Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1810 พลังต้องห้ามอันพิสดาร

“พี่หลินเขา…”

พวกอวี่อวิ๋นเหอนั่งไม่ติดที่โดยสมบูรณ์แล้ว ตื่นเต้นจนตัวแข็งทื่อ

เคราะห์ราชันอริยะชั้นที่สี่หรือ

เรื่องนี้หากแพร่ออกไป จะต้องทำให้โลกต้าอวี่หรือกระทั่งทั้งทางเดินโบราณฟ้าดาราตกตะลึง!

เวลาผันผ่าน

เตาหลอมที่แปลงมาจากอสนีเคราะห์นั้นสาดแสง อึงอลกึกก้อง ไม่มีทางรู้สถานการณ์ของหลินสวินได้เลย

แต่ใครก็รู้ดีว่าอสนีเคราะห์ชั้นที่สี่นี้ต้องน่ากลัวเกินจินตนาการแน่

ตูม!

หลังจากผ่านไปหนึ่งเค่อเต็มๆ เตาเทพที่แปลงสภาพจากอสนีเคราะห์สีชาดกลางฟ้าสูงนั้นพลันระเบิดกระจุยเป็นเสี่ยงๆ สายฟ้าอันโชติช่วงกรีดทะลุเวิ้งฟ้า ฉูดฉาดแสบตา

เงาร่างของหลินสวินตกจากห้วงอากาศลงไปหลายร้อยจั้งในทันที ทั้งร่างแตกแยก บาดแผลที่เดิมสมานกันแล้วฉีกขาดขึ้นอีกครั้ง

“พี่หลิน!”

อวี่อวิ๋นเหอตกตะลึงจนร้องเสียงหลงออกมา

“ร้องอะไร ยังไม่ตาย”

ท่ามกลางเสียงหายใจหอบกระชั้น เสียงหลินสวินลอยมา

ก็เห็นว่าเงาร่างของเขากระดุกกระดิก ประสานกันอย่างรวดเร็วกลางอากาศ เงาร่างยับเยินเปลี่ยนเป็นตรงแน่วดั่งกระบี่ โอหังดังเดิม

อวี่อวิ๋นเหออึ้งไป ตื่นเต้นจนกำหมัดแน่น อสนีเคราะห์ชั้นที่สี่นี้ ข้ามได้แล้ว!

“เป็นเทพเซียนจริงๆ…”

อวี่อวิ๋นเฟิงกับอวี่อวิ๋นหลงต่างตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก ความสง่างามที่ผงาดผยอง แข็งกร้าวไม่อ่อนข้อเช่นนั้นของหลินสวิน ทำให้พวกเขาต่างเลือดร้อนสูบฉีด

แต่สำหรับผู้ฝึกปราณที่กระจายตัวอยู่ตามที่ต่างๆ ของโลกต้าอวี่แล้ว กลับเหมือนได้เห็นปาฏิหาริย์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นในอดีตกาลนานมาครั้งหนึ่ง

สะท้านฟ้าสะเทือนดิน เจิดจรัสทั้งในอดีตและปัจจุบัน ก็เป็นเช่นนี้!

จวบจนตอนนี้หลินสวินก็ยังมีความหวาดผวาในใจหลงเหลืออยู่ เพราะภายในเตาเทพที่แปลงมาจากอสนีเคราะห์นั้น เขาก็ผ่านความทรมานและการถล่มโจมตีมา รู้สึกว่าตนเหมือนลูกกลอนโอสถกำลังผ่านการหลอมอย่างไร้ที่สิ้นสุด ความรู้สึกเช่นนั้นอย่างกับตกนรก

“ในที่สุดก็จบลงแล้ว…”

หลินสวินพ่นลมหายใจยาว

เขารู้สึกได้อย่างแจ่มชัดว่าร่างกาย จิตวิญญาณ สภาวะจิต ไปจนถึงมรรควิถีล้วนทำลายโซ่ตรวนต่างๆ เกิดความเปลี่ยนแปลงอันอัศจรรย์น่าทึ่ง

เพียงแต่ ก็ในตอนที่เขากำลังจะสงบใจสัมผัสนี้เอง

ตูม!

