จังหวะที่หลินสวินเดินออกจากเรือน รอยยิ้มบนใบหน้าได้จางหายไปหมดแล้ว
‘ห้าคน ระดับราชันอริยะ’
ชั่วพริบตา ในห้วงนิมิตของเขาก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของผู้แข็งแกร่งหลายสายที่ซุ่มซ่อนตามพื้นที่ต่างๆ
เขาไม่ได้สนใจ สาวเท้าไปข้างหน้าต่อ
ยานลมกรดกว้างใหญ่ถึงขีดสุดราวกับผืนแผ่นดินลอยฟ้า บนนี้มีถนนทอดขวาง มีอาคารมากมายตั้งซ้อนเรียงราย คล้ายกับเมืองแห่งหนึ่งก็ไม่ปาน
อย่างเรือนที่หลินสวินพักก็อยู่บนภูเขานอกเมือง ภูเขาลูกนี้สร้างขึ้นเพื่อรับรองแขกคนสำคัญของหอเสียงสวรรค์โดยเฉพาะ มีเรือนพักมากมาย
“พี่ชาย ดูเหมือนสถานการณ์ของเจ้าจะไม่สู้ดีนะ”
ขณะที่หลินสวินเดินผ่านเรือนพักหลังหนึ่ง จู่ๆ บนกำแพงก็ปรากฏเงาร่างสายหนึ่งฟุบอยู่ตรงนั้น ท่าทางเกียจคร้าน ยิ้มกว้างพลางจ้องมาที่หลินสวิน
“อ้อ เจ้ารู้ได้อย่างไร”
หลินสวินเหลือบมองคนผู้นี้ปราดหนึ่ง อีกฝ่ายท่าทางเหมือนเด็กหนุ่ม สวมชุดผ้าป่าน ผมเหมือนหญ้าที่รกรุงรัง แต่ใบหน้ากลับค่อนข้างหล่อเหลา ยามแย้มยิ้มเผยให้เห็นเรียวฟันสีขาวหิมะ
เด็กหนุ่มชุดผ้าป่านคนนี้กลอกตากล่าวว่า “คนตาบอดยังมองออก ยังต้องถามด้วยหรือ พี่ชาย ให้ข้าเดาดู นี่เจ้ากำลังคิดจะไปสู้สุดชีวิตใช่หรือไม่”
“สู้สุดชีวิต? ไม่ขนาดนั้น”
หลินสวินกล่าวพลางสาวเท้าก้าวออกไป เด็กหนุ่มชุดผ้าป่านคนนี้สามารถพักบนภูเขาลูกนี้ได้ สถานะย่อมไม่ธรรมดายิ่ง แต่หลินสวินคร้านจะใส่ใจ
“จุ๊ๆ ใจมีสายฟ้าเดือดพล่านแต่สีหน้ากลับเหมือนทะเลสาบเรียบนิ่ง ถึงแม้ไอสังหารบนตัวจะเก็บซ่อนถึงขีดสุด แต่ก็ยังถูกนายน้อยอย่างข้าได้กลิ่นอยู่ดี”
เด็กหนุ่มชุดผ้าป่านฟุบอยู่บนกำแพง ทอดมองยังจุดที่หลินสวินเดินออกไป ยิ้มอย่างเบิกบานยิ่ง
“นายน้อย ท่านจะเข้าไปยุ่มย่ามไม่ได้นะ บิดาท่านเคยสั่งไว้ว่าตลอดทางนี้ห้ามท่านก่อเรื่องเด็ดขาด หาไม่จะไม่ไว้ชีวิตยายเฒ่าอย่างข้านะเจ้าคะ”
ใต้กำแพงด้านในมีหญิงชราท่าทางแก่หง่อมคนหนึ่งยืนอยู่ ระบายยิ้มทอดมองเด็กหนุ่มชุดผ้าป่านที่นอนฟุบอยู่บนกำแพง ในดวงตาขุ่นมัวเปี่ยมด้วยแววโอบอ้อมอารี
“ท่านยาย หากท่านยิ้มให้ข้าแบบปกติธรรมดา ข้าย่อมดีใจสุดๆ เป็นแน่ แต่ท่าทางประหลาดของท่านทำเอาข้าแทบจะอาหารไม่ย่อย”
เด็กหนุ่มชุดผ้าป่านเหลียวหลัง แลบลิ้นออกมา ทำท่าเหมือนจะอาเจียน
หญิงชรายิ้มจนดวงตาหรี่โค้ง “เจ้าเด็กเน่า นิสัยเหมือนกับพ่อของท่านสมัยเป็นหนุ่มเปี๊ยบ เน่าจนไม่ได้ความ เน่าจนไร้ยางอาย เน่าจนไม่น่าพิสมัย!”
