หลินสวินเก็บสายตา กล่าวว่า “ผู้อาวุโส ไปเถอะ”
อวี่ปี้คงพยักหน้า
ระหว่างทางเขายื่นม้วนหยกชิ้นหนึ่งให้หลินสวิน “สหายน้อย นี่คือตัวตนใหม่ที่เตรียมไว้ให้เจ้า”
หลินสวินรับมาอ่าน ด้านบนเขียนว่าอวี่เสวียน ทายาทรุ่นที่สิบหกของตระกูลอวี่ ฝึกปราณมาแปดร้อยสิบเก้าปี ปราณระดับราชันอริยะขั้นต้น ฝึก ‘คัมภีร์เก้ากระถางสยบหล้า’ บุคลิกเคร่งขรึม พลังต่อสู้เป็นเลิศ…
ในม้วนหยกยังมีประทับเงาร่างของอวี่เสวียนสายหนึ่ง สวมชุดสีเขียว ผมดำปล่อยสยาย หน้าผากกว้าง เครื่องหน้าทั้งห้าเด่นชัด
เพียงยืนสบายๆ ก็ดุจดั่งหินผานิ่งขรึมก้อนหนึ่ง
‘สหายน้อย อวี่เสวียนเป็นคนตระกูลรองในตระกูลอวี่ ตามศักดิ์เป็นน้องชายร่วมตระกูลของข้า หลายปีก่อนเขาปิดด่านไปแล้ว ภายในร้อยปีจะไม่ออกด่านเด็ดขาด เจ้าใช้สถานะของอวี่เสวียนเคลื่อนไหว ใครก็ไม่อาจสงสัยไปถึงตัวเจ้าได้’
อวี่ปี้คงสื่อจิต
ในใจหลินสวินตื้นตัน เขารู้ดีว่านี่ย่อมเป็นการเตรียมการของอวี่ชิงหยางอย่างแน่นอน
หลินสวินสำแดงเคล็ดวิชามหาไร้รูปอย่างไร้สุ้มเสียง รูปร่างหน้าตาของตนก็พลันเปลี่ยนไป กลายเป็นรูปลักษณ์ของอวี่เสวียน
อวี่ปี้คงอึ้งไป ร้องอุทานอัศจรรย์ใจ จากสายตาของเขายังมองการปลอมตัวของหลินสวินไม่ออกสักนิด ระหว่างที่อึ้งงันยังเกือบเข้าใจไปว่าคนที่อยู่ตรงหน้าก็คืออวี่เสวียนน้องชายร่วมตระกูลตัวจริง
“สหายน้อย นี่คือมรดกคัมภีร์เก้ากระถางสยบหล้า เป็นสิ่งที่ผู้อาวุโสชิงหยางให้ข้านำมามอบให้เจ้าด้วยตัวเอง บอกว่ายามต่อสู้ในภายหน้า พยายามอย่าเปิดเผยมรดกของตัวเจ้าเอง”
อวี่ปี้คงกล่าว ยื่นกระถางสำริดใบเล็กขนาดเท่ากำปั้น ตัวเรือนโปร่งใสวาววับให้หลินสวินด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
หลินสวินสะเทือนอารมณ์
คัมภีร์เก้ากระถางสยบหล้า!
นี่เป็นถึงคัมภีร์มรรคของบรรพบุรุษเผ่าจักรพรรดิตระกูลอวี่ เป็นคัมภีร์สมบัติมรรคจักรพรรดิแท้จริงชิ้นหนึ่ง มรดกระดับนี้เป็นมรดกลับเฉพาะไม่ถ่ายทอดให้ใครง่ายๆ ไม่ใช่ของมีค่าใดๆ จะสามารถเทียบชั้นได้เลยสักนิด
แต่ยามนี้ เพียงแค่ช่วยตนปิดบังตัวตนให้มิดชิดยิ่งขึ้น อวี่ชิงหยางถึงกับมอบคัมภีร์สมบัติมรรคจักรพรรดิระดับนี้ให้ตน นี่จะไม่ให้หลินสวินตกใจได้อย่างไร
มีคัมภีร์เก้ากระถางสยบหล้า ซ้ำยังมีสถานะของอวี่เสวียน ยามเคลื่อนไหวในภายหน้าก็เก็บตัวอีกหน่อย บนโลกใบนี้เกรงว่าคงมีน้อยคนนักที่จะจำฐานะของเขาได้!