ในส่วนลึกของเมฆเคราะห์เหนือหัวสามพันลี้นั้นดันมีเสียงสะเทือนรุนแรงดังมากะทันหัน หลินสวินพลันเงยหน้าขึ้น นัยน์ตาหดรัดอย่างอดไม่ได้

เพียงเห็นว่าส่วนลึกของเมฆอสนีถึงกับมีรูปจำลองสีทองร่างหนึ่งปรากฏขึ้น

นั่นเป็นเงามายาที่คล้ายมังกรก็ไม่ใช่ จะเหมือนงูก็ไม่เชิงตัวหนึ่ง มันใหญ่ประมาณพันจั้ง เท้าเหยียบทะเลสอสนีเคราะห์ สุริยันจันทราดาราล้อมรอบกาย ดวงตาทั้งสองคล้ายวังวนอสนีเคราะห์ มีความน่าเกรงขามสูงส่งโอหังเหนือสรรพชีวิต

เมื่อมันปรากฏตัว ทั้งแดนลับต้าอวี่ก็โกลาหล ต้นหญ้าตามภูเขาดังกรอบแกรบ ห้วงอากาศร้องครวญ ประหนึ่งเจตจำนงแห่งสวรรค์ปรากฏขึ้นในโลกมนุษย์!

พลานุภาพอันไม่เสื่อมสลาย สูงส่งและเปี่ยมพลังทำลายล้าง กดข่มให้ผู้ฝึกปราณเหล่านั้นอ่อนยวบลงไปกับพื้นทันควัน จิตวิญญาณแทบพังทลาย

แม้แต่ผู้ที่มีพลังปราณแกร่งกล้าบางคนยังขาสั่นระริก สีหน้าซีดขาว แทบประคองตัวเองไม่อยู่

หลังจากอสนีเคราะห์ชั้นที่สี่ เคราะห์อันหายากไม่เคยมีมาก่อนเช่นนี้ยังไม่สิ้นสุดลงเสียอย่างนั้น!

“นี่… นี่มันเคราะห์อะไรกัน”

พวกอวี่อวิ๋นเหออยู่ใกล้หลินสวินที่สุด ถ้าไม่ได้ตำหนักเทพจักรพรรดิอวี่คุ้มครองไว้ คงรับอานุภาพสวรรค์น่าหวาดหวั่นเช่นนั้นไม่ได้ไปนานแล้ว

ต่อให้เป็นเช่นนี้ พวกเขาเพียงรู้สึกว่าความหวาดหวั่นจากส่วนลึกที่สุดของจิตวิญญาณผุดออกมา นั่นเป็นความยำเกรงต่อพลังอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ไม่อาจสลายและกดข่มได้เลย!

ในขณะเดียวกันหลินสวินก็สีหน้าครัดเคร่งอย่างไม่เคยมีมาก่อน เขารู้สึกถึงกลิ่นอายคุ้นเคยอันคลุมเครือสายหนึ่ง

นั่นคือคลื่นพลังที่มีความคล้ายคลึงกับ ‘สามด่านเคราะห์ต้องห้าม’ ที่ปกคลุมอยู่ในดินแดนรกร้างโบราณ เป็นพลังที่เคยสังหารอริยสงฆ์ตู้จี้และนางพญาหงส์ทมิฬ!

‘แม้สิ่งที่ข้าเสาะแสวงเป็นมรรคที่ไม่เคยมีมาก่อนทั้งทั่วหล้าและอดีตกาล… แต่ก็ไม่น่าจะถึงกับเกิดมหาเคราะห์น่ากลัวพรรค์นี้…’

‘พิบัติเคราะห์เช่นนี้พุ่งเป้ามาที่ข้าคนเดียวเห็นๆ เลยนี่!’

