นิ้วชี้เรียวยาวขาวเปล่งปลั่ง กระจ่างใส สะอาดสะอ้าน ไม่เจือกลิ่นอายใดๆ สักนิด
แต่ก็เป็นนิ้วนี้ ที่ในสายตาของฮูหยินชุดเขียวผู้นั้นกลับเหมือนปิดฟ้าบังตะวัน ปกคลุมไปทุกด้าน ทำเอานางรู้สึกไม่อาจหลีกหนีได้
จบกัน…
ในใจนางมีแต่ความคิดนี้โผล่ขึ้นมา
ฟุบ!
ประทับนิ้วบางๆ รอยหนึ่งปรากฏขึ้นที่หว่างคิ้วของนาง แล้วจากนั้นก็ปริแยกเป็นโพรงเลือด
ก่อนตายฮูหยินชุดเขียวยังคิดไม่ออก ว่าชายหนุ่มคนนี้เป็นบุคคลน่ากลัวเช่นไรกันแน่ เหตุใดถึงเย้ยฟ้าได้ปานนี้…
เสียงปึงดังขึ้น ศพของนางตกลงไปจากกลางอากาศ
“คนที่สอง”
และตอนนี้เงาร่างของหลินสวินก็หายไป พุ่งเข้าสังหารคนอื่นนานแล้ว
ตูม!
ทวนศึกสีทองเล่มหนึ่งแทงเข้ามา ซัดลมพายุเต็มฟ้า คมทวนแหลมคมชี้ตรงไปที่คอหอยของหลินสวิน
หลินสวินยื่นมือออกไปจับทวนศึกแล้วสะบัดข้อมือ ชายที่ถือทวนศึกอยู่ถูกซัดกระเด็นออกไปทันทีเหมือนว่าวที่ขาดลอย
ฉึบ!
หลินสวินขว้างทวนศึกที่ชิงมาออกไป
ท่ามกลางสายตาตกตะลึงทั้งหมด ร่างผู้สูงส่งที่ถูกซัดกระเด็นนั้นถูกทวนศึกของตนแทงทะลุทันควัน!
ซ่า! เลือดสดๆ สาดกระเซ็น คนผู้นั้นก้มมองดูทวนศึกที่เสียบทะลุทรวงอกของตัวเอง สีหน้าประหวั่นพรั่นพรึงและงุนงง
นี่ยังเป็นคนอยู่ไหม
“คนที่สาม”
เงาร่างหลินสวินไหววูบ พุ่งไปสังหารคู่ต่อสู้อีกคน
เขาว่องไวเกินไปแล้ว พลังก็น่ากลัวเกินไป อานุภาพบดขยี้โดยสมบูรณ์ จวบจนตอนนี้เพิ่งผ่านไปไม่กี่อึดใจเท่านั้น ก็สังหารคู่ต่อสู้ไปสามคนแล้ว
ความสง่างามอหังการไร้ศัตรูใดต้านทานเช่นนั้นทำเอาฟ้าดินเงียบสงัด ทุกคนต่างหวาดหวั่น นิ่งอึ้งอยู่เช่นนั้นโดยสิ้นเชิง
ก่อนหน้านี้ตอนเห็นเหล่าคนใหญ่คนโตจากสำนักยุทธ์เตาโอสถลงมือ ทุกคนยังนึกว่าหลินสวินจะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย
ถึงอย่างไรในใจผู้ฝึกปราณคนใดก็ตามในโลกลำนำสวรรค์ สำนักยุทธ์เตาโอสถก็เหมือนสำนักเซียนอันสูงส่งแห่งหนึ่ง ประหนึ่งเก่งกล้าสามารถไปเสียทุกอย่าง
แต่เมื่อการต่อสู้เกิดขึ้นจริงๆ ทุกคนถึงค้นพบอย่างน่าประหลาดว่าต่อหน้าหลินสวิน เหล่าผู้สูงส่งของสำนักยุทธ์เตาโอสถที่พวกเขามองว่าไม่อาจดูหมิ่นได้นั้น กลับถูกสังหารเหมือนตุ๊กตาดินไร้ราคา
ภาพนองเลือดตะลึงโลกเช่นนั้นพลิกความรู้ความเข้าใจของพวกเขาไปจริงๆ!
ตูม!
กลางฟ้าสูง หลินสวินหมายหัวคนที่ถือดาบโค้งสีเลือดนั่น พลังหมัดปานสายฟ้า มีท่วงท่าไร้ศัตรู
“หยุดนะ!”