ถึงอย่างไรใครๆ ต่างรู้ดี ว่ามรดกคัมภีร์เก้ากระถางสยบหล้าเป็นสิ่งที่ไม่ถ่ายทอดสู่ภายนอกเป็นอันขาด
หลินสวินสูดหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่ง กล่าวอย่างจริงจัง “ฝากขอบคุณผู้อาวุโสชิงหยางแทนข้าด้วย บุญคุณยิ่งใหญ่คราวนี้ ข้าคนแซ่หลินย่อมมิอาจลืมเลือน”
อวี่ปี้คงกล่าวเจือรอยยิ้ม “สหายน้อย นับแต่บัดนี้เป็นต้นไปเจ้าไม่อาจเรียกแทนตัวเองว่า ‘ข้าคนแซ่หลิน’ ได้อีกต่อไปแล้ว”
เวิ้งฟ้าไกลๆ เสียงกึกก้องดังกระหึ่ม ยานลมกรดขนาดมหึมาที่เสมือนแผ่นดินลอยฟ้าลำนั้นค่อยๆ แขวนลอยอยู่กลางห้วงอากาศ แสงมรรคไหลเวียน
‘สหายน้อย สถานะที่ข้าคนแซ่อวี่จัดเตรียมไว้ให้เจ้า คือผู้คุ้มกันคนหนึ่งที่ได้รับเชิญจากหอเสียงสวรรค์ เป็นตัวแทนของตระกูลอวี่ ตำแหน่งหาได้ต่ำต้อย เจ้าสามารถกระทำการตามใจได้เลย’
อวี่ปี้คงสื่อจิตย้ำเตือน
ขณะพูด บนยานลมกรดลำนั้น กลางห้วงอากาศปรากฏสตรีแต่งงานแล้วที่รูปโฉมงามล้ำสวมชุดกระโปรงสีม่วงคนหนึ่ง
ผิวพรรณของนางดุจมันแพะ ดวงตากลมโตจมูกทรงสวย รูปร่างเพรียวยาวอรชร อิริยาบถงดงามนุ่มนวล บุคลิกโดดเด่น
“พี่ปี้คง พวกเราพบกันอีกแล้ว”
ฮูหยินชุดกระโปรงม่วงกล่าวทักทายยิ้มแย้ม เห็นได้ชัดว่าสนิทสนมกับอวี่ปี้คงมาก
อวี่ปี้คงหัวเราะ ก้าวขึ้นไปข้างหน้าทักทายปราศรัยกันครู่หนึ่ง คราวนี้จึงชี้ไปทางหลินสวิน “นี่คืออวี่เสวียนน้องชายร่วมตระกูลของข้า”
“คารวะสหายยุทธ์”
จากการแนะนำตัว หลินสวินได้รู้ว่าฮูหยินกระโปรงม่วงคนนี้เป็นผู้อาวุโสคนหนึ่งในหอเสียงสวรรค์ นามว่าจวงอวิ้นจื้อ มกุฎราชันอริยะที่แท้จริงคนหนึ่ง!
ฮูหยินชุดกระโปรงม่วงจวงอวิ้นจื้อค้อมศีรษะน้อยๆ ใบหน้าละมุนเจือรอยยิ้ม “ล้วนไม่ใช่คนนอกกัน สหายยุทธ์อวี่เสวียนไม่ต้องเกรงใจ”
จวงอวิ้นจื้อพาหลินสวินขึ้นยานลมกรดไปด้วยกันโดยไม่ได้ชักช้า ก่อนโบกมือบอกลาอวี่ปี้คง
พร้อมๆ กับเสียงก้องกระหึ่ม ยานลมกรดขนาดมหึมาประหนึ่งผืนแผ่นดินก็แล่นผ่านห้วงอากาศไป
…
หนึ่งวันผ่านไป
ท่ามกลางฟ้าดาราเวิ้งว้าง ยานลมกรดเคลื่อนตัวไปตามเส้นทางอย่างมั่นคง
ภายในนั้นในเรือนพักที่บรรยากาศแวดล้อมเรียบง่ายเงียบสงบแห่งหนึ่ง ต้นไม้วิญญาณอุดมสมบูรณ์ สะพานเล็กธารไหลริน
หลินสวินนั่งอยู่ใต้ต้นไม้โบราณต้นหนึ่ง กำลังเคี่ยวกรำและหยั่งถึงคัมภีร์เก้ากระถางสยบหล้า
หลักจากขึ้นยานมาเขาก็ถูกจวงอวิ้นจื้อพามาพักอยู่ในเรือนแห่งนี้ และได้บอกเล่าเรื่องราวบางส่วนเกี่ยวกับยานลมกรดให้หลินสวินฟังด้วย
ยานลมกรดดูเหมือนจะเป็นเพียง ‘ยานข้ามโลก’ ลำหนึ่ง แต่ความจริงก็ไม่ได้ต่างอะไรจากเมืองแห่งหนึ่งเลย บนนี้มีถนนหนทางเชื่อมสี่ทิศทะลุแปดทาง ตึกอาคารตั้งเรียงราย ร้านค้าวางจำหน่ายของวิเศษ ยาลูกกลอน สมบัติ…
นอกจากนี้ยังมีสถานที่มากมายอย่าง ‘ลานฝึกปราณ’ ‘ลานประลองยุทธ์’ ‘ลานประมูล’ ล้วนเป็นกิจการภายใต้ปกครองของหอเสียงสวรรค์
ยานลมกรดไม่ได้ห้ามคนนอกขึ้นยาน เพียงแต่ยามที่คิดจะโดยสาร ล้วนต้องควักค่าใช้จ่ายแพงหูฉี่ถึงที่สุดก้อนหนึ่ง
หนึ่งแสนผลึกมรรค!