ดวงตาดำหลินสวินลุ่มลึกน่ากลัว

ตอนอสนีเคราะห์ชั้นที่สี่ปรากฏขึ้น ก็เป็นเหตุไม่คาดฝันที่ไม่อาจกะเกณฑ์ได้ แต่เมื่อมีอสนีเคราะห์ชั้นที่ห้าปรากฏขึ้นอีก คราวนี้ไม่ใช่ไม่คาดฝันแล้ว แต่เป็นเรื่องผิดปกติ!

โครม!

ฟ้าดินอึงอล เวิ้งฟ้าคล้ายจะถล่มลงมา เงามายาที่จะมังกรก็ไม่ใช่จะงูก็ไม่เชิงตัวนั้นก็เหมือนตื่นขึ้นจากความเงียบงัน พลานุภาพที่ปะทุออกมายิ่งน่าหวาดหวั่นกว่าเดิม

อสนีเคราะห์เต็มฟ้า ล้วนแปลงสภาพเป็นส่วนหนึ่งของร่างมันทั้งสิ้น!

ขณะนี้ตามที่ต่างๆ ของแดนลับต้าอวี่ ทุกคนรู้สึกแสบตา จิตวิญญาณว่างเปล่า มองไม่เห็นอะไรอีกแล้ว ราวกับว่าสัมผัสทั้งหกถูกกำจัดทิ้งไป

พวกอวี่อวิ๋นเหอก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน

อสนีเคราะห์เช่นนี้ไม่อาจเอาสามัญสำนึกมาประเมินได้แล้ว พิสดารจนเรียกได้ว่าอยู่ในขั้นต้องห้าม

ท่ามกลางฟ้าดินมีเพียงหลินสวินคนเดียวที่ยืนอยู่กลางอากาศ สภาวะจิต จิตวิญญาณ กระทั่งสัญชาตญาณในร่างต่างรู้สึกได้ถึงอันตรายถึงชีวิตที่ไม่อาจข่มลงไปได้

เขาสีหน้าอึมครึมเป็นอย่างยิ่ง

โครม!

เงามายาอสนีเคราะห์นั้นเคลื่อนไหวแล้ว เงื้อฝ่ามือยักษ์มิดฟ้าข้างหนึ่งขึ้นตบลงมา

ทันใดนั้นฟ้าดินถูกฉีกทึ้ง ห้วงอากาศแตกกระจุย เกิดพายุโหมคลั่ง ฝ่ามือยักษ์ยังมาไม่ถึง พลังผนึกที่ปกคลุมอยู่หน้าตำหนักเทพจักรพรรดิอวี่ก็สั่นสะเทือนประหนึ่งไม่อาจรับไหวแล้ว

เทือกเขาเก้ากระถางอันกว้างใหญ่ก็คล้ายเริ่มถล่มตามไปด้วย…

หลินสวินย่อมไม่อาจนั่งรอความตายได้

“สู้!”

เงาร่างเขากระโจนขึ้น หุบเหวลึกปรากฏที่เบื้องหลัง พลังในตัวเขาถูกสำแดงถึงที่สุด แม้แต่พลังของชีพจรปราณวิญญาณต้นกำเนิดยังถูกกระตุ้น

ในสถานการณ์เช่นนี้ไม่มีทางถอยกลับ จะหนีก็หนีไม่ได้!

ปึง!

ชั่วพริบตาหลินสวินก็ประหนึ่งมดแดงคิดเขย่าต้นไม้ใหญ่ ถูกตบกลางอากาศทันควันจนร่างกายกระแทกพื้น เลือดเนื้อเอ็นกระดูกต่างแตกออกจากกันโดยสมบูรณ์

พลังของเงามายาอสนีเคราะห์นั้น แข็งแกร่งเกินกว่าที่หลินสวินคาดคิดไว้โดยสิ้นเชิง!

“เข้ามาอีก”

หลินสวินกระโจนกลับขึ้นไป

แสงมรรคทั้งร่างเขาเปล่งประกายดุจดวงอาทิตย์ที่พุ่งขึ้นฟ้าดวงหนึ่ง

ปึง!