หม่าไท่เจิ้นที่อยู่ไกลออกไปตะคอกดังลั่น เขาสีหน้าคล้ำเขียวหาใดเทียบไปแล้ว
เพียงไม่กี่อึดใจสั้นๆ ก็มีคนตายไปหลายคน สถานการณ์เช่นนี้ทำให้เขายากจะเชื่อได้ จิตใจงุนงง
เมื่อได้สติเต็มที่ในตอนนี้ หม่าไท่เจิ้นก็ไม่อาจเยือกเย็นได้อีกต่อไปแล้ว
ปัง!
แต่น่าเสียดาย หลินสวินเหมือนไม่ได้ยิน สำแดงมรรคกับหมัด หลอมวิชากับท่วงท่า หมัดอันเรียบง่ายหมัดเดียวกลับมีพลานุภาพทำลายภูผาธารา
ชั่วพริบตาดาบโค้งสีเลือดก็ถูกกระแทกแหลก ระเบิดออกดังสนั่น
ทรวงอกเจ้าของดาบโค้งยุบลง ถูกพลังหมัดเจาะเป็นโพรงเลือดใหญ่เท่าชามข้าวรูหนึ่ง
“คนที่สี่”
หลินสวินเอ่ยปากเรียบๆ ทั้งร่างของเขาสะอาดสะอ้าน ไม่แปดเปื้อนมลทินแม้สักนิด แต่ในสายตาของทุกคนตอนนี้กลับเป็นดั่งเทพมารอันไร้ศัตรู!
“เป็นไปได้… เป็นไปได้อย่างไรกัน…”
บนเขาเทพขลุ่ยหิมะ กงหยางฉี่อกสั่นขวัญหาย
เหล่าผู้แข็งแกร่งสำนักกระบี่ี่สวรรค์ดำเนินที่อยู่ใกล้กันต่างนิ่งอึ้งอยู่เช่นนั้น
อวี่อวิ๋นเหออ้าปากค้าง นัยน์ตาเบิกกว้าง ร่างกายสั่นระริกเพราะหวาดกลัว
ส่วนมู่ซิวหย่วนที่อยู่ข้างๆ เขายิ่งยวบยาบ ตกใจจนหน้าถอดสี ริมฝีปากสั่นระริก จิตใจไม่อยู่กับตัว
เขามีปราณระดับราชันเท่านั้น จะเคยเห็นการเข่นฆ่านองเลือดระหว่างมกุฎมหาอริยะเช่นนี้ได้อย่างไร
ผู้ฝึกปราณในเมืองนับไม่ถ้วนหัวสมองขาวโพลนไปหมด ไม่อาจเรียกสติกลับมาได้อยู่นาน เทพคืออะไรพวกเขาไม้รู้
แต่ในสายตาของพวกเขาตอนนี้ หลินสวินที่ยืนอยู่เหนือเก้าชั้นฟ้าผู้นั้นเป็นดั่งเทพ!
“เจ้ามารชั่ว!”
หม่าไท่เจิ้นโกรธเกรี้ยวโดยสมบูรณ์แล้ว ยื่นมือข้างหนึ่งออกไปกลางอากาศ
วิ้ง!
พลังกฎเกณฑ์ไร้สิ้นสุดแผ่กระจายปกคลุมเวิ้งฟ้า
ชั่วพริบตายอดเมฆแถบนั้นก็มีโลกหินหนืดสีแดงดั่งเปลวเพลิงแห่งหนึ่งปรากฏขึ้น ส่งกลิ่นอายน่าครั่นคร้ามราวเผาฟ้าทำลายดินออกมา
เขตแดนมรรค!
ขอเพียงเป็นผู้บรรลุระดับราชันอริยะ ล้วนหล่อหลอมพลังกฎเกณฑ์มหามรรคของตนเอง แล้วหลอมรวมเป็นพลังเขตแดนอันน่ากลัวได้ ถูกเรียกขานว่าเป็นเขตแดนมรรค
ที่ที่เขตแดนมรรคปกคลุม ราชันอริยะก็จะกลายเป็นผู้อยู่เหนือสุดดั่งนายเหนือหัว!
ตอนนี้ที่หม่าไท่เจิ้นสำแดงออกมา ก็คือเขตแดนมรรคที่เขาเคี่ยวกรำหลอมออกมาไม่รู้กี่ปี…
“เพลิงเทพธุลี!”