คิดจะเช่าห้องพักที่รายล้อมด้วยไอวิญญาณส่วนหนึ่ง ค่าใช้จ่ายมีแต่จะยิ่งสูงขึ้น
จากที่จวงอวิ้นจื้อแนะนำ ไม่ว่าแขกคนใดก็ตามที่โดยสารยาน แทบจะมาจากขุมอำนาจชั้นนำในโลกใหญ่แต่ละแห่งของเขตแดนดาราจื่อเหิงทั้งสิ้น มีมากหน้าหลายตา ทว่าไม่มีใครไม่ใช่พวกสูงศักดิ์ร่ำรวย
และก็มีแต่แขกประเภทนี้ จึงจะสามารถจ่ายราคาที่แพงลิ่วเช่นนี้ได้
ตอนที่หลินสวินขึ้นยานวันแรก เคยเดินผ่านถนนบางส่วน ทุกหนแห่งล้วนครึกครื้นเซ็งแซ่ เป็นภาพที่จอแจหาใดเปรียบ
ลองคำนวณคร่าวๆ บนยานลมกรดอย่างน้อยต้องมีผู้ฝึกปราณโดยสารเกือบหมื่นคน!
เมื่อคิดคำนวณเช่นนี้ ลำพังแค่ค่าโดยสารยาน รวมกันก็เป็นจำนวนมหาศาลที่สามารถทำให้คนปากอ้าตาค้างได้
ครั้งนี้ยานลมกรดของหอเสียงสวรรค์ลำนี้ จะออกเดินทางจากเขตแดนดาราจื่อเหิงมุ่งสู่โลกใหญ่หงเหมิงในเขตแดนดาราใจกลาง ระหว่างทางจะแล่นข้ามเขตแดนดาราและโลกมากมาย ระยะทางยาวนานถึงที่สุด
หนำซ้ำระหว่างทางยานลมกรดจะแวะพักที่ ‘ท่า’ บางแห่ง ไม่ซื้อวัตถุดิบเสริมก็จำหน่ายสินค้าส่วนหนึ่งให้โลกอื่น
ควรรู้ว่าบนทางเดินโบราณฟ้าดารา แต่ละโลกล้วนมีสินค้าพิเศษสำหรับฝึกปราณของตัวเอง หากขายสินค้าพิเศษเหล่านี้ออกไป ก็จะได้รับผลกำไรเป็นสิบเท่าร้อยเท่า
จากที่จวงอวิ้นจื้อคาด ตลอดทางต่อให้จะราบรื่นเรียบร้อยดี ตอนที่ไปถึงเขตแดนดาราใจกลางอย่างน้อยก็ต้องใช้เวลานานถึงครึ่งปี
ครึ่งปี!
