ในที่นั้นเงียบสงัด
แววตาของอวี่อวิ๋นเหอที่อยู่บนยานสมบัติดูเลื่อนลอย
ต่อให้เคยเห็นภาพตอนที่หลินสวินกำราบหม่าไท่เจิ้นมาก่อน แต่เมื่อเห็นว่าราชันอริยะสองคนก็ยังถูกฆ่าเหมือนเด็ดผักหั่นแตงเช่นนี้ ก็ยังทำให้อวี่อวิ๋นเหอตกตะลึงมากเหมือนเดิม
เจ้าหมอนี่… มาจากไหนกันแน่
บุคคลร้ายกาจที่อยู่ในสิบอันดับแรกของกระดานมหาอริยะฟ้าดารา เกรงว่าคงไม่มีใครดุดันเหมือนเขาแล้วกระมัง
ปึง!
ขณะที่หลินสวินกำลังเตรียมเก็บกวาดทรัพย์หลังศึก บนร่างไร้วิญญาณของไฉเฟิงพลันมีควันไฟเจิดจ้าสายหนึ่งพุ่งแหวกอากาศออกไป
“แย่แล้ว เป็นยันต์มรรคส่งข่าวที่ใช้ขอความช่วยเหลือ!”
อวี่อวิ๋นเหอพลันหน้าถอดสี
เห็นชัดว่านี่เป็นสิ่งที่ไฉเฟิงคิดจะใช้ขอความช่วยเหลือก่อนตาย ทว่าสุดท้ายกลับช้าไปก้าวหนึ่ง ถูกหลินสวินสังหารเสียก่อน
หลินสวินหรี่ตาลง แต่ทำเหมือนไม่มีเรื่องใด เริ่มตรวจสอบทรัพย์หลังศึก
สมบัติอริยะหกชิ้น ระดับคุณภาพต่างกันไป ถูกหลินสวินเก็บไว้ให้อู้เชวียวิญญาณอาวุธที่อยู่ในธนูวิญญาณไร้แก่นสาร
ลูกกลอนโอสถหลายขวดกองหนึ่ง โอสถเทพและเจตวัตถุหลายสิบอย่าง รวมถึงผลึกมรรคสามแสนหกหมื่นก้อน…
รวมกันแล้วมูลค่าน่าตื่นตาตื่นใจยิ่งนัก
เท่านี้ก็รู้แล้วว่าทรัพย์สินของระดับราชันอริยะมากมายเพียงใด หลินสวินลำบากทำภารกิจที่หอสมบัติศิลาเมฆมาเกือบทั้งวัน เพิ่งได้มาแค่สี่แสนกว่าผลึกมรรค
แต่เปรียบเทียบกันแล้ว การต่อสู้และฆ่าฟันก็ยังได้เงินมาเร็วกว่า เรียกได้ว่าเป็นการค้าที่ลงทุนน้อยกำไรมาก
“ไป”
ไม่ทันไรหลินสวินก็ควบคุมยานขนส่งอวกาศทลายอากาศจากไป ทั้งไม่กังวลว่าสำนักปราณศิลาเมฆจะเปิดฉากล้างแค้นด้วยเหตุนี้
…
สำนักปราณศิลาเมฆ
ฟุ่บ!
ยันต์มรรคขอความช่วยเหลือกลายเป็นรุ้งเทพพุ่งเข้าไปในสำนัก
“เจ้าสำนัก แย่แล้ว ผู้อาวุโสเหวยชงและไฉเฟิงขอความช่วยเหลือ!”
เสียงร้องตื่นตระหนกดังอยู่นอกเรือนใหญ่
ไม่นานเจ้าสำนักหลันเทียนอวี๋ก็ออกเคลื่อนพลด้วยตัวเอง พาคนกลุ่มหนึ่งพุ่งออกจากสำนักไปเต็มอัตรา ไม่ทันไรก็มาถึงสถานที่ซึ่งเกิดการต่อสู้ขึ้น
เพียงแต่พวกเขามาช้าไปก้าวหนึ่ง หลินสวินจากไปนานแล้ว
“ตายแล้ว…”
หลันเทียนอวี๋สำรวจดูเล็กน้อยก็พบศพของเหวยชงและไฉเฟิง เขาหัวใจหล่นวูบ สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นไม่น่าดู
“นี่เป็นไปไม่ได้!”
