มีคนกล้าบอกว่าหลินสวินอวดดีอีกแล้ว!
ฮูหยินชุดเขียวสบตากับคนอื่นๆ ต่างลงมือพร้อมกันอย่างไม่ลังเล
การตายของจูฉาง ทำให้พวกเขาตระหนักได้ถึงความน่ากลัวของคู่ต่อสู้ในครั้งนี้
สวบ!
ในห้วงอากาศ กระบี่คดโค้งเล่มหนึ่งโฉบพุ่ง ส่องประกายเขียวระยับราวกับรุ้งเทพ ประกายแสงพิสุทธิ์สาดส่องทั่วสี่ทิศ ฮูหยินชุดเขียวคนนี้ถึงกับเป็นผู้ฝึกกระบี่ระดับมหาอริยะ
วู้ม…
ในเวลาเดียวกันทวนศึกสีทองเล่มหนึ่ง ดาบโค้งสีเลือดเล่มหนึ่ง และแส้ยาวที่ราวกับอสรพิษเงินเส้นหนึ่งก็โจมตีเข้ามาพร้อมกัน
ก็เห็นบนชั้นเมฆมีแสงสมบัติอึงอล เสียงมรรคไม่ขาดสาย กลิ่นอายน่ากลัวที่ปลดปล่อยออกมา ทำเอาฟ้าดินแถบนี้ล้วนอับแสง ครวญคร่ำไม่หยุด
ผู้ยิ่งใหญ่ที่มาจากสำนักยุทธ์เตาโอสถสี่คนลงมือพร้อมกัน ทุกคนล้วนไม่ออมมือสักนิด เคลื่อนไหวเต็มกำลัง!
โลกลำนำสวรรค์เป็นเพียงแค่โลกเล็กๆ กงหยางฉี่ที่พลังต่อสู้แข็งแกร่งที่สุด ก็เป็นแค่คนที่พอจะฝืนทะลวงเข้าไปในระดับมกุฎมหาอริยะเท่านั้น จะเคยเห็นการต่อสู้สะท้านโลกเช่นนี้เสียที่ไหน
เหตุการณ์ที่น่ากลัวเช่นนี้ ทำให้พวกเขาทุกคนตกตะลึงตาค้าง จิตใจปั่นป่วน
หลินสวินเองก็เคลื่อนไหวแล้ว
ฟุ่บ!
เงาร่างของเขาก็หายไปจากจุดเดิมกะทันหัน
ครู่ต่อมาเมื่อเสียงกระแทกเสียดหูดังขึ้น กระบี่บินคดโค้งประกายเขียวเล่มนั้นก็ถูกหมัดเดียวของหลินสวินซัดใส่จนกระเด็น แตกหักกลางอากาศดังปัง
ฮูหยินชุดเขียวกระอักเลือด ดวงหน้างามหวาดหวั่น เพิ่งจะคิดหนี เงาร่างของหลินสวินก็มาปรากฏตรงหน้าโดยพลัน สิ่งที่ไวกว่าร่างของเขา คือนิ้วที่ยื่นออกจากแขนขวา
……..