“แพงหรือ หึๆ สหายยุทธ์ เจ้ายังดูเบาหลินสวินผู้นี้ไป”
ชิวหรงตาลุกวาว “เพียงแค่ศุภโชค ‘บรรลุจักรพรรดิกลายเป็นบรรพจารย์’ ที่อยู่ในมือเขาชิ้นนั้น ก็มีค่าจนผลึกมรรคมากมายเท่าไรก็ไม่อาจเทียบได้!”
“ใต้หล้ากำลังตามกวาง และเจ้าหลินสวินนี่ก็เป็นกวางตัวนี้!”
อวี่อวิ๋นเหออึ้งไปครู่หนึ่งแล้วถอนหายใจอย่างอดไม่ได้ว่า “ทั้งใต้หล้าต่างจ้องจะตะครุบคนผู้นี้ เจ้าหมอนี่… น่าสงสารจริงๆ”
“นี่ก็เรียกว่าผิดเพราะครอบครองสมบัติ”
ชิวหรงเอ่ยเบาๆ
พูดถึงตรงนี้จู่ๆ เขาก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “ก่อนหน้านี้ไม่นาน กระดานมหาอริยะฟ้าดาราจัดอันดับใหม่แล้ว พวกเจ้ารู้ไหมว่าเรือนมรรคโลกาสวรรค์จัดหลินสวินคนนี้ไว้ในอันดับที่เท่าไร”
อวี่อวิ๋นเหอพูดล้อเล่นว่า “คงไม่ใช่ที่หนึ่งหรอกมั้ง”
ชิวหรงสีหน้าเปลี่ยนเป็นพิกล “คุณชายตอบถูกตั้งแต่ครั้งแรกเลย ก็… อันดับที่หนึ่งจริงๆ!”
อวี่อวิ๋นเหอนิ่งอึ้งในทันใด
เจ้าคนที่ถูกคนทั้งใต้หล้ามองเป็นเหยื่อเช่นนี้ ดันถูกจัดเป็น ‘อันดับหนึ่งของกระดานมหาอริยะฟ้าดารา’ หรือ
หลินสวินยังรู้สึกประหลาดใจไปพักหนึ่ง
ตนกลายเป็น ‘อันดับหนึ่งของกระดานมหาอริยะฟ้าดารา’ เช่นนี้โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวเสียแล้วหรือ
ชิวหรงเอ่ย “ไม้เด่นเกินไพร ลมพัดหักโค่น[1] เดิมคนผู้นี้ก็พัดพาคลื่นลมในใต้หล้าขึ้นมาแล้ว ตอนนี้ยังถูกจัดอยู่อันดับหนึ่งของกระดานมหาอริยะฟ้าดาราอีก แค่คิดก็รู้ว่าถ้าเขาไม่ปรากฏตัวก็แล้วไป แต่ทันทีที่ปรากฏตัวต้องเรียกเคราะห์ใส่ตัวแน่!”
ชิวหรงหยุดไปแล้วพูดต่อว่า “แน่นอน นี่เป็นเพียงการจัดอันดับของเรือนมรรคโลกาสวรรค์ โดยอิงจากพลังต่อสู้ที่หลินสวินสำแดงในแหล่งสถานคุนหลุนตอนนั้นเท่านั้น ผ่านไปแล้วหกปี ใครก็ไม่กล้ายืนยันว่าเจ้าหมอนี่ที่อุทิศตนเป็นอริยบุคคลไปนานแล้วจะบรรลุระดับราชันอริยะไปแล้วหรือไม่”
ตอนนี้หลินสวินถามอย่างอดไม่ได้ “แล้วพวกจวนอวี๋เหิง ฮว่าซิงหลีอยู่อันดับที่เท่าไร”
ชิงหรงเอ่ย “จวนอวี๋เหิงกับฮว่าซิงหลีต่างบรรลุระดับราชันอริยะไปเมื่อสามปีก่อน ลบชื่อออกจากกระดานมหาอริยะฟ้าดารา เบียดตัวเข้าสู่การจัดอันดับใน ‘กระดานราชันอริยะปวงสวรรค์’ ไปนานแล้ว”
กระดานราชันอริยะปวงสวรรค์!
