อวี่อวิ๋นเจิงไม่ปิดบังอีก เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเมืองศิลาเมฆออกมาทีละเรื่อง
ในเรือนใหญ่เงียบสงัดยิ่งกว่าเดิมทันที
สีหน้าของทุกคนแตกต่างกันออกไป บ้างประหลาดใจ บ้างระแวดระวัง บ้างสงสัย…
แม้แต่อวี่อวิ๋นเฟิงก็อดตะลึงไม่ได้ หรือน้องหกเขาจะกลับเนื้อกลับตัว ตระหนักได้ว่าสถานการณ์ของตนไม่เข้าทีแล้ว
ครู่ใหญ่จึงมีคนยิ้มหยัน “แค่คนนอกคนหนึ่งเท่านั้น ต่อให้ร้ายกาจแค่ไหน แต่มีหรือจะเข้าร่วมการทดสอบประจำตระกูลอวี่ของพวกเราได้”
อวี่อวิ๋นเจิงกล่าวด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก “อย่าลืมสิ น้องหกเป็นทายาทสายตรงของผู้นำตระกูล ขอแค่เขาเข้าร่วมการทดสอบประจำตระกูล ไม่ว่าผลงานจะเป็นอย่างไรก็ย่อมมีสิทธิ์เข้าไปในแดนลับต้าอวี่”
“และคนที่ถูกพวกเจ้ามองเป็นคนนอกผู้นั้น ก็เป็นถึงคนที่ทำให้อาจารย์โม่ชื่นชมในด้านการสลักวิญญาณได้สำเร็จ”
“มีเขาคอยช่วย พลังผนึกมรรคที่บรรพชนของพวกเราเหลือทิ้งไว้ใน ‘แดนลับต้าอวี่’ ต้องไม่ยากเกินมือน้องหกแน่!”
บรรยากาศในที่นั้นเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้นมา
อีกไม่ถึงสิบวันการทดสอบประจำตระกูลก็จะเริ่มต้น แต่ในเวลานี้เจ้าโง่คนหนึ่งที่ถูกพวกเขามองว่าไม่มีทางกล้าเข้าร่วมการทดสอบประจำตระกูลเด็ดขาด กลับอยากเข้าร่วมขึ้นมาอย่างเกินความคาดหมาย
ทั้งยังพาคนนอกที่แข็งแกร่งคนหนึ่งมาด้วย!
นี่จะไม่ให้พวกเขาระวังตัวได้อย่างไร
จริงอยู่ว่าพวกเขาทุกคนในที่นี้ต่างก็เป็นคู่แข่งกันอยู่แล้ว แต่อวี่อวิ๋นเหอไม่เหมือนกัน เดิมทีเขาก็เป็นบุตรของผู้นำตระกูล สายเลือดบริสุทธิ์ ฐานะไม่ธรรมดา
หากไม่ใช่ว่าหลายปีนี้เขาทำตัวย่ำแย่จนเกินไป ตำแหน่งผู้นำตระกูลน้อยคงถูกเขารับต่อไปนานแล้ว ไม่ถูกปล่อยว่างมาถึงตอนนี้
ทันใดนั้นก็มีคนพูดว่า “พี่สามพูดเรื่องพวกนี้กับพวกเรา หรือว่ามีแผนการอยู่แล้ว”
ประโยคเดียวทำให้สายตาของทุกคนที่นั่งอยู่ตรงนั้นมองไปทางอวี่อวิ๋นเจิง
อวี่อวิ๋นเจิงสีหน้าราบเรียบกล่าว “น้องหกไม่ถึงขั้นทำให้เป็นกังวล แต่คนนอกที่อยู่ข้างกายเขาคนนั้น สำหรับพวกเราทุกคนในที่นี้ล้วนเป็นภัยคุกคามใหญ่อย่างหนึ่งที่ซ่อนอยู่ ทุกคนคิดว่าอย่างไรเล่า”
คนไม่น้อยต่างพยักหน้า
เห็นดังนี้อวี่อวิ๋นเจิงก็บอกเจตนาที่แท้จริงของตนออกมา “ดังนั้นครั้งนี้ข้าจึงเรียกทุกคนมาชุมนุมที่นี่ ด้วยอยากทำแค่เรื่องเดียว รวมพลังของพวกเราทุกคน กำจัดคนนอกคนนี้ที่อยู่ข้างกายน้องหก!”