เด็กหนุ่มชุดผ้าป่านไม่อาย กลับคิดว่าเป็นเกียรติ หัวเราะอย่างครึ้มอกครึ้มใจ
เพียงแต่ยามเมื่อมองไปในทิศที่หลินสวินจากไป ส่วนลึกกลางนัยน์ตาเขาก็ผุดแววประหลาดขึ้นมา กล่าวในใจว่า ‘เจ้าหมอนี่เห็นได้ชัดว่าเป็นหมาป่าเจ้าเล่ห์ที่ปลอมเป็นหมูหลอกกินเสือชัดๆ ใครหาเรื่องคนนั้นซวย’
“ท่านยาย อยากจะไปชมเรื่องสนุกหรือไม่ เจ้าหมอนั่นน่าสนใจยิ่ง”
จู่ๆ เด็กหนุ่มชุดผ้าป่านก็ถามขึ้น
“ไม่ได้”
หญิงชราปฏิเสธเด็ดขาด
เด็กหนุ่มชุดผ้าป่านทำหน้าม่อยโดยพลัน ถอนใจดังเฮ้อไม่หยุด
…
ตอนที่เดินลงเขา ไม่ไกลนักเป็นถนนพลุกพล่าน ผู้คนสัญจรมากมาย การจราจรคับคั่ง
หลินสวินเดินเข้าไปในถนนคล้ายกับเดินเล่นในลานบ้าน
ทุกอย่างที่เห็นระหว่างทางแทบจะมีแต่ผู้สืบทอดจากสำนักใหญ่ทั้งสิ้น มีทั้งชายหญิง ปรากฏตัวเป็นกลุ่มก้อน ข้างกายยังมีกลุ่มผู้ติดตามมากมายคอยขนาบ
และมีผู้ฝึกปราณอิสระที่มาตัวคนเดียว แต่มีไม่มากนัก
ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ว่าใครๆ จะมีเงินโดยสารยานลมกรดเหินข้ามฟ้าดาราได้
ที่นี่ไม่มีผู้ฝึกปราณห้าระดับล่างให้เห็นสักนิด ระดับราชันอมตะเคราะห์ก็ยังเป็นได้แค่พวกกระจอกไม่เอาไหนเท่านั้น
ผู้แข็งแกร่งจำพวกอริยะ มหาอริยะกลับมีให้เห็นจนชาชิน
และไม่ขาดราชันอริยะบางส่วน แต่ล้วนเป็นพวกผู้อาวุโสจากขุมอำนาจชั้นนำหรือในเผ่าโบราณฐานะมั่งคั่ง ทำหน้าที่เหมือนผู้คุ้มกัน
นี่ก็คือสถานการณ์บนยานลมกรด
เขตแดนดาราจื่อเหิงนั้นยิ่งใหญ่ ผู้คนมากมายหลายพันล้าน แต่คนที่จะมีคุณสมบัติ มีรากฐานขึ้นมาบนยานลมกรดได้ เป็นเพียงคนส่วนน้อยของพวกชั้นนำทั่วหล้าเท่านั้น
เมื่อเดินตามท้องถนนหลินสวินก็เหมือนนักท่องเที่ยวทั่วไป เดินเตร็ดเตร่ลัดเลาะตามห้างร้านต่างๆ มากมาย
ขณะที่เดินออกจากร้านค้าแห่งแล้วแห่งเล่า บนตัวหลินสวินก็มีสมบัติวิเศษล้ำค่า โอสถและเจตวัตถุมากมายจากทั่วทุกมุมโลกเพิ่มมาด้วย
แม้แต่หลินสวินยังไม่อาจไม่ยอมรับ ร้านค้าเหล่านี้มีเอกลักษณ์ยิ่ง สินค้าที่วางจำหน่ายไม่มีชิ้นไหนที่ไม่ใช่สมบัติหายากที่มีเฉพาะในโลกใหญ่และเขตแดนดาราต่างๆ แต่ละแห่งของทางเดินโบราณฟ้าดารา ทำให้หลินสวินได้เปิดโลกมากขึ้น
แน่นอน ผลึกมรรคบนตัวหลินสวินก็ไหลออกไปเหมือนสายน้ำเช่นกัน
เวลาหนึ่งก้านธูปให้หลัง
หลินสวินเข้าไปใน ‘ลานหลอมวิถียุทธ์’ แห่งหนึ่ง ควักสามพันผลึกมรรค เพื่อแลกกับห้องฝึกสงบใจสำหรับการ ฝึกฝน ระยะเวลาเช้าคือสามชั่วยาม