คำนวณจากความเร็วและการเดินทางของยานลมกรดก็จะรู้ได้ว่า ทางเดินโบราณฟ้าดารานั้นกว้างใหญ่ไพศาลปานใด
หลินสวินวางแผนว่าครึ่งปีนี้ หนึ่งคือต้องพยายามควบคุมนัยเร้นลับที่ตนสามารถหยั่งถึงได้ในคัมภีร์เก้ากระถางสยบหล้า
อีกหนึ่งคือหลอมจิตแห่งอวัยวะต้นห้าออกมาให้ได้
ส่วนระหว่างทางจะประสบกับคลื่นลมอะไรหรือไม่ หลินสวินไม่ค่อยเป็นกังวลนัก
เขตแดนดาราจื่อเหิงเป็นหนึ่งในเขตแดนมหาดาราเก้าบนของทางเดินโบราณฟ้าดารา ภายในมีโลกใหญ่มากมาย และหอเสียงสวรรค์ก็เป็นถึงขุมอำนาจอันดับหนึ่งในเขตแดนดาราจื่อเหิง รากฐานพลังแข็งแกร่งหาใดเปรียบ
เมื่อเทียบกันแล้ว ขุมอำนาจของเผ่าจักรพรรดิตระกูลอวี่ยังห่างชั้นกันไกลกับหอเสียงสวรรค์มาก
เหมือนอย่างบนยานลมกรดลำนี้ ก็มีราชันอริยะหลายสิบคนของหอเสียงสวรรค์เป็นกำลังหลัก ในนั้นยังมีมกุฎราชันอริยะเจ็ดคนรวมถึงจวงอวิ้นจื้อ และผู้แข็งแกร่งระดับกึ่งจักรพรรดิสองคนด้วย
กำลังระดับนี้ร่วมกันพิทักษ์ยานข้ามโลกลำหนึ่ง ระหว่างทางแม้จะประสบคลื่นลมบางส่วน ก็เชื่อว่าจะต้องคลี่คลายได้อย่างง่ายดายแน่นอน
“ผู้อาวุโส เชิญทานอาหาร”
หญิงรับใช้สองคนยกตะกร้าที่บรรจุอาหารเลิศรสเดินเข้ามาแต่ไกล ล้วนสวมชุดกระโปรงผ้าโปร่งสีฟ้าอ่อน รูปร่างหน้าตาน่ารักชวนมอง งดงามหวานละมุน
คนหนึ่งชื่อชิวขุย อีกคนชื่อตงเย่
หลินสวินพยักหน้าน้อยๆ ชิวขุยและตงเย่ต่างนำอาหารเลิศรสออกมาทีละอย่างด้วยความคล่องแคล่ว จัดวางลงบนโต๊ะหิน
กับข้าวล้วนปรุงจากวัตถุดิบเทพหายากราคาแพงลิ่ว มีเนื้อมีผัก และมีผลไม้ของว่าง สุราบ่มนานปี เรียกได้ว่าเป็นอาหารโอชะเลิศล้ำอันดับหนึ่งของโลกฝึกปราณ
ลำพังแค่อาหารมื้อนี้ก็ต้องจ่ายมากกว่าพันผลึกมรรค ผู้ฝึกปราณที่ต่ำกว่าอริยะ เกรงว่าจะไม่มีปัญญาเอื้อมถึง
แต่สำหรับหลินสวิน ไม่ว่าจะเป็นเรือนพักเงียบสงบแห่งนี้ หรือจะเป็นอาหารโอชะที่ดื่มกินอยู่ทุกวัน ล้วนแล้วแต่ได้เปล่าทั้งสิ้น
ตอนที่หลินสวินกินข้าว ชิวขุยและตงเย่ก็พับแขนเสื้อ เผยให้เห็นแขนเรียวที่ขาวกระจ่างยิ่งกว่าหิมะ สิบนิ้วเรียวยาวปานแท่งต้นหอมหยกขาวช่วยเขารินเหล้าเทชา ปอกเปลือกผลไม้ ท่าทางนอบน้อม งดงามอ่อนหวาน
หลายปีมานี้ถ้าหลินสวินไม่ปิดด่านฝึกฝน ก็ตะลุยต่อสู้ไปทั่วหล้า นานมากแล้วที่ไม่ได้รับการปรนนิบัติเช่นนี้
การผ่อนคลายและพักผ่อนที่หาได้ยากนี้ทำให้เขาทอดถอนใจเล็กน้อย ต่อไปยามเมื่อถึงโลกใหญ่หงเหมิง เกรงว่าคงไม่อาจดื่มด่ำกับความสุขเรียบง่ายเช่นนี้อีกต่อไป
ตอนที่ปรนนิบัติหลินสวินกินอาหาร ชิวขุยและตงเย่ก็ลอบสำรวจหลินสวิน เรือนพักแห่งนี้ไม่ได้เปิดต้อนรับคนนอก โดยทั่วไปก็มีแต่แขกที่ถูกหอเสียงสวรรค์ให้เกียรติและให้ความสำคัญมากๆ เท่านั้นถึงจะสามารถพักอยู่ที่นี่ได้