และก็เป็นอีกครั้งที่หลินสวินถูกซัดตกลงมาจากฟ้า ร่างกายแตกหัก เลือดสดๆ หลั่งริน ดูน่าอนาถถึงที่สุด

ฝึกปราณถึงตอนนี้หลินสวินก็เคยข้ามด่านเคราะห์หลายครั้ง แต่ยังเป็นครั้งแรกที่พบกับพิบัติเคราะห์ที่แข็งแกร่งเกินทำลายได้ น่าหวาดหวั่นหาใดเทียบเช่นนี้

หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น เกรงว่าคงรู้สึกสิ้นหวัง หมดอาลัยตายอยากไปนานแล้ว

แต่หลินสวินกัดฟันกระโจนขึ้นไปอีกครั้ง

มาถึงระดับฝึกปราณอย่างเขาแล้ว ต่อให้เหลือเพียงเศษวิญญาณเสี้ยวเดียวหรือเลือดพิสุทธิ์หยดเดียว ก็มีโอกาสฟื้นกลับมาได้

ยิ่งเขาครอบครองกฎเกณฑ์ไร้มรณะด้วยยิ่งไม่ต้องพูดถึง!

“ต่อ!”

หลินสวินเลือดนักสู้เดือดพล่าน เลือดลมทั้งกายถาโถมพุ่งสูง

วิชามรรคนานาชนิดสำแดงออกมาจากมือหลินสวิน สู้ไม่ถอยแม้พ่ายแพ้ต่อเนื่อง ยิ่งล้มเหลวยิ่งกล้าหาญ!

จนถึงท้ายที่สุด กายหยาบของเขาแยกเป็นเสี่ยงๆ เหลือเพียงจิตวิญญาณดั้งเดิมดุจกงล้อ รักษาเจตจำนงโอหังอันไม่ยอมถอยและมั่นคงหนักแน่น ใช้พลังทั้งหมดเข้าต้านทาน

โครม!

เงามายาอสนีเคราะห์นั้นยื่นมือยักษ์ออกมาตบอีกครั้ง นิ้วมือเต็มไปด้วยพลังพิบัติเคราะห์ดั่งพลังต้องห้าม กลิ่นอายทำลายล้างชวนตะลึง

หลินสวินสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง เรียกเจดีย์มหามรรคไร้สิ้นสุดออกมา ในที่สุดก็รับการโจมตีนี้ไว้ได้ แต่เจดีย์สมบัติกลับถูกซัดกระเด็นออกไปอย่างจัง

ด้านเงามายาอสนีเคราะห์พลันอ้าปาก พ่นลำแสงอสนีเคราะห์สายหนึ่งออกมา ทิวทัศน์สุริยันจันทราธารดาราฉายส่อง เป็นภาพน่าตกตะลึง

หลินสวินไม่สนใจสิ่งอื่น เรียกสมบัติอย่างขวดมหามรรคไร้ขอบเขต ดาบหัก คันธนูวิญญาณไร้แก่นสารออกมาอย่างต่อเนื่อง

แต่ด้วยการถล่มโจมตีของลำแสงอสนีเคราะห์นั้น ล้วนกระเจิดกระเจิงไปทุกชิ้น!

พอเห็นว่าการโจมตีที่เรียกได้ว่าทำลายโลกได้กำลังจะมาเยือน หลินสวินก็กัดฟันในทันใด เรียกเอา ‘สามพันเคลื่อนคล้อย’ ออกมา

แทบจะในขณะเดียวกัน ความรู้สึกน่าพิศวงก็ผุดขึ้นในจิตใจ พลังมรดกที่เดิมแปลงเป็นภาพเสี้ยวจันทร์สามดาราประทับอยู่ภายในร่างหลินสวินเกิดความรู้สึกร้อนผ่าวขึ้นฉับพลัน

ขณะนี้หลินสวินรู้สึกเหมือนถูกทวยเทพจับมือขวาของตนไว้ กระชับสามพันเคลื่อนคล้อยกวาดเบาๆ ไปในห้วงอากาศ

ตูม!