บอกว่าเป็นห้องฝึกสงบใจ แต่ความจริงก็ไม่ได้ต่างอะไรจากแดนมงคลถ้ำสมบัติขนาดเล็กแห่งหนึ่ง ไอวิญญาณภายในนั้นล้นหลามหาใดเปรียบ ซ้ำยังปกคลุมด้วยกระบวนผนึก หมดห่วงว่าจะถูกโลกภายนอกรบกวน
สามชั่วยามต้องจ่ายสามพันผลึกมรรค แค่คิดก็รู้ว่า ค่าใช้จ่ายระดับนี้มากมายปานใด คนทั่วไปแตะต้องไม่ไหวสักนิด
หลังจากหลินสวินเข้าสู่ห้องฝึกสงบใจได้ไม่นาน ผู้แข็งแกร่งกลุ่มหนึ่งก็มาที่ ‘ลานหลอมวิถียุทธ์’ แห่งนี้
คนที่เป็นผู้นำคือชายหนุ่มสวมชุดคลุมสีแดงสด คาดเข็มขัดหยกขาว นัยน์ตายาวแคบดุจปลายดาบ
ชายชราชุดคลุมสีเทาที่รออยู่ตรงนั้นตั้งแต่ต้นเดินขึ้นมาต้อนรับ เขาคือผู้อาวุโสระดับราชันอริยะคนหนึ่งของหอเสียงสวรรค์ ขณะเดียวกันก็ดูแล ‘ลานหลอมวิถียุทธ์’ ด้วย
คนที่คุ้นเคย ต่างเรียกเขาว่า ‘เฒ่าเศษแกง’
“นี่คือป้ายคำสั่ง เป้าหมายเข้าไปในห้องฝึกสงบใจอักษร ค. ห้องสามแล้ว”
เฒ่าเศษแกงเดินขึ้นไปข้างหน้า ยื่นป้ายคำสั่งให้ชายหนุ่มชุดคลุมแดงด้วยท่าทีเคารพนบนอบ
“ดี”
ชายหนุ่มชุดคลุมแดงพยักหน้า ก่อนพาคนทั้งกลุ่มเดินไปทางที่ตั้งของห้องฝึกสงบใจอักษร ค. ห้องสาม
“เจ้าคนขัดหูขัดตาที่มาจากตระกูลอวี่นี่ ช่างรนหาที่ตายจริงๆ”
เฒ่าเศษแกงมองส่งพวกชายหนุ่มชุดคลุมแดงจากไป อดเผยรอยยิ้มเย็นออกมาไม่ได้
ผู้สืบทอดหอเสียงสวรรค์คนหนึ่งเดินเข้ามา กล่าวด้วยความเป็นกังวล “ผู้อาวุโส พวกเราถือวิสาสะนำเอาป้ายคำสั่งที่ เปิดใช้ห้องฝึกสงบใจออกมา เรื่องนี้เกิดถูกผู้อาวุโสจวงอวิ้นจื้อรู้เข้า…”
เฒ่าเศษแกงกล่าวตัดบท “ตอนนี้ผู้อาวุโสจวงอวิ้นจื้อเป็นพระโพธิสัตว์ดินเหนียวข้ามนที เอาตัวเองยังไม่รอดเลย ไม่ต้องสนใจ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนแซ่อวี่นี่ต่อให้ตายไป ก็ไม่ได้เกี่ยวกับหอเสียงสวรรค์ของเราสักนิด เอาล่ะ เจ้าไปทำงานเถอะ ที่นี่ให้ข้าเฝ้าก็พอแล้ว”
…
ห้องฝึกสงบใจอักษร ค. ห้องสาม
วู้ม!
พร้อมกับคลื่นผนึกต้องห้ามเคลื่อนไหว บานประตูห้องฝึกสงบใจถูกเปิดใช้จากด้านนอก
ทุกคนของชายหนุ่มชุดแดงพุ่งเข้าไปด้วยความเร็วสูงสุด และปิดประตูห้องฝึกสงบใจลงตั้งแต่จังหวะแรก ถูกพลังผนึกต้องห้ามปิดครอบอีกครั้ง
ตอนที่จัดการเรื่องทั้งหมดนี้เสร็จ พวกเขากลับค้นพบแบบตะลึงงันว่า เป้าหมายในครั้งนี้ไม่ได้แสดงอาการตื่นตระหนกตกใจใดๆ เลย
เขานั่งอยู่ตรงหน้าโต๊ะไม้ตัวหนึ่ง ยกน้ำเต้าหนังสีเขียวกำลังร่ำสุรา ท่าทางผ่อนคลาย คล้ายกับกำลังรอให้พวกเขามาหาตั้งแต่ต้น
“อวี่เสวียน?”