หลันไฉ่อีที่ตามมาร้องเสียงหลงกล่าว “แค่จัดการมกุฎมหาอริยะคนหนึ่ง จะทำให้ท่านลุงทั้งสองประสบเคราะห์ได้อย่างไร”
“นี่มันเรื่องอะไรกันแน่”
หลันเทียนอวี๋เอ่ยถามด้วยหน้าตาบูดบึ้ง
แม้ว่าสำนักปราณศิลาเมฆจะเป็นยอดขุมอำนาจที่ชื่อเสียงสะเทือนโลกต้าอวี่ แต่ผู้แข็งแกร่งระดับราชันอริยะที่มีอยู่ก็ไม่ได้มาก
แต่ตอนนี้กลับสูญเสียไปสองคนในชั่วขณะเดียว!
นี่จะไม่ให้หลันเทียนอวี๋โกรธได้อย่างไร หัวใจแทบกระอักเลือด
ใบหน้างามของหลันไฉ่อีซีดเผือด ไม่กล้าปิดบังอีก เล่าเรื่องที่เกี่ยวข้องกับหลินสวินออกมาจนหมด
“โง่งม! นั่นเป็นถึงปฐมาจารย์สลักลายมรรคที่ร้ายกาจกว่าอาจารย์โม่ มีหรือจะเป็นคนที่ใครๆ ก็ล่วงเกินได้ตามใจ”
หลันเทียนอวี๋โกรธจนผมตั้ง แววตาน่ากลัว
หลันไฉ่อีสั่นสะท้าน กระวนกระวายเป็นอย่างมาก
“เจ้าสำนัก เรื่องเกิดขึ้นแล้ว มือสังหารยังหนีไปไม่ไกลแน่ เรื่องเร่งด่วนตอนนี้คือไล่ตามศัตรูไป”
ผู้อาวุโสคนหนึ่งกล่าวเสียงขรึม
คนอื่นก็พยักหน้า ไอสังหารแผ่ซ่าน
นี่เป็นอาณาเขตสำนักปราณศิลาเมฆของพวกเขา ถึงกับถูกคนฆ่าผู้อาวุโสระดับราชันอริยะไปสองคน ไม่เพียงแต่เป็นการสูญเสียอย่างหนัก ยังเป็นความอัปยศอดสูอย่างใหญ่หลวง หากแพร่ออกไปย่อมเป็นการโจมตีอานุภาพของสำนักพวกเขาไม่น้อย
หลันเทียนอวี๋สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วตัดสินใจ “ออกคำสั่งให้ผู้อาวุโสที่ประจำการนอกเมืองร่วมมือกัน ประกาศจับคนผู้นี้เต็มกำลัง!”
“ขอรับ”
ทุกคนรับคำสั่งแล้วจากไปอย่างรีบเร่ง
กระทั่งทุกคนแยกย้ายกันไป หลันเทียนอวี๋จึงถอนใจยาวเฮือกหนึ่ง เขารู้ว่าต่อให้ออกโจมตีเต็มกำลังตอนนี้ก็สายไปแล้ว
ปฐมาจารย์สลักลายมรรคคนหนึ่งที่ฆ่าระดับราชันอริยะได้ มีหรือจะเป็นคนที่ถูกจับตัวได้ง่ายเช่นนั้น
หลันเทียนอวี๋ไม่จำเป็นต้องเดาก็รู้ว่า โอกาสที่จะจับตายมือสังหารได้ช่างริบหรี่ยิ่งนัก
หลันไฉ่อีกัดฟันกล่าว “ท่านพ่อ เรื่องนี้ข้าเป็นคนก่อ ข้ายินดีรับผิดชอบทั้งหมด”
เพี๊ยะ!
หลันเทียนอวี๋ยกมือขึ้นตบหน้าบุตรสาว กล่าวด้วยสีหน้าอึมครึม “หลายปีมานี้ข้าตามใจเจ้าเกินไปแล้ว หลังจากกลับไปเจ้าจงไปที่เขตหวงห้ามหลังภูเขา ถ้าข้าไม่อนุญาตห้ามออกมาข้างนอก!”