ครู่เดียวหลินสวินก็นึกขึ้นได้ ว่านี่ต้องเป็นกระดานที่เรือนมรรคโลกาสวรรค์จัดอันดับรวบรวมขึ้นอีกอันแน่
“ไม่เพียงแค่พวกเขาสองคน หลังจากการเปลี่ยนอันดับคราวนี้ บุคคลที่อยู่ในสิบอันดับแรกของกระดานมหาอริยะฟ้าดาราเมื่อหนึ่งร้อยปีก่อนก็บรรลุระดับราชันอริยะ เข้าไปอยู่ในกระดานราชันอริยะปวงสวรรค์แทบทั้งนั้น”
ชิวหรงพูดจาฉะฉาน “อย่าง ‘เสวียนจื่อซิ่ว’ ที่เดิมมีชื่ออยู่ในอันดับหนึ่งของกระดานมหาอริยะฟ้าดารา ตอนนี้ก็เปลี่ยนตำแหน่งไปอยู่อันดับที่สี่สิบเก้าของกระดานราชันอริยะปวงสวรรค์ และก็เป็นบุคคลแห่งยุคเพียงคนเดียวที่ทันที่บรรลุระดับราชันอริยะ ก็ขึ้นไปอยู่ร้อยอันดับแรกของกระดานราชันอริยะปวงสวรรค์เลย”
หลินสวินไม่สนใจเรื่องพวกนี้ ต่อมาเขาถามอีกสองสามเรื่องแล้วจึงออกมาจากหอยินวาโยพร้อมกับอวี่อวิ๋นเหอและหนานชิว
……
‘บนทางเดินโบราณฟ้าดาราแห่งนี้ดันมองข้าหลินสวินเป็นเหยื่อ…’
หลินสวินยืนอยู่ท่ามกลางถนนพลุกพล่านราวสายน้ำ แต่จิตใจกลับล่องลอยอยู่บ้าง
ผ่านไปหกปีแล้ว แต่เห็นได้ชัดว่าศัตรูคู่แค้นพวกนั้นไม่เคยล้มเลิกความคิดที่จะฆ่าเขา!
“พี่หลิน ตอนนี้พวกเราจะไปไหน”
อวี่อวิ๋นเหอเอ่ยถาม
เขาสังเกตได้อย่างฉับไว ว่าหลังออกมาจากหอยินวาโยหลินสวินก็นิ่งเงียบลงไปไม่น้อย คล้ายมีอะไรในใจ
หลินสวินเอ่ยพึมพำ “ข้าอยากขายของสักหน่อย”
“ขายของหรือ”
อวี่อวิ๋นเหองุนงง
“ใช่”
หลินสวินพยักหน้า
ช่วยไม่ได้ ตอนนี้เขาขาดผลึกมรรคอย่างหนัก เมื่อกี้ก็จ่ายค่าตอบแทนเพื่อซื้อข้อมูลบางอย่างไปห้าพันผลึกมรรค จากสภาพเช่นนี้ อีกไม่นานผลึกมรรคที่มีอยู่คงหมดลง
อวี่อวิ๋นเหอเป็นลูกคุณหนูที่ผลาญเงินเหมือนโปรยดินคนหนึ่ง ถนัดเรื่องใช้เงินเป็นที่สุด ทั้งยังเคยเอาสมบัติล้ำค่าบางอย่างออกมาขายหมดเพื่อแลกเป็นเงินเอาไปถลุงต่อ
อวี่อวิ๋นเหอครุ่นคิดเล็กน้อยก็พูดว่า “เช่นนั้นก็ไปหอสมบัติศิลาเมฆ ที่นั่นเป็นแหล่งใช้เงินที่สำนักปราณศิลาเมฆเปิดขึ้น รับขายสมบัตินานาชนิด ในนั้นยังมีการประมูล การประลอง การหลอมอาวุธ หลอมยาด้วย…”
……
หอสมบัติศิลาเมฆ
ร้านค้าที่ใหญ่ที่สุด ชื่อเสียงดีที่สุด ภูมิหลังแข็งแกร่งที่สุดในเมืองศิลาเมฆ
ภายในหอสมบัติศิลาเมฆมีพื้นที่ใหญ่โตถึงที่สุด ตกแต่งอย่างหรูหรางดงามอร่ามตา มีแต่สมบัติแวววาละลานตาไปทุกหนแห่ง
มีสมบัติที่เปล่งประกายสวยสดนานาชนิด มียาลูกกลอนระดับต่างๆ มีคัมภีร์ฝึกปราณ สายแร่วิญญาณโอสถเทพ ทั้งมีสมบัติล้ำค่าทั่วสารทิศ ของประหลาดจากฟ้าดิน… ทุกสิ่งต่างแสดงให้เห็นว่าร้านค้าแห่งนี้มีกำลังทรัพย์มากเพียงใด