ชายหนุ่มชุดแดงเอ่ยปาก นัยน์ตาแคบยาวผุดประกายเทพที่ชวนสยดสยอง
“ที่แห่งนี้ตัดขาดจากโลกภายนอก ซ้ำยังทนต่อการทุบทะลวงพลังของระดับมกุฎราชันอริยะ เรียกได้ว่าเป็นสถานที่เหมาะเหม็งที่สุดสำหรับการฆ่าคนฝังกระดูก ทุกท่านคิดว่า สุสานผืนนี้ที่ข้าผู้แซ่อวี่เลือกให้พวกท่าเป็นอย่างไรบ้าง”
หลินสวินหยัดตัวลุกขึ้น เอ่ยปากเสียงเรียบ นัยน์ตาดำของเขาลึกล้ำ นิ่งเฉยไม่ไหวหวั่น
ชายหนุ่มชุดแดงสีหน้าขรึมลง คนอื่นๆ ต่างก็ทำหน้ายากจะเชื่อ เจ้าคนเผ่าจักรพรรดิตระกูลอวี่นี่สมองบวมน้ำไปแล้วกระมัง
แค่ราชันอริยะคนหนึ่งเท่านั้น ฝีปากกลับยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้!
“เจ้ารู้ว่าพวกเราจะจัดการเจ้า?”
ชายหนุ่มชุดแดงเลิกคิ้ว
“ข้ารู้แค่ว่าวันนี้ไม่ว่าใครโผล่มา มีแต่ต้องฝังกระดูกไว้ที่นี่เท่านั้น”
หลินสวินกล่าวพลาง เงาร่างหายไปในอากาศ
“ลงมือ!”
ชายหนุ่มชุดแดงนัยน์ตาหดรัด ร่างกายแผ่ซ่านกลิ่นอายน่าสะพรึงที่เป็นของระดับมกุฎราชันอริยะออกมา หนึ่งฝ่ามือตบออกไปโดยไม่ลังเล
พลังฝ่ามือมหาศาล ประหนึ่งมหาพลังดึกดำบรรพ์มาเยือนโลก กระหน่ำฆ่าสิบทิศ
“ตาย!”
ยามที่หนึ่งคำเบาหวิวเอ่ยออกจากปากหลินสวิน ก็เห็นเงาร่างของเขาไปโผล่อยู่ตรงหน้าชายหนุ่มชุดแดง หนึ่งฝ่ามือกดออกไปเช่นเดียวกัน
ราบเรียบง่ายดาย ไม่เจือกลิ่นอายด่างพร้อยสักเสี้ยว
แต่ภายใต้ฝ่ามือนี้ พลังฝ่ามือที่แข็งแกร่งของชายหนุ่มชุดแดงราวกับวัวโคลนจนสมุทร ถูกกลืนกินอย่างไร้ร่องรอย และทั้งตัวเขาก็ราวกับตกสู่เหวลึก เบื้องหน้ามืดสนิท ทั่วร่างราวกับถูกจองจำ ไม่อาจขัดขืนได้เลยสักนิด
ขณะที่ฝ่ามือนี้ร่วงลงมา
ปึง!
ชายหนุ่มชุดแดงทั้งตัวถูกตบจนกลายเป็นโคลนเนื้อหนึ่งก้อน หยาดเลือดเพิ่งสาดกระเซ็นออกมาก็ถูกกำจัดไปใน ห้วงอากาศ
มีเพียงพลังมหามรรคของตัวเขาเท่านั้นที่ถูกกลืนกินช่วงชิงไปอย่างสมบูรณ์
หนึ่งฝ่ามือ ดับมกุฎราชันอริยะคนหนึ่ง!