แก้มของหลันไฉ่อีบวมเป่ง ริมฝีปากหลั่งเลือด ในใจกลับรู้ดีว่าบิดาทำเช่นนี้ด้วยกำลังปกป้องนาง หากสืบสาวเอาความกันขึ้นมาจริงๆ โทษที่นางต้องรับเกรงว่าคงร้ายแรงกว่านี้แน่
นางพูดเสียงเบาว่า “ท่านพ่อ เรื่องนี้ข้าจำเป็นต้องบอกอวิ๋นเจิง ให้เขาเตรียมตัวก่อนล่วงหน้า”
หลันเทียนอวี๋สีหน้าปรวนแปรไม่หยุด สุดท้ายก็พยักหน้ารับคำ
…
เหมือนที่หลันเทียนอวี๋คาดเดา หลินสวินวางแผนจากไปจริงๆ กลางฟ้าดินที่กว้างใหญ่นี้คิดจะจับตัวเขามีหรือจะทำได้ง่ายๆ
วันต่อมา
หลินสวินออกจากอาณาเขตที่ขุมอำนาจสำนักปราณศิลาเมฆปกครองไปได้อย่างไร้อันตราย รีบเร่งมุ่งไปยัง ‘ภูเขาเทพนพเลิศ’ อาณาเขตของเผ่าจักรพรรดิตระกูลอวี่ตามคำชี้แนะของอวี่อวิ๋นเหอ
ขณะเดียวกันในเมืองศิลาเมฆ ข่าวเกี่ยวกับ ‘ปฐมาจารย์สลักลายมรรคปริศนาลงมือ ฝีมือเหนือกว่าอาจารย์โม่’ ก็แพร่ออกไปอย่างรวดเร็ว ปั่นป่วนไปทั่วทิศ
ส่วนฐานะของปฐมาจารย์สลักลายมรรค ‘แซ่หลิน’ คนนี้ ก็กลายเป็นประเด็นสนทนาที่ผู้คนกล่าวถึงอย่างเพลิดเพลิน
พร้อมกันนี้สำนักปราณศิลาเมฆก็เกิดเหตุไม่คาดฝันครั้งใหญ่ ข่าวการตายของผู้อาวุโสระดับราชันอริยะสองคนแพร่สะพัดออกไปดั่งพายุเช่นกัน ชักนำให้เกิดความปั่นป่วนโกลาหล
แต่มีน้อยคนนักที่รู้ว่ามือสังหารที่ก่อเหตุไม่คาดฝันนี้ คือปฐมาจารย์สลักลายมรรคปริศนาที่ชักนำให้เกิดความปั่นป่วนทั่วเมืองคนนั้น
สำหรับเรื่องนี้สำนักปราณศิลาเมฆย่อมทุกข์ใจแต่พูดไม่ออก ทั้งเดือดดาลทั้งทำอะไรไม่ได้ มือสังหารหนีลอยนวลไปนานแล้ว พวกเขายังจะทำอะไรได้อีก
และด้วยสาเหตุเกิดจากหลันไฉ่อี จึงทำให้ตำแหน่งเจ้าสำนักของหลันเทียนอวี๋สั่นคลอนไปด้วย สองพ่อลูกถูกวิจารณ์โจมตีกันทั้งคู่
ต้องรู้ว่ายอดสำนักใหญ่อย่างสำนักปราณศิลาเมฆ ไม่ได้มีหลันเทียนอวี๋เป็นใหญ่อยู่คนเดียว!
หลังจากรู้ข่าวพวกนี้หลันไฉ่อีก็นึกเสียใจจนอยากตาย ถ้ารู้ว่าเป็นเช่นนี้ นางจะยอมกล้ำกลืนความเจ็บช้ำ ไม่มีทางไปล่วงเกินหลินสวินแน่
น่าเสียดาย มาเสียใจภายหลังก็สายไปแล้ว
กรรมที่เกิดขึ้นตอนนี้ ก็คือค่าตอบแทนที่นางต้องแบกรับ!
…
ภูเขาเทพนพเลิศ
เขาวิญญาณแดนมงคลลูกหนึ่งที่เลื่องชื่อลือนามในโลกต้าอวี่ เผ่าจักรพรรดิตระกูลอวี่อาศัยอยู่ที่นี่มารุ่นต่อรุ่น
“อะไรนะ นี่ข้าเพิ่งมาถึงบ้าน ไฉ่อีก็ส่งสารมาให้ข้าแล้ว นางเป็นห่วงข้าจริงๆ รีบเอามาให้ข้าดูเร็วเข้า”
ในเรือนที่โอ่อ่าหรูหราหลังหนึ่ง อวี่อวิ๋นเจิงยิ้มกล่าว
การได้หมั้นหมายกับหลันไฉ่อี ถูกเขามองเป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาดที่สุดในชีวิต
หลันไฉ่อีไม่เพียงแต่งดงามและฉลาด เบื้องหลังของนางยังมีบิดาที่ครองตำแหน่งเจ้าสำนักแห่งหนึ่ง!