เมื่อพวกหลินสวินมาถึง ภายในหอสมบัติศิลาเมฆก็มีผู้ฝึกปราณไม่น้อยเดินไปมาในนั้นอยู่ก่อนแล้ว มีทั้งหญิงทั้งชาย ล้วนแต่งกายหรูหรา ท่าทางรูปลักษณ์โดดเด่น ร่ำรวยและน่านับถือ
คิดไปคิดมาก็ถูก สถานที่อย่างหอสมบัติศิลาเมฆ ผู้ฝึกปราณทั่วไม่มีทางมาใช้จ่ายไหวอยู่แล้ว
แต่หลินสวินไม่ได้มาซื้อของ
“ช่วยข้าเอาสมบัติเหล่านี้แลกเป็นผลึกมรรคที”
หลินสวินหาสาวใช้คนหนึ่งแล้วส่งถุงเก็บของให้ไป
สิ่งที่บรรจุอยู่ภายใน เป็นทรัพย์หลังศึกที่เก็บรวบรวมมาได้จากพวกหม่าไท่เจิ้น ฝูทง แน่นอนว่ารวมถึงทรัพย์หลังศึกที่ได้จากตัวอวี่อวิ๋นเหอ
พอได้เห็นภาพนี้อวี่อวิ๋นเหอยังอดอึ้งไปครู่หนึ่งไม่ได้ ส่ายหัวยิ้มขื่นไม่หยุด
หลินสวินก็มีสมบัติอื่นอยู่กับตัว เช่นปลายกระบี่ลึกลับที่ชิงมาจากมือเหวินชิงเสวี่ย ภาพสิบหกดาบจักรพรรดิที่ชิงมาจากมือซวีหลิงคุน
แต่สมบัติเหล่านี้กลับขายออกไปไม่ได้ ข้อแรกเป็นเพราะพวกมันล้ำค่าหายาก
ส่วนข้อสอง เป็นเพราะทันทีที่ขายออกไปจะต้องดึงดูดความสนใจอย่างแน่นอน ถ้าถูกคนจำได้ จะต้องเดาฐานนะของเขาได้แน่!
สาวใช้เอ่ยเสียงนอบน้อม “คุณชายกรุณารอสักครู่ สมบัติที่ท่านต้องการแลกเปลี่ยนมีมาก ต้องใช้เวลาประเมินระยะหนึ่ง”
หลินสวินพยักหน้า
“น้องหก หรือเจ้าจะเงินขาดมืออีกแล้ว”
จู่ๆ ไกลออกไปก็มีคนกลุ่มหนึ่งเดินมา ที่นำหน้าคือเงาร่างสูงใหญ่กำยำในชุดม่วง เป็นอวี่อวิ๋นเจิงลูกหลานเผ่าจักรพรรดิตระกูลอวี่
ที่เดินเคียงข้างเขาเป็นหญิงสาวงดงามผู้หนึ่ง แต่งกายด้วยเสื้อคลุมนกกระเรียนหรูหรา ใบหน้างามวิจิตร เพียงแต่สีหน้าเย็นชา เผยให้เห็นกลิ่นอายเย่อหยิ่ง
“เปล่า”
อวี่อวิ๋นเหอส่ายหัว
อวี่อวิ๋นเจิงยิ้มขี้เล่น “เหอะๆ ข้าเห็นหมดแล้ว เจ้านี่นะ ใช้เงินมือเติบเกินไปแล้ว ถ้าเงินขาดมือมาบอกข้าก็พอ เอ้า นี่ผลึกมรรคหนึ่งหมื่นก้อน เอาไปใช้เถอะ”
พูดพลางก็โยนถุงเก็บของออกมาใบหนึ่ง
ปึง!
ถุงเก็บของตกอยู่ที่พื้น อวี่อวิ๋นเหอไม่ได้รับ เอ่ยด้วยสีหน้าไม่น่าดู “พี่สาม ท่านมองข้าเป็นคนอย่างไรกัน ขอทานหรือ”
อวี่อวิ๋นเจิงนิ่วหน้า พลันถอนหายใจแล้วเอ่ย “หนึ่งหมื่นก้อนไม่พอหรือ งั้น… ห้าหมื่นก้อนได้ไหม”
พูดพลางก็เอาถุงเก็บของออกมาอีกถุง
ข้างกายอวี่อวิ๋นเจิง เหล่าชายหญิงต่างหัวเราะขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ ท่าทางเหมือนดูเรื่องสนุก
อวี่อวิ๋นเหอโกรธจนเส้นเอ็นตรงขมับปูดโปน กัดฟันเอ่ยว่า “พี่สาม ความปรารถนาของท่านข้ารับไว้ด้วยใจแล้ว ผลึกมรรคพวกนี้ท่านเอาไว้ใช้เองเถอะ!”