นัยน์ตาของคนไม่น้อยต่างหดรัดทันที
เสียงของอวี่อวิ๋นเจิงทุ้มต่ำ “ขอแค่ฆ่าคนผู้นี้ได้ก็เท่ากับตัดที่พึ่งหลักของน้องหกไป ด้วยความสามารถของเขา ต่อให้เข้าร่วมการทดสอบประจำตระกูลและเข้าไปในแดนลับต้าอวี่ได้ หลังจากนั้นก็ย่อมถูกลิขิตให้ไม่อาจแข่งขันกับพวกเรา”
“น้องสาม ทำเช่นนี้จะไม่เกินไปหน่อยหรือ” อวี่อวิ๋นเฟิงมุ่นคิ้วกล่าว
อวี่อวิ๋นเจิงกล่าวราบเรียบ “พี่ใหญ่ คนที่พวกเราจัดการคือคนนอกคนเดียว ไม่ได้จัดการน้องหก ในจุดนี้หวังว่าท่านจะแบ่งแยกได้ชัดเจน”
“ใช่แล้ว พี่ใหญ่ แค่คนนอกคนเดียวเท่านั้น กล้าสอดมือเข้ามายุ่งเรื่องภายในตระกูลของพวกเรา ช่างรนหาที่ตายจริงๆ!”
คนอื่นก็พากันเอ่ยปาก
อวี่อวิ๋นเจิงยิ้มทันที เขารู้ว่าทุกคนในที่นี้ถูกเป่าหูแล้ว
มีเพียงอวี่อวิ๋นเฟิงที่ลอบถอนใจ
…
สองวันต่อมา
บนเวิ้งฟ้าที่ใสปลอดโปร่ง ยานสมบัติลำหนึ่งท่องเหินแหวกอากาศ
“พี่หลินโปรดดู นั่นก็คือภูเขาเทพนพเลิศ บรรพชนแห่งเผ่าจักรพรรดิตระกูลอวี่ของข้าก็แจ้งมรรคกลายเป็นจักรพรรดิบนเขาลูกนี้ ตั้งแต่นั้นมาตระกูลอวี่ของข้าก็อาศัยอยู่ที่นี่กันมาทุกรุ่น”
บนยานสมบัติ อวี่อวิ๋นเหอชี้ไปยังจุดที่ห่างออกไปด้วยสีหน้าทอดถอนใจ
หลายปีมานี้เขาฝึกปราณอยู่ในสำนักยุทธ์เตาโอสถมาตลอด เพื่อหลบหนีการต่อสู้ภายในระหว่างลูกหลานในตระกูล นี่ยังเป็นการกลับมาที่ตระกูลครั้งแรกในรอบหลายปีของเขา
หลินสวินเงยหน้ามองออกไป
บนเส้นขอบฟ้าที่ห่างไกล ภูเขาใหญ่ทรงพลังลูกหนึ่งผุดขึ้นมาจากพื้นดิน ลักษณะเหมือนพญามังกรนอนขด ด้านบนมีแสงศักดิ์สิทธิ์พวยพุ่ง แสงมงคลอบอวล ยิ่งใหญ่สง่างาม
“เป็นสถานที่ที่ดีจริงๆ”
หลินสวินควบคุมยานสมบัติลอยล่องลงสู่พื้นดินหน้าภูเขาเทพนพเลิศ
“พี่หลิน ประเดี๋ยวเจอบิดาของข้าแล้ว ข้าจะรายงานจุดประสงค์ที่ท่านมาให้ทราบทันที เชื่อว่าหากผู้อาวุโสชิงหยางอยู่ในตระกูลจะต้องมาพบท่านแน่”
อวี่อวิ๋นเหอพูดพลางพาหลินสวินและหนานชิวเดินไปที่ประตูเขาด้วยกัน
“หยุดอยู่ตรงนั้น!”
หน้าประตูเขาที่โอ่อ่าและเก่าแก่ มีเงาร่างหนึ่งปรากฏออกมา นี่คือชายหนุ่มชุดขนนกคนหนึ่ง สีหน้าอวดดี
“เจ้าเก้า?”
อวี่อวิ๋นเหอมุ่นคิ้ว “อะไรกัน ข้าไม่กลับมาที่สำนักหลายปี จำพี่หกของเจ้าไม่ได้แล้วหรือ”
“หึๆ”
ชายหนุ่มชุดขนนกหัวเราะขึ้นมา “พี่หก ท่านกลับมาทุกคนย่อมยินดี แต่ท่านก็รู้ว่าการทดสอบประจำตระกูลใกล้จะเริ่มแล้ว ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ คนทั่วไปล้วนห้ามเข้ามาในตระกูลของพวกเรา”
อวี่อวิ๋นเหอเข้าใจได้ทันที ว่าน้องเก้ากำลังมุ่งเป้าไปที่หลินสวินที่อยู่ข้างกายเขา!
เขาสีหน้าอึมครึม “เจ้าเก้า หากในสายตาเจ้ายังมีพี่หกอย่างข้าอยู่ก็รีบหลีกทางให้ข้า มิฉะนั้นอย่าหาว่าพี่หกไม่ไว้หน้าเจ้า”
“โธ่ น้องหกเจ้านี่ทำตัวอันธพาลนัก ไม่กลับมาตั้งหลายปี พอกลับมาก็เริ่มทำตัวเกเร ไม่เห็นพวกเราพี่น้องอยู่ในสายตาแล้วหรือ”
เสียงหัวเราะเยียบเย็นพลันดังขึ้น ก็เห็นพวกอวี่อวิ๋นเจิง อวี่อวิ๋นหลงและยอดบุคคลรุ่นเยาว์ของเผ่าจักรพรรดิตระกูลอวี่มากมายหลั่งไหลออกมาจากประตูเขานั้น
กระบวนรบยิ่งใหญ่นัก!
อวี่อวิ๋นเหอใจหล่นวูบ ตัวเองเพิ่งมาถึงก็มีคนมากขนาดนี้โผล่ออกมาทันที เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายเตรียมการไว้ล่วงหน้า!
“พี่สาม ทั้งหมดนี้เป็นความคิดของท่านหรือ”
อวี่อวิ๋นเหอกัดฟันกรอด โมโหถึงที่สุดแล้ว
“น้องหก น้องเก้าพูดไม่ผิด เจ้ากลับมาพวกเราล้วนยินดีต้อนรับ แต่คนที่อยู่ข้างกายเจ้า ตระกูลอวี่ของพวกเราไม่ต้อนรับ”
อวี่อวิ๋นหลงที่เป็นพี่รองกล่าวเย็นชา
อวี่อวิ๋นเหอเพลิงโทสะพลุ่งพล่าน กล่าวเน้นทีละคำ “ข้าจะไปพบท่านพ่อ นำเรื่องนี้ไปรายงาน หากท่านพ่อยังตัดสินใจเหมือนกัน เช่นนั้นข้าย่อมปราศจากคำพูด แต่หากพวกเจ้าเป็นคนตัดสินใจโดยพลการ ข้าอวี่อวิ๋นเหอไม่มีทางเลิกราแค่นี้แน่!”
ในที่นั้นพลันเงียบสงัด
บิดาของอวี่อวิ๋นเหอก็คือผู้นำตระกูลคนปัจจุบันของตระกูลอวี่ หากเรื่องนี้ถูกอวี่อวิ๋นเหอนำไปรายงาน ผลที่ตามมาคงพูดได้ยากแล้ว
“น้องหก เจ้าช่างเลอะเลือนจริงๆ!”
อวี่อวิ๋นเจิงพลันตวาดลั่น กล่าวเสียงกร้าว “เจ้าไม่รู้หรือว่าคนแซ่หลินที่อยู่ข้างกายเจ้านั้น หลายวันก่อนได้ฆ่าผู้อาวุโสชั้นสูงสองคนของสำนักปราณศิลาเมฆไปอย่างโหดเหี้ยม ตอนนี้เขาถูกสำนักปราณศิลาเมฆประกาศจับ พวกป่าเถื่อนเช่นนี้ทุกคนล้วนฆ่าเขาให้ตายได้ เจ้ายังคิดพาเขากลับมาที่ตระกูล ไม่อาจเข้าใจได้จริงๆ!”
คำพูดพวกนี้ของเขากล่าวด้วยเสียงมีพลังกึกก้อง
แต่ไม่พูดถึงเรื่องนี้ยังดี พอพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา อวี่อวิ๋นเหอก็ดวงตาแดงไปหมด โกรธจนผมตั้งกล่าว
“พี่สาม ท่านผายลม! เรื่องนี้เป็นท่านร่วมมือกับคนชั้นต่ำหลันไฉ่อีนั่น ต้องการกำจัดข้าที่นอกเมืองศิลาเมฆ ดังนั้นจึงเชิญเจ้าเฒ่าสองคนของสำนักปราณศิลาเมฆมาลงมือ หากไม่ได้พี่หลินที่ยึดมั่นคุณธรรมช่วยเหลือ ครั้งนี้ข้าคงไม่มีชีวิตกลับมาแล้ว!”
ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นแตกตื่น ทายาทตระกูลอวี่ทั้งหมดสีหน้าปรวนแปร ก่อนหน้านี้อวี่อวิ๋นเจิงไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้มาก่อน นี่ทำให้พวกเขาผิดคาดเป็นอย่างยิ่ง
ต้องรู้ว่าตระกูลอวี่ยอมรับเรื่องการต่อสู้กันภายในตระกูลได้ แต่กลับไม่มีทางยอมให้เรื่องฆ่าฟันกันเองเกิดขึ้นเด็ดขาด
หากสิ่งที่อวี่อวิ๋นเหอกล่าวมาเป็นความจริง เช่นนั้นการกระทำนี้ของอวี่อวิ๋นเจิงก็เท่ากับล้ำเส้นสิ่งที่คนในตระกูลยอมรับได้แล้ว!
อวี่อวิ๋นเจิงตกตะลึง คิดไม่ถึงว่าคนโง่อย่างอวี่อวิ๋นเหอจะแว้งกัดกลับมาในเวลานี้ เขาโกรธจนลอบกัดฟันกรอดทันที
“บังอาจ! น้องหกเจ้าอย่ามาใส่ร้ายป้ายสี!”
อวี่อวิ๋นเจิงคำราม “คนที่ผู้อาวุโสสองคนของสำนักปราณศิลาเมฆอยากจัดการนั้น คือเจ้าหนุ่มแซ่หลินนั่นที่อยู่ข้างกายเจ้า ไม่เกี่ยวข้องกับเจ้าสักนิด”
อวี่อวิ๋นเหอยิ้มหยันกล่าว “งั้นรึ เรื่องของสำนักปราณศิลาเมฆ ทำไมท่านถึงรู้ดีเช่นนี้เล่า ยิ่งไปกว่านั้นตอนที่ข้าออกมาจากเมืองศิลาเมฆ ท่านก็เห็นกับตาว่าข้ากับพี่หลินเดินทางมาด้วยกัน แต่ระหว่างทางกลับเจอเจ้าเฒ่าสองคนนั่นดักสังหาร ท่านกลับพูดว่าไม่ได้มุ่งเป้ามาที่ข้า ใครจะเชื่อ”
อวี่อวิ๋นเจิงอ้ำอึ้งทันที โกรธจนควันออกหู
คนอื่นก็ประหลาดใจไปพักหนึ่ง นี่ยังใช่เจ้าสวะที่ไร้ความสามารถ ไม่มีปณิธานยิ่งใหญ่คนนั้นแน่หรือ
ต้องรู้ว่าอวี่อวิ๋นเหอในอดีต ยามเจอพวกเขาจะเหมือนหนูเจอแมว ไม่กล้าเถียงกลับพวกเขาสักนิด
แต่ตอนนี้ไม่เพียงแต่ไม่ขี้ขลาด เขายังเผยท่าทีแข็งกร้าวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน นี่อยู่เหนือความคาดหมายของทุกคนอย่างสิ้นเชิง
ภาพต่างๆ นี้หลินสวินล้วนเห็นอยู่ในสายตา แต่ไม่ได้รู้สึกผิดคาดใดๆ
ทุกอย่างนี้ดูเหมือนมุ่งเป้ามาที่ตน แต่ความจริงแล้วเห็นได้ชัดว่าทายาทของตระกูลอวี่พวกนี้ฉวยโอกาสนี้มาโจมตีอวี่อวิ๋นเหอ!
‘ดูท่าว่าการปรากฏตัวของข้า จะทำให้ลูกหลานตระกูลอวี่พวกนี้สัมผัสได้ถึงภัยคุกคาม…’
หลินสวินคล้ายขบคิด
เขาไม่จำเป็นต้องเดาก็รู้ว่าเรื่องการสังหารพวกเหวยชงและไฉเฟิง ต้องเป็นหลันไฉ่อีส่งข่าวมาบอกอวี่อวิ๋นเจิงแน่
อวี่อวิ๋นเจิงที่สังเกตเห็นว่าไม่เข้าทีจึงตัดสินใจอย่างเด็ดขาดทันควัน ร่วมมือกับทุกคน วางแผนทำการเคลื่อนไหวเช่นนี้
‘หนานชิว ประเดี๋ยวเจ้ามาอยู่ข้างกายข้า’ หลินสวินสื่อจิตกล่าว
หนานชิวใจหดเกร็ง พยักหน้าเงียบๆ
“เจ้าหก ดูท่าว่าเจ้าคงถูกเจ้าคนแซ่หลินนั่นล่อลวง แม้แต่ความจริงยังแยกไม่ออก ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าผู้เป็นพี่จะช่วยเจ้ากำจัดคนแซ่หลินนี่ก่อน แล้วค่อยมาคุยกับเจ้าว่าอะไรคือความจริง!”
อวี่อวิ๋นเจิงสีหน้าเคร่งขรึม เสียงอำมหิต
“ท่านยังจะลงมือหรือ”
อวี่อวิ๋นเหอโกรธยิ่งยวดแล้ว
นี่ยังต้องถามอีกหรือ
หลินสวินลอบถอนใจ สุดท้ายอวี่อวิ๋นเหอก็ยังอ่อนประสบการณ์ อีกฝ่ายวางกระบวนรบยิ่งใหญ่เช่นนี้ ไหนเลยจะยอมปล่อยไปง่ายๆ
“ไร้เดียงสา!”
อวี่อวิ๋นเจิงยิ้มหยันสะบัดมือ
ฮูม…
เงาร่างกลุ่มหนึ่งพุ่งออกมา มีทั้งชายและหญิง ล้วนกลิ่นอายชวนตะลึง พลังอำนาจแกร่งกล้า ภายในนั้นถึงกับมีคนระดับราชันอริยะไม่น้อย
อวี่อวิ๋นเหออึ้งงันแล้ว ในหมู่เงาร่างพวกนี้มีไม่น้อยที่เป็นผู้อาวุโสของเขา รับหน้าที่สำคัญในตระกูลต่างกันไป!
“ที่แท้พวกเจ้าก็เตรียมการทุกอย่างไว้แล้ว…”
อวี่อวิ๋นเหอรู้สึกเพียงอกจะแตกตาย คนในตระกูลพวกนี้เห็นตนเป็นอะไรไปแล้ว แพะที่จะเชือดฆ่าอย่างไรก็ได้หรือ
“เจ้าคนแซ่หลิน เจ้าจะมัดมือจับตนเอง หรือจะให้พวกเราลงมือ”
แววตาเยียบเย็นของอวี่อวิ๋นเจิงมองไปที่หลินสวิน
คนอื่นก็สีหน้าไม่เป็นมิตร
หลินสวินสีหน้าราบเรียบ นัยน์ตาดำล้ำลึก กล่าวว่า “ดูท่าว่าต่อให้ข้าจะจากไป พวกเจ้าก็ไม่มีทางยอมแน่”
อวี่อวิ๋นเจิงกล่าวอย่างเฉยชา “เจ้าฆ่าผู้อาวุโสสองคนของไฉ่อีไป ทั้งยังล่อลวงน้องหกคนนั้นของข้าด้วย เห็นได้ชัดว่าซ่อนแผนชั่วร้าย พวกข้ามีหรือจะยอมปล่อยให้คนชั่วอย่างเจ้าจากไป”
“จะพูดมากกับเขาทำไม รีบฆ่าทิ้งซะ”
อวี่อวิ๋นหลงที่เป็นพี่รองกล่าวอย่างหงุดหงิด
เวลานี้หลินสวินเงยหน้าขึ้นมองภูเขาเทพนพเลิศที่สูงตระหง่านงดงามลูกนั้นแล้วพลันยิ้ม เพียงแต่รอยยิ้มนั้นกลับไม่มีความรู้สึกแม้แต่น้อย
นี่คือเผ่าจักรพรรดิตระกูลอวี่ เป็นหน้าประตูใหญ่ของตระกูล แต่เหล่าบุคคลสำคัญในตระกูลพวกนั้น ยามนี้กลับไม่มีใครปรากฏตัว
นี่หมายความว่าพวกเขานิ่งเฉยและผ่อนปรนต่อเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นตรงหน้าหรือไม่
“ถ้าพวกเจ้าจะลงมือก็ข้ามศพข้าไปก่อน!”
เวลานี้เองอวี่อวิ๋นเหอที่โทสะจู่โจมจิตใจส่งเสียงคำราม เข้ามาขวางอยู่ตรงหน้าหลินสวินโดยไม่ลังเล
………………………