ในเขตแดนนี้มีกฎเกณฑ์ธาตุไฟกระจายตัวราวกับโลกทะเลเพลิง หากถูกขังอยู่ข้างใน อย่างเบาก็ผิวหนังปริแตก อย่างหนักก็สลายเป็นเถ้าธุลีปลิวว่อน น่ากลัวหาใดเทียบจริงๆ
“สวรรค์!”
“นี่ก็คือพลังเขตแดนมรรคในตำนานหรือ”
“วิธีต่อสู้ของราชันอริยะ น่าเหลือเชื่อจริงๆ…”
เสียงตกตะลึง สั่นสะท้าน และฮือฮานับไม่ถ้วนดังขึ้น
ทันทีที่หม่าไท่เจิ้นลงมือก็กลายเป็นจุดสนใจในทันที ความสง่างามของราชันอริยะทำให้ผู้คนนับไม่ถ้วนชื่นชม
ร่างของหลินสวินเข้าสู่เขตแดนมรรคอย่างไม่เหนือความคาดหมายแต่อย่างใด
พลังกฎเกณฑ์มหามรรคเช่นนี้เกินกว่าที่ระดับของเขาในตอนนี้จะควบคุมได้ แน่นอนว่าหากดิ้นรน ผลลัพธ์ย่อมต่างออกไป
พูดง่ายๆ ก็คือ ตั้งแต่หลินสวินฝึกปราณมา คนผู้นี้เป็นระดับราชันอริยะคนแรกที่ได้พบ และยังเป็นครั้งแรกที่ถูกพลังเขตแดนมรรคเล่นงาน
เขาสงสัยนักว่าพลังกฎเกณฑ์เช่นนี้จะเก็บซ่อนความอัศจรรย์เช่นไรเอาไว้
ดังนั้นเขาจึงไม่ดิ้นรน
“ฮ่าๆๆ ไม่ว่าเจ้าจะร้ายกาจบ้าระห่ำอย่างไร ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของผู้อาวุโสอย่างแน่นอน!”
อวี่อวิ๋นเหอหัวเราะเสียงดังขึ้นมา ความโกรธเคือง ตื่นกลัว และหนาวสะท้านในใจมลายไปสิ้น หัวเราะร่าราวกับระบายความรู้สึก เสียงดังสะเทือนเมฆา
พวกกงหยางฉี่ที่อยู่บนเขาเทพขลุ่ยหิมะไกลออกไปต่างก็รู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก ในที่สุดก็สำเร็จแล้ว…
ฝีมือต่อสู้นองเลือดที่หลินสวินสำแดงออกมาทำให้พวกเขาตกใจจริงๆ ตอนนี้อีกฝ่ายตกอยู่ในเขตแดนมรรคแล้ว ย่อมหนีความตายได้ยากแล้ว!
โครม!
ทะเลเพลิงเดือดพล่าน พลังกฎเกณฑ์อันโชติช่วงไร้สิ้นสุดแปลงเป็นเปลวเพลิงตลบม้วน กลิ่นอายทำลายล้างรุนแรง ร้อนระอุจนหลอมสรรพสิ่งได้
นี่ก็คือเพลิงเทพธุลี เป็นเขตแดนมรรคของหม่าไท่เจิ้น!
หลินสวินยืนอยู่ในนี้ มีเพียงความรู้สึกเดียวคือตัดขาดจากฟ้าดิน ประหนึ่งถูกตัดเสียงตอบสนองทั้งปวงจากโลกภายนอก ไม่อาจรับรู้กลิ่นอายมหามรรคได้อีก
‘รู้สึกคุ้นจัง…’
หลินสวินนึกถึงเมื่อหกปีก่อนที่ถูกขังไว้ในฟ้าดาราอันว่างเปล่าแห่งนั้น คล้ายคลึงกับสถานการณ์ตอนนี้อยู่บ้างจนน่าตกใจ
อย่างกับถูกมหามรรคเนรเทศ ไม่อาจรับรู้กฎเกณฑ์ฟ้าดินได้เหมือนกัน!