อวี่อวิ๋นเจิงไม่ดันทุรังอีก ยิ้มพลางตบไหล่อวี่อวิ๋นเหอ หลังจากนั้นก็ชี้ไปที่หญิงสาวชุดคลุมนกกระเรียนที่อยู่ข้างๆ ผู้นั้นแล้วเอ่ยว่า “น้องหก นี่ก็คือแม่นางไฉ่อี”
หลันไฉ่อี!
บุตรสาวของเจ้าสำนักปราณศิลาเมฆ!
อวี่อวิ๋นเหอนัยน์ตาหดรัดลง จากนั้นก็สูดหายใจเฮือกหนึ่งเผยรอยยิ้มแข็งทื่อ “คารวะแม่นางไฉ่อี”
หลันไฉ่อีส่งเสียงอืม สีหน้าเย็นชาพูดว่า “อวิ๋นเจิง พวกเราไปเถอะ ท่านพ่อของข้าอุตส่าห์เชิญอาจารย์โม่มาเมืองศิลาเมฆได้ อย่าให้คนชราอย่างเขารอนานเลย”
พูดจบก็หันกายจากไป
อวี่อวิ๋นเหอสีหน้าอึมครึม ในใจนึกโมโห ผู้หญิงบ้านี่ตั้งใจวางมาดใส่ตนหรือ
เห็นอวี่อวิ๋นเหอถูกกดข่ม อวี่อวิ๋นเจิงก็ยิ้มออกมา เคลื่อนสายตามองไปยังหลินสวินแล้วเอ่ยว่า “เจ้าเป็นข้ารับใช้ที่น้องหกรับเข้ามาใหม่หรือ”
หลินสวินเลิกคิ้ว ข้ารับใช้หรือ หมอนี่จงใจหรือคิดว่าตนเป็นข้ารับใช้คนหนึ่งจริงๆ กันแน่
แต่เขาไม่ทันเอ่ยปาก อวี่อวิ๋นเจิงก็พูดว่า “ผลึกมรรคหมื่นก้อนที่อยู่ในถุงเก็บของก็มอบให้เจ้าแล้ว”
พูดจบเขาก็พาทุกคนหันกายจากไป
“เจ้าหมอนี่จะเกินไปแล้ว!”
หนานชิวพึมพำ ขุ่นเคืองนัก
ในขณะเดียวกันอวี่อวิ๋นเหอสีหน้าอึมครึม เอ่ยว่า “ขออภัย เป็นเพราะข้าดึงเจ้าเข้ามาด้วย”
“ที่ควรขอโทษน่ะเขา ไม่ใช่เจ้า”
หลินสวินเอ่ยแก้
อวี่อวิ๋นเหอยิ้มขื่นส่ายหน้า เขารู้จักอวี่อวิ๋นเจิงดี นิสัยใจคอเย่อหยิ่ง ปราดเปรื่องมาแต่ไหนแต่ไร ได้รับความชื่นชมจากเหล่าคนใหญ่คนโตในตระกูลเป็นอย่างยิ่ง
ตอนนี้จะหมั้นกับบุตรสาวของเจ้าสำนักปราณศิลาเมฆ ภายหน้าฐานะในตระกูลต้องยิ่งสำคัญขึ้น
อยากให้เขาขอโทษหรือ
ยาก!
หลินสวินไม่คุ้นกับท่าทางคับอกคับใจเช่นนี้ของอวี่อวิ๋นเหอเป็นที่สุด เอ่ยไปอย่างอดไม่อยู่ว่า “ในฐานะทายาทสายตรงที่ไม่เป็นที่ชื่นชอบของตระกูล เจ้าไม่ใช่ควรกระตุ้นให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้น หาทางโต้กลับอย่างแข็งกร้าวหรอกหรือ”
อวี่อวิ๋นเหออึ้งงัน เอ่ยขอคำแนะนำทันใดว่า “เอ่อ… พี่หลิน เจ้าคิดว่าข้าควรจะโต้กลับอย่างไร”
นี่ยังต้องถามหรือ
หลินสวินหมดคำพูดไปครู่หนึ่ง แหย่เล่นว่า “ในนิทานไม่ใช่เคยพูดไว้หรือ ว่าแม่น้ำเดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวลง รุ่งเรืองตกต่ำไม่แน่นอน อย่าไปรังแกเด็กน้อยในวัยเยาว์ ทายาทของตระกูลที่เคยถูกเหยียดยาม ถูกรังแกและกดข่มต่างๆ นานา สาบานว่าจะแข็งแกร่งขึ้นให้ได้ ดังนั้นจึงทนรับคำสบประมาท ตรากตรำฝึกปรือ แล้วจากนั้นก็เหยียบคู่ต่อสู้ไว้ใต้เท้าทีละก้าว เดินขึ้นสู่จุดสูงสุดของชีวิตจากจุดนี้ กลายเป็นคนที่โดดเด่นสะดุดตาที่สุดในตระกูลไป”
อวี่อวิ๋นเหอจนใจไปครู่หนึ่ง “พี่หลิน แม้ข้าจะเป็นลูกคุณหนูอยู่บ้างแต่ก็ไม่ได้โง่ นิทานแบบนี้มันเป็นของฆ่าเวลาทั้งนั้น จะเป็นจริงได้หรือ”
หลินสวินหัวเราะ “ยังถือว่าไม่โง่ เรื่องแบบนี้ว่ากันถึงแก่นยังต้องดูที่ตัวเอง คนต้องชิงเกียรติ พระต้องรับกลิ่นธูป[2] การเสาะแสวงมหามรรคต้องสู้กับฟ้าดิน สู้กับคนรุ่นเดียวกัน ถ้าเจ้าไม่สู้ ก็ต้องถูกเตะออกจากสนาม”
อวี่อวิ๋นเหอตะลึง จมสู่ภวังค์ความคิด
ตอนนี้สาวใช้คนนั้นเดินมา ยกผลึกมรรคหกหมื่นก้อนมาให้
หลินสวินรับผลึกมรรคแล้วนิ่วหน้าอย่างอดไม่ได้ ยังออกจะน้อยอยู่ ผลึกมรรคหกหมื่นก้อน สำหรับผู้ฝึกปราณคนอื่นแล้วเรียกได้ว่าเป็นทรัพย์ก้อนโต
แต่สำหรับการฝึกปราณของหลินสวิน อย่างมากก็ประคองไปได้ประมาณสองเดือน จะพูดว่าเอาน้ำในถ้วยมารดรถฟืนที่ไฟไหม้ก็ไม่เกินไป
เขามองดูรอบทิศ จู่ๆ ตาก็เปล่งประกายขึ้นมา เอ่ยว่า “ไป ไปดูทางนั้นหน่อย”
“ห้องภารกิจหรือ”
อวี่อวิ๋นเหอประหลาดใจ นี่พี่หลินจะทำอะไร
ระหว่างที่ในใจคิดอยู่เขากับหนานชิวก็ตามหลินสวินไป
ห้องภารกิจ เห็นชื่อก็รู้ความหมาย ก็คือสถานที่ที่ประกาศภารกิจ แต่ละภารกิจล้วนมีการให้รางวัลที่สัมพันธ์กัน
หน้าห้องภารกิจมีจอแสงขนาดยักษ์จอหนึ่งลอยอยู่ ด้านบนมีเนื้อหาและเงินรางวัลของภารกิจปรากฏขึ้นเป็นแถวๆ ราวกับน้ำไหล
ตอนนี้กำลังมีผู้ฝึกปราณมากมายล้อมอยู่ข้างหน้า รับเอาภารกิจที่แต่ละคนสนใจไป ใช้สิ่งนี้เพื่อแลกค่าตอบแทน
หลินสวินสังเกตเห็นว่าภารกิจที่อยู่บนจอแสงแบ่งออกเป็นหลายประเภท บ้างไปเก็บสมุนไพรวิญญาณ บ้างไปฆ่าสัตว์อสูรมาร บ้างเกี่ยวข้องกับลูกกลอนโอสถ หลอมอาวุธ รับซื้อสิ่งของ…
มีมากมายหลายชนิด ที่ควรมีก็มีหมด
หลินสวินมองดูรายละเอียดอยู่ครู่หนึ่งก็ตัดสินใจเอ่ยว่า “คุณชายอวี่ เจ้ามาลงมือ เลือกภารกิจที่เกี่ยวข้องกับการหลอมอาวุธและวางค่ายกลโดยเฉพาะออกมาที”
——
——
[1] ไม้เด่นเกินไพร ลมพัดหักโค่น หมายถึงคนที่โดดเด่นเกินไป มักถูกอิจฉาริษยา
[2] คนต้องชิงเกียรติ พระต้องรับกลิ่นธูป หมายถึงการเป็นคนต้องมีเกียรติ พัฒนาตนเองไม่หยุด ไม่สูญเสียหลักการของตน