ภาพเหตุการณ์ที่เกิดกะทันหันนี้ เกิดขึ้นเร็วเกินไปและน่าสะพรึงเกินไป ทำเอาผู้แข็งแกร่งคนอื่นๆ ที่ตั้งท่าจะลงมือต่างอึ้งงันก่อนเป็นสิ่งแรก จากนั้นก็ขนลุกขนชัน วิญญาณเกือบกระเด็นหลุดออกมา
นี่…คือพลังที่ระดับราชันอริยะจะมีได้หรือ
บรรยากาศเงียบกริบ ทุกคนล้วนหน้าเปลี่ยนสียกใหญ่
ชายหนุ่มชุดแดงคนนั้นเป็นถึงผู้สืบทอดเรือนมรรคดึกดำบรรพ์ ตำแหน่งและสถานะถึงจะเทียบชั้นข่งอวี้ไม่ติด แต่พลังต่อสู้ของเขาแข็งแกร่งอย่างไม่ต้องสงสัย
สามารถเหยียบย่างระดับมกุฎราชันอริยะได้ ก็คือข้อพิสูจน์ที่ดีที่สุด
แต่ตอนนี้ ฝ่ามือเดียวเขาก็ถูกตบตาย เหมือนตบแมลงวันตัวหนึ่งตายไม่มีผิด…
นัยน์ตาของหลินสวินลุ่มลึก กล่าวราบเรียบ “ทุกคน ข้าต้องถามคำถามบางอย่าง หากพวกเจ้าให้ความร่วมมือแต่โดยดี ก็สามารถตายอย่างน่าพิสมัยบ้าง หาไม่ ก็มีแต่อยู่ไปไม่สู้ตาย”
ขณะพูด เขาเริ่มลงมืออย่างไม่ลังเลสักนิด
…
“เหตุใดถึงยังไม่ออกมาอีก”
หัวคิ้วของเฒ่าเศษแกงค่อยๆ มุ่นขมวด
ลานหลอมวิถียุทธ์ ตามหลังเวลาเคลื่อนคล้อย ขบวนพวกชายหนุ่มชุดแดงกลับไม่เคยก้าวออกจากอักษร ค. ห้องสามสักที สิ่งนี้ทำให้ในใจเฒ่าเศษแกงเริ่มจะอยู่ไม่สุขบ้างแล้ว
“แค่ฆ่าราชันอริยะคนหนึ่งเท่านั้น เหตุใดต้องเสียเวลาเนิ่นนานถึงเพียงนี้ อย่าบอกนะว่าจะเกิดเหตุบางอย่างขึ้นจริงๆ”
สีหน้าเฒ่าเศษแกงวูบไหวไม่คงที่
ขณะที่เขากำลังตั้งท่าว่าจะเข้าไปดูเองกับตาดีหรือไม่ จู่ๆ ก็เห็นเงาร่างสายหนึ่งก้าวออกมาจาก อักษร ค. ห้องสาม
เพียงแต่เฒ่าเศษแกงกลับเหมือนอสนีบาตฟาดใส่ นัยน์ตาเบิกโพลง ท่าทางเหมือนเห็นผีตัวเป็นๆ
ปะ…เป็นเขาได้อย่างไร
ก็เห็นคนผู้นั้นสวมชุดสีเขียว หว่างคิ้วกว้าง ผมยาวประบ่า เป็นอวี่เสวียนที่ถูกเฒ่าเศษแกงคิดว่าต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัยนั่นเอง!
“แปลกใจหรือไม่ ประหลาดใจหรือไม่”
เงาร่างหลินสวินเคลื่อนผ่านอากาศมาเยือน สายตาลึกล้ำดุจหุบเหว มองไปทางเฒ่าเศษแกง
เหงื่อกาฬเม็ดเป้งบนหน้าผากเฒ่าเศษแกงร่วงไหลลงมา ฝืนฉีกยิ้มออกมาอย่างยากลำบาก “สหายยุทธ์พูดอะไรกัน หะ…เหตุข้าถึงฟังไม่เข้าใจ”
“ฟังไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร อีกเดี๋ยวข้าจะมาหาเจ้าทีหลัง”
หลินสวินกล่าวพลาง มือข้างหนึ่งวางพาดลงบนบ่าของเฒ่าเศษแกง ฝ่ายหลังรู้สึกเพียงว่าพลังน่าสะพรึงวูบหนึ่งบีบคั้นลงมา ไม่ยอมให้ขัดขืนเลยสักนิด ก่อนจะหน่วงเหนี่ยวพลังทั่วร่างของเขาเอาไว้
หลังจากนั้น ทั้งตัวเขาถูกหลินสวินหิ้วขึ้นมาเหมือนลูกไก่ตัวหนึ่ง ยัดเข้าไปในเจดีย์มหามรรคไร้สิ้นสุด
ครู่ต่อมา เงาร่างหลินสวินขยับไหว ก่อนออกไปจาก ‘ลานหลอมวิถียุทธ์’ แห่งนี้อย่างแผ่วเบา ตั้งแต่ต้นจนจบ นอกจากเฒ่าเศษแกง ก็ไม่มีใครสังเกตเห็นร่องรอยของเขาอีกเลย
เพราะตั้งแต่จังหวะนั้นที่ลงมือ เขาได้โคจรไอซวนหนี ปิดครอบเงาร่างและพลังขับเคลื่อนเอาไว้ ทั้งตัวดุจดั่งภาพมายา!
……………..