ฟ้าดินพลิกคว่ำ ลำแสงอสนีเคราะห์อันโชติช่วงนั้นเหมือนถูกอานุภาพที่ไม่อาจต้านทานได้ชะล้าง พากันมลายหายไปกลางอากาศอย่างรวดเร็วจนมองเห็นได้

เหนือเวิ้งฟ้าเงามายาอสนีเคราะห์ยิ่งเหมือนถูกโจมตีอย่างหนัง ร่างกายพลันพลิกคว่ำรุนแรง กลิ่นอายต้องห้ามอันพิสดารน่าหวาดหวั่นนั้นยิ่งอ่อนแอลงไป…

ความรู้สึกนั้น ก็เหมือนยอดฝีมือไร้เทียมทานคนหนึ่งสูญเสียพลังทั้งร่างไปกะทันหัน

‘ที่แท้นี่ก็ไม่ใช่เคราะห์ทะลวงระดับของข้า แต่เป็นพลังต้องห้ามอันพิสดารอย่างหนึ่ง…’

‘ถ้าไม่ได้สามพันเคลื่อนคล้อยที่ท่านอาจารย์ทิ้งไว้ให้ เกรงว่าต่อให้ข้ามีพลังแข็งแกร่งกว่านี้ก็ไม่อาจต้านพลังต้องห้ามเช่นนี้ไว้ได้แน่”

หลินสวินมองดูแส้หางม้ามหามรรคที่อยู่ในมือนั้น ในใจเกิดความกระจ่างแจ้ง

เมื่อผู้ฝึกปราณข้ามด่านเคราะห์ มักจะมีพลังชีวิตสายหนึ่งอยู่ แต่พิบัติเคราะห์ชั้นที่ห้านี้ไม่ได้มีพลังชีวิตใดๆ เห็นชัดว่าต้องการจะกำจัดตน!

‘พลังต้องห้ามนี่มาจากไหนกันแน่’

หลินสวินคิดถึงตรงนี้ สีหน้าก็ปนเปไปด้วยความรู้สึกต่างๆ คราวนี้ถ้าไม่มีสามพันเคลื่อนคล้อยอยู่ เกรงว่าเขาคงหนีการสังหารคราวนี้ไม่พ้น

เหนือเวิ้งฟ้าเมฆเคราะห์ปั่นป่วน เงามายาอสนีเคราะห์นั้นในที่สุดก็กระจายไป แปรสภาพเป็นทะเลสายฟ้าผุดผ่องพร่างพราวถั่งโถมลงมา และถูกหลินสวินดูดซับ บรรจุไว้ในร่างจนหมดสิ้น

สามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่าว่ากายเนื้อที่แหลกเละของเขาฟื้นกลับมาอย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ ในที่สุดทั้งร่างของเขาก็อาบอยู่กลางอสนีเคราะห์ แปรสภาพใหม่ทั้งหมดหลังจากบรรลุระดับ

ชั่วขณะที่ร่างหลินสวินรวมตัวกันโดยสมบูรณ์นั้น กลิ่นอายของเขาก็เพิ่มพูนทะยานสูงขึ้นในชั่วพริบตา ถึงขั้นทำให้ผู้คนในโลกไม่อาจจินตนาการได้ ไกลลิบดั่งท้องนภา ลอยสูงดั่งสุริยันจันทรา ไม่ดับสูญไม่เสื่อมสลาย!

ก็ในตอนนี้เอง เมฆเคราะห์ที่ปกคลุมเวิ้งฟ้าในรัศมีสามพันลี้ก็มลายหายไปในที่สุด ท้องฟ้ากลับมาปลอดโปร่งอีกครั้ง

พวกอวี่อวิ๋นเหอที่ถูกขจัดสัมผัสทั้งหก ร่างกายจิตใจตกอยู่ในความว่างเปล่าเพิ่งได้สติกลับมา ก็เห็นภาพอันน่าหวั่นไหวเข้าภาพหนึ่ง

หลินสวินยืนอยู่กลางฟ้าสูง แผ่แสงมรรคพร่างพราวออกมาราวกับเป็นจุดศูนย์กลางเพียงหนึ่งเดียวท่ามกลางฟ้าดิน ประหนึ่งนายเหนือหัวมาเยือนโลก

ไร้ศัตรูปานนี้ หยิ่งผยองปานนี้!