สำหรับอวี่อวิ๋นเจิงนี่ก็คือกองหนุนอย่างดี สามารถทำให้เขามีสิทธิ์ในการช่วงชิงตำแหน่งผู้นำตระกูลน้อยมากขึ้น
“นายน้อยโปรดตรวจสอบ”
เฒ่าชราคนหนึ่งยื่นจดหมายส่งให้เขาอย่างนอบน้อม
เมื่อเปิดอ่านดู รอยยิ้มบนหน้าอวี่อวิ๋นเจิงพลันชะงักค้างทันที ดวงตาเบิกกว้าง ตกใจจนเกือบกระโดดออกมาจากเก้าอี้
‘ราชันอริยะสองคนของสำนักปราณศิลาเมฆเชียวนะ… ถึงกับถูกเจ้าหนุ่มแซ่หลินคนนั้นฆ่าไปแล้ว…’
จิตใจของอวี่อวิ๋นเจิงดั่งคลื่นซัดพลิกสมุทร สีหน้าเปลี่ยนเป็นปรวนแปรไม่หยุด
หากไม่มั่นใจว่าจดหมายฉบับนี้เป็นลายมือของหลันไฉ่อี เขาคงแทบไม่กล้าเชื่อว่านี่เป็นเรื่องจริง
นานพอควรอวี่อวิ๋นเจิงจึงค่อยสงบสติอารมณ์กลับมา จมสู่ห้วงความคิด
‘มีบางอย่างไม่เข้าทีแล้ว ตอนนี้เจ้าโง่อวี่อวิ๋นเหอนี่ได้รับการช่วยเหลือจากผู้มากฝีมือคนหนึ่ง เมื่อกลับมาที่ตระกูล ถ้าอยากช่วงชิงสิทธิ์ในการสืบทอดตำแหน่งผู้นำน้อยจากมืออีกฝ่าย เกรงว่าคงไม่ง่ายดายเช่นนั้นแล้ว…’
‘ที่ไฉ่อีเขียนไว้ในจดหมายนั้นไม่ผิด เรื่องเร่งด่วนคือรวมพลังกับคนอื่น จัดการอวี่อวิ๋นเหอด้วยกันก่อน เช่นนี้จึงจะรับรองได้ว่าสิทธิ์ในการสืบทอดตำแหน่งผู้นำน้อยจะไม่ตกไปอยู่ในมือเขา!’
นึกถึงตรงนี้อวี่อวิ๋นเจิงก็กัดฟันตัดสินใจ “ส่งข่าวจากข้าไปหาอวี่อวิ๋นเชวี่ย อวี่อวิ๋นซิง อวี่อวิ๋นหลง…”
เขาเอ่ยนามออกมาสิบกว่าชื่อในคราวเดียว “ให้พวกเขามาที่นี่โดยเร็ว บอกว่าข้ามีเรื่องใหญ่จะปรึกษา จำเป็นต้องให้พวกเขามาที่นี่!”
เฒ่าชรารับคำสั่งแล้วจากไปอย่างรีบเร่ง
หลังผ่านไปหนึ่งก้านธูป
ในเรือนทองอร่ามเรืองรองหลังนี้ก็มีชายหญิงสิบกว่าคนมาอยู่รวมกัน ล้วนสวมใส่อาภรณ์แพรเลิศหรู กิริยาผิดจากทั่วไป
คนพวกนี้ล้วนเป็นยอดบุคคลในหมู่คนรุ่นเยาว์ของเผ่าจักรพรรดิตระกูลอวี่ แต่ละคนล้วนเรียกได้ว่าโดดเด่นเหนือใคร เจิดจรัสเป็นอย่างยิ่ง
แต่สำหรับอวี่อวิ๋นเจิง เหล่าพี่น้องในที่นี้กลับเป็นคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งในการแย่งชิงสิทธิ์สืบทอดตำแหน่งผู้นำน้อยของเขา!