“เจ้าหนุ่ม ด้วยรากฐานกับพลังปราณที่เจ้าสำแดงออกมาย่อมไม่ใช่คนธรรมดา ตอนนี้เจ้าถูกขังอยู่ในเขตแดนมรรคแล้ว ยังคิดจะดื้อดึงต่อต้านต่อไปไหม”
เงาร่างของหม่าไท่เจิ้นปรากฏในโลกเปลวเพลิง สูงใหญ่โอหัง ทั้งร่างมีละอองแสงเพลิงไร้สิ้นสุดพุ่งออกมา ประหนึ่งเทพผู้กำเนิดจากเปลวเพลิง กลิ่นอายเหิมเกริมน่ากลัว
“ถูกขังหรือ”
หลินสวินหัวเราะหยัน “เจ้าเฒ่า เจ้าลงมือเต็มกำลังได้เลย ข้าคนแซ่หลินล่ะอยากเห็นนักว่าพลังเขตแดนที่ว่าของเจ้าจะทำอะไรข้าได้”
“หึ!”
หม่าไท่เจิ้นส่งเสียงหยัน
กฎเกณฑ์เปลวเพลิงเต็มฟ้าพลันถาโถม แปรเปลี่ยนเป็นกระบี่ศึก ดาบศึก ทวนศึกตามลำดับ ม้วนตลบครั่นครืนจากเบื้องบนลงมาเบื้องล่างตลอดสี่ทิศแปดด้าน
เปลวเพลิงโชติช่วงและกลิ่นอายทำลายล้างสอดประสานกัน พลังที่เกิดขึ้นนั้นสามารถทำให้มหาอริยะในโลกส่วนใหญ่สิ้นหวัง
เพราะนี่เป็นพลังเขตแดนมรรค ในเขตแดนนี้หม่าไท่เจิ้นก็คือเทพ เป็นนายเหนือหัวเพียงผู้เดียว ควบคุมความเป็นตาย!
ครืน!
ทั้งร่างหลินสวินเปล่งแสง ประหนึ่งมีหุบเหวใหญ่กลืนฟ้าขึ้นมาอยู่รางๆ ลึกล้ำและดำมืดเหมือนหลุมดำที่อ้าออกอย่างเงียบงันกลางฟ้าดารา
ขณะเดียวกันเขาก้าวไปข้างหน้า แกว่งหมัดถล่มสังหาร
เสียงปะทะครั่นครืนอันน่ากลัวดังขึ้น นานาอาวุธที่แปลงมาจากกฎเกณฑ์เปลวเพลิงและถาโถมลงมา กลับถูกหลินสวินถล่มแหลกกระจุยในขณะนี้
ฝนเพลิงกระเซ็นกระสายเต็มฟ้า ไม่ว่าจะโจมตีได้น่ากลัวปานไหน ต่างไม่อาจเข้าใกล้หลินสวินได้เสียอย่างนั้น!
หม่าไท่เจิ้นนัยน์ตาหดรัด พลันหัวเราะเหี้ยมเกรียม “เสียแรงเปล่า! ในเขตแดนของข้า พลังมีแต่เกิดขึ้นไม่ดับลง ไร้สิ้นสุดไม่มีวันหมด เจ้าจะดิ้นรนไปได้ถึงเมื่อไร”
ตูม!
ยังพูดไม่ทันจบพลังกฎเกณฑ์ของเขตแดนแห่งนี้ก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง ฝนเพลิงเต็มฟ้ารวมตัวกันเป็นประทับเทพเปลวเพลิงอันโชติช่วงแถบหนึ่ง เต็มไปด้วยกลิ่นอายเผาผลาญอันเหิมเกริมร้ายกาจ กดข่มลงมาเสียงดังครั่นครืน พลังที่สร้างขึ้นสามารถทำให้สรรพสิ่งกลายเป็นเถ้าธุลีได้ในชั่วพริบตา ระเหยไปจนสิ้น!
ดวงตาดำของหลินสวินเผยแววประหลาด เอ่ยว่า “นี่ถึงค่อยเข้าท่าหน่อย…”
เขาสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง เกิดเสียงชิ้งๆ ดังสนั่นไปตามรูขุมขนทั่วกาย ปราณกระบี่ไท่เสวียนนับไม่ถ้วนพุ่งออกมาอย่างรวดเร็ว รวมตัวเป็นเขากระบี่อสูรปฐพีลูกแล้วลูกเล่า ทะยานจากผืนดิน!