ก่อนหน้านี้ชิวขุยและตงเย่ก็เคยถูกกำชับเป็นการเฉพาะ ว่าต้องดูแลแขกคนนี้ให้ดี ไม่ว่ามีข้อเรียกร้องใด ขอเพียงเป็นสิ่งที่บนยานลมกรดสรรหาให้ได้ ก็ต้องทำให้พึงพอใจ
สิ่งนี้ทำให้ตอนที่ทั้งสองเผชิญหน้ากับหลินสวินล้วนอดเจือแววหวาดหวั่นและนบนอบไม่ได้ เกรงแต่ว่าหากทำสิ่งใดไม่ถูกไปนิดหน่อยจะกลายเป็นการล่วงเกินหลินสวินเอาได้
ต่อให้หลินสวินเอ่ยข้อเรียกร้องที่เกินเหตุไปหน่อย เช่นให้พวกนางช่วยปรนนิบัติบนเตียง หรือไม่ก็ทำเรื่องวิปริตผิดแผกยิ่งยวด พวกนางก็ได้แต่เกร็งหนังหัวตอบรับ ไม่กล้าขัดคำสั่ง
ควรรู้ว่าผู้แข็งแกร่งในโลกฝึกปราณล้วนไม่ใช่พวกใจสะอาดปราศจากกิเลส นิสัยใจคอต่างกัน คนแบบไหนก็มีทั้งนั้น
หญิงสาวทั้งสองก็เคยได้ยินว่าแขกสูงศักดิ์บางส่วนที่ขึ้นยานในอดีต เคยจับหญิงรับใช้มาฝึกวิชาเก็บหยินบำรุงหยาง และก็มีบางคนที่บ้ากามเหมือนเสียสติ ชมชอบวิธีวิปริตบางอย่าง มักจะทรมานจนหญิงรับใช้ทุกข์ทนเหลือบรรยาย
ยังดี สิ่งที่ทำให้พวกนางโล่งใจน้อยๆ คือ ผู้อาวุโสจากเผ่าจักรพรรดิตระกูลอวี่คนนี้ดูท่าแล้วยังถือว่าปกติ อีกทั้งยังปฏิบัติตัวด้วยได้ง่ายยิ่ง ตั้งแต่ขึ้นยานมาก็อยู่เงียบๆ เพียงลำพัง แม้แต่ยามที่ปฏิบัติต่อหญิงรับใช้อย่างพวกนาง ท่าทางก็ยังสงบนิ่งเป็นอย่างมาก
หลังจากหลินสวินกินข้าวเสร็จ ชิวขุยและตงเย่ก็ช่วยกันเก็บกวาดและจากไป
ไม่นานเท่าไรจวงอวิ้นจื้อก็พาหญิงชุดขาวคนหนึ่งเดินเข้ามา หลินสวินหยัดตัวขึ้นต้อนรับทักทาย
เขาเตรียมตัวไว้แต่เนิ่นๆ แล้ว ถึงอย่างไรครั้งนี้เขาก็มีบทบาทเป็นผู้คุ้มกันคนหนึ่ง ต่อให้สถานะจะเหนือธรรมดาปานใดก็ต้องทำเรื่องบางอย่างที่เกี่ยวกับการคุ้มกันอยู่ดี
เห็นได้ชัดว่าหญิงชุดขาวที่จวงอวิ้นจื้อพามาในครั้งนี้ ก็คือคนที่เขาจะต้องคุ้มกัน
แต่แวบแรกที่ได้เห็นอีกฝ่าย หลินสวินก็อึ้งงัน หัวใจเหมือนก้อนหินหล่นใส่ทะเลสาบ ผุดระลอกคลื่นขึ้นมา ภาพความทรงจำส่วนหนึ่งเมื่อเนิ่นนานมาแล้วผุดขึ้นในหัว
เป็นนางได้อย่างไร
ก็เห็นหญิงชุดขาวคนนั้นคิ้วตาดุจภาพวาด ผิวเรียบเนียนเกลี้ยงเกลา เรือนผมสีดำขลับทั่วศีรษะม้วนเป็นมวยลวกๆ บุคลิกโดดเด่น ยืนตระหง่านงามสง่า
ก็เหมือนดอกบัวเขียวที่ชูช่อส่ายไหวดอกหนึ่ง พิสุทธิ์เปล่งปลั่ง ไม่ถึงขั้นงามตะลึง แต่กลับมีท่วงทำนองอบอุ่นละโลกีย์ปานหยกงาม ชุดขาวราบเรียบสง่าเป็นเอกลักษณ์
และในหัวหลินสวิน กลับปรากฏเงาร่างหญิงปลอมเป็นชาย งามพิสุทธิ์ชดช้อย น้ำเสียงใสกังวานดุจลำธารไหลริน ไพเราะเสนาะหูดุจเสียงสวรรค์คนหนึ่ง
ยามแรกพบกัน นางกะพริบตาปริบๆ กล่าวยิ้มๆ ว่า ‘คุณชาย บนโลกนี้ยังมีหลิ่วชิงเยียนคนที่สองด้วยหรือ’