“ตอนนี้ทุกคนมากันพร้อมแล้ว พี่สามท่านควรพูดได้แล้วกระมังว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไร”
หญิงสาวคนหนึ่งที่สวมชุดกระโปรงสีแดงเพลิงอดกล่าวไม่ได้ นางมีชื่อว่าอวี่อวิ๋นเยี่ยน อยู่ในลำดับห้าของคนรุ่นเยาว์
“ใช่แล้วเจ้าสาม เวลาของทุกคนล้วนมีค่า มีอะไรเจ้าก็พูดมาตรงๆ เถอะ”
มีคนกล่าวอย่างหงุดหงิด ท่านั่งเขาเหมือนเสือหมอบมังกรซุ่ม หว่างคิ้วห่าง แววตาดุจอสนี อานุภาพดุดันเป็นอย่างยิ่ง เขามีชื่อว่าอวี่อวิ๋นหลง เป็นลำดับที่สอง
อวี่อวิ๋นเจิงสะกดข่มความอึดอัดในใจลง กล่าวอย่างเย็นชา “พี่ใหญ่ยังไม่มา ทุกคนอดทนรอสักครู่”
พี่ใหญ่หรือ
ทุกคนต่างสายตาวูบไหว
ในหมู่คนรุ่นเยาว์ของตระกูลอวี่ อวี่อวิ๋นเฟิงคือลำดับแรกสุด และเป็นผู้มีอิทธิพลคนหนึ่งที่มีบารมีและรากฐานมากที่สุดในหมู่คนรุ่นเยาว์
ทว่าเขาเป็นแค่บุตรที่เกิดจากหญิงรับใช้คนหนึ่งที่อยู่ข้างกายบิดาของเขาเท่านั้น ฐานะจึงเทียบกับทายาทสายตรงคนอื่นในที่นั้นไม่ได้
“ขออภัย ข้ามาสายเสียแล้ว”
ไม่ทันไรอวี่อวิ๋นเฟิงก็มาถึงเรือนใหญ่อย่างรีบเร่ง เงาร่างเขาองอาจผ่าเผย หน้าตาแข็งแกร่งเด็ดขาด มีอานุภาพที่สะกดข่มผู้คนอย่างหนึ่ง
ทุกคนต่างนั่งนิ่งไม่ขยับ
อวี่อวิ๋นเฟิงยิ้มไม่ใส่ใจ หาที่นั่งด้วยตัวเอง
“ตอนนี้เจ้าสามน่าจะพูดได้แล้วกระมังว่ามีเรื่องอะไร”
อวี่อวิ๋นหลงกล่าว
สายตาของคนอื่นก็มองไปยังอวี่อวิ๋นเจิง
“ทุกคน อีกไม่ถึงสิบวันการทดสอบประจำตระกูลก็จะเริ่มต้น ทุกคนต้องกำลังเตรียมพร้อมเรื่องนี้อย่างเต็มกำลังอยู่แน่ เพียงแต่มีเรื่องหนึ่งที่เกรงว่าพวกเจ้าคงยังไม่รู้”
อวี่อวิ๋นเจิงสูดหายใจเข้าลึกๆ กล่าวเสียงขรึม “ข้างกายน้องหกของพวกเรามีปฐมาจารย์สลักลายมรรคที่ร้ายกาจเพิ่มมาคนหนึ่ง ทั้งเขายังกำลังรีบกลับมาที่ตระกูล หากเป็นไปดังคาด เขาต้องเข้าร่วมการทดสอบประจำตระกูลด้วยแน่นอน”
ทุกคนต่างตื่นตะลึง
มีคนอดเยาะหยันไม่ได้ “เจ้าโง่นั่นยังกล้ามาเข้าร่วมด้วยรึ เช่นนั้นก็มาสิ ถ้าเขาไม่กลัวโดนอัดเป็นกระสอบทราย”
คนไม่น้อยต่างหัวเราะขึ้นมา
ทั้งตระกูลใครไม่รู้เบื้องลึกของอวี่อวิ๋นเหอบ้าง ว่านี่เป็นคนไร้ประโยชน์ที่ไม่ได้เรื่อง สวยแต่รูปจูบไม่หอมคนหนึ่ง!
มีเพียงอวี่อวิ๋นเฟิงซึ่งเป็นพี่ใหญ่ขมวดคิ้วมุ่น นี่ขนาดอยู่ในตระกูล พี่น้องพวกนี้ยังกำเริบเสิบสานเรียกอวี่อวิ๋นเหอว่า ‘เจ้าโง่’ ตรงๆ ดูทำเกินไปอยู่บ้างอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่ในใจเขาก็รู้ดีว่าน้องหกอวี่อวิ๋นเหอ… เสเพลเกินไปบ้างจริงๆ หลายปีมานี้ไม่รู้ว่าทำให้ผู้นำตระกูลผิดหวังจนเกือบเสียใจไปกี่ครั้ง
“ทุกคน”
อวี่อวิ๋นเจิงเคาะโต๊ะ กล่าวอย่างเย็นชา “ข้ากล้าบอกพวกเจ้าเลยว่า ผู้ช่วยคนนั้นที่อยู่ข้างกายน้องหกเพิ่งสังหารราชันอริยะไปสองคน!”
ทันทีที่วาจานี้กล่าวออกมา ทั้งที่นั้นต่างเงียบเชียบ ตกอยู่ในความตะลึง