เสียงครั่นครืนสะเทือนฟ้าดินระลอกหนึ่งดังขึ้น ในที่สุดประทับเทพเปลวเพลิงนั้นก็ถูกตีพ่าย กลายเป็นพลังกฎเกณฑ์ซัดสาดกระจัดกระจายไป
“เจ้าดูสิ เหมือนจะไม่เท่าไร”
หลินสวินทอดสายตามองหม่าไท่เจิ้นที่อยู่ไกลออกไป หัวเราะเบาๆ เอ่ยว่า “ถ้าข้าเดาไม่ผิด เจ้าไม่ได้บรรลุมกุฎมรรคาในระดับราชันอริยะ พลังเขตแดนที่ครอบครองก็ไม่ได้ถือว่าชั้นเลิศ หาไม่แล้วคงไม่อ่อนแอขนาดนี้”
คำพูดเดียวทำเอาหม่าไท่เจิ้นสีหน้าอึมครึมลง
“ตาย!”
เขาตะคอกลั่น กระตุ้นพลังเขตแดนเต็มกำลัง
ชั่วขณะเดียวปรากฏการณ์ประหลาดทั้งปวงก็สำแดงขึ้น การจู่โจมที่เต็มไปด้วยไอสังหารคับฟ้าผุดขึ้นมา ประหนึ่งรวมพลังของโลกทั้งใบจะเข้าสังหารหลินสวินคนเดียว
พลังเช่นนั้นน่ากลัวไม่มีที่สิ้นสุดจริงๆ
หลินสวินไม่ได้ชะล่าใจ แต่ก็ไม่ได้แสดงเค้าลางอ่อนแอหรือยับเยินใดๆ เข้าต่อต้านพลางสัมผัสถึงการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ ของเขตแดนมรรค ดูสุขุมเยือกเย็นนัก
นี่ทำให้หม่าไท่เจิ้นโกรธเกรี้ยว ไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเอง
หากเปลี่ยนเป็นมกุฎมหาอริยะคนอื่น แม้จะยันไว้ได้แต่ก็ต้องบาดเจ็บสาหัส ถึงขึ้นใกล้ถูกกำจัด ขวัญหนีดีฝ่อ
แต่ตั้งแต่เริ่มจนจบ หลินสวินที่ตกอยู่ในภาวะคับขันกลับเหมือนเดินบนพื้นราบ เป็นอิสระ ไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด!
‘เจ้าหมอนี่มันโผล่มาจากไหนกันแน่ อย่าว่าแต่โลกลำนำสวรรค์เล็กๆ เลย ต่อให้ในโลกต้าอวี่ยังเหมือนจะหาคนเย้ยฟ้าปานนี้ไม่ได้…’
หม่าไท่เจิ้นยิ่งตกตะลึงแล้ว สีหน้าเหยเกไม่ว่างเว้น
มกุฎมหาอริยะคนหนึ่งกลับไม่กลัวเขตแดนมรรคของเขา ถ้าเรื่องนี้กระจายออกไปใครจะกล้าเชื่อกัน
‘ไม่ว่าอย่างไร จะเก็บเจ้าหมอนี่ไว้ไม่ได้เด็ดขาด!’
หม่าไท่เจิ้นกัดฟัน ไอสังหารในใจปะทุขึ้น
หากเป็นตอนแรกสุดเขาอาจจะเลือกประนีประนอม แต่ตอนนี้ต่างออกไปโดยสิ้นเชิงแล้ว หลินสวินฆ่าผู้ดูแลสำนักยุทธ์เตาโอสถไปหลายคน ความแค้นนี้ย่อมไม่อาจคลี่คลายได้แล้ว!
ตูม!
ทะเลเพลิงถาโถม พลังทำลายล้างเทียมฟ้า
หม่าไท่เจิ้นไม่สนใจสิ่งใด ใช้พลังทั้งหมด ใบหน้าเต็มไปด้วยไอสังหารที่ไม่ปิดบังสักนิด
แต่ก็ในตอนนี้เองที่หลินสวินถอนใจเบาๆ เอ่ยว่า “สุดท้ายก็ยังทำให้ข้าผิดหวังอยู่ดีสิน่า…”
ยังไม่ทันพูดจบ เขาที่อยู่ท่ามกลางการบุกจู่โจมของเปลวเพลิงก็เงยหน้าเล็กน้อย แสงมรรคเย็นเยียบลึกลับไหลหลั่งอยู่ในดวงตาดำดุจเหวลึกของเขาทั้งสองข้าง ปากก็โพล่งเบาๆ ออกมาคำเดียวว่า
“ทลาย!”
——