“ในที่สุดก็ข้ามผ่านแล้วหรือ…”

พวกอวี่อวิ๋นเหออึ้งไป นึกถึงภาพน่ากลัวก่อนหน้านี้แต่ละภาพ อย่างกับอยู่คนละโลก

ฟิ้ว!

หลินสวินลงมาอย่างแผ่วพลิ้ว เข้าสู่ตำหนักจักรพรรดิอวี่ “ข้าต้องผนึกที่นี่ ข้อแรกเพื่อหลอมมรรควิถีให้เสถียร ข้อสองเพื่อควบรวมเขตแดนมรรค ในช่วงนี้ทำได้เพียงรบกวนให้ทั้งสามคนอยู่ที่นี่ก่อน”

พวกอวี่อวิ๋นเหอพยักหน้าไปตามจิตใต้สำนึก

หลินสวินสะบัดแขนเสื้อครั้งหนึ่ง ประตูใหญ่ของตำหนักก็ปิดลงดังลั่น ตามมาด้วยกระบวนค่ายกลลายมรรคนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น ปกคลุมทั้งตำหนัก

ส่วนเขากลับเข้าไปใกล้กระถางใหญ่เก้าใบที่ลอยสูงอยู่บนห้วงอากาศเหนือตำหนัก

พิบัติเคราะห์ก่อนหน้านี้น่ากลัวปานไหน ภูผาธาราที่อยู่ใกล้เคียงต่างระเบิดกระจุยพังทลาย แต่ตำหนักเทพจักรพรรดิอวี่กลับอยู่รอดปลอดภัย นี่ก็เป็นเพราะพลังผนึกที่ปกคลุมตำหนักนี้มหัศจรรย์ยิ่งนัก

และในตอนนี้ หลินสวินเพียงแค่อาศัยผนึกนี้ปิดตำหนักให้มิดชิดก็เท่านั้น

แทบจะในขณะเดียวกัน นอกแดนลับต้าอวี่ เฟิงหรูเสวี่ยที่เสื้อผ้าเครื่องหัวขาวโพลน เงาร่างตรงแน่วดั่งกระบี่เทพไร้เทียมทานเล่มหนึ่งก็มาถึงด้วยการเคลื่อนย้ายผ่านห้วงอากาศ

เขาสีหน้าเฉยเมย เหลือบตาขึ้นมองโดยรอบ สุดท้ายก็ทอดสายตามองไปที่ทางเข้าแดนลับต้าอวี่

ขวับ!

ครู่ต่อมาเงาร่างของเฟิงหรูเสวี่ยก็เคลื่อนเข้าไปในนั้นแล้วหายลับไป

Battling Records of the Chosen One

Battling Records of the Chosen One

BRCO, Tian Jiao Zhan Ji, 天骄战纪
Score 8
Status: Ongoing Type: Author: , Released: 2016 Native Language: Chinese
ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์ ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้ แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน… In the vast and boundless continent Cangtu, there were ancient sects governing the Ten Old Domains, unworldly immortal clans beyond the Blue Sky, and primordial demon gods dominating the dark abyss that together created a great number of brilliant stories over the long course of the history. In this very world, there was a boy, named Lin Xun, who embarked on his journey to the pinnacle of strength alone through cultivation and spiritual tattoo inscribing. Escaping alone from the Mine Prison where he had been living since he was adopted by Master Lu, Lin Xun knew nothing about his identity but the little information his adopter, Master Lu, had told him. With two ancient spiritual tools Master Lu gave to him before the destruction of the Mine Prison, Lin Xun started his journey to Ziyao Empire, where he is supposed to find out the truth of his lost Spiritual Vessel and the person who slaughtered his family, leaving him orphaned. Will he be able to unlock the mysteries of the two magic treasures, unveil the secrets of his identity and create a legend of his own?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset