เหล่าผู้แข็งแกร่งหอเสียงสวรรค์ตกใจจนวิญญาณแทบหลุดออกจากร่าง
จู่ๆ เด็กหนุ่มชุดผ้าป่านก็รู้สึกหมดอารมณ์ น่าเบื่อมาก ไม่น่าสนใจ ไม่สนุกเลยสักนิด เขาถอนหายใจคราหนึ่งแล้วหมุนตัวเดินเข้าเรือน ไม่สนใจพวกขี้ขลาดเหล่านั้นอีก
ขี้ขลาดเกินไปแล้ว ทำให้เขาไม่มีความสนใจเลยจริงๆ กลับทำให้เขายิ่งรู้สึกน่าเบื่อ
เขาลูบคางพึมพำ “มดปลวกหรือ เฮอะๆ ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดพวกร้ายกาจเหล่านั้นจึงถอนหายใจเช่นนี้ ไม่น่าสนใจเลยจริงๆ”
“นายน้อย ใต้มหามรรคสรรพชีวิตล้วนเป็นมดปลวก”
หญิงชราเตือนประโยคหนึ่งเพื่อไม่ให้เด็กหนุ่มย่ามใจเกินไป
เด็กหนุ่มชุดผ้าป่านเอนตัวบนเก้าอี้โยกอย่างเกียจคร้าน ยิ้มระรื่นพูด “ใช่ ในสายตาของท่านยาย ในสายตาของท่านพ่อข้า คนตัวเล็กๆ อย่างข้าก็ไม่ต่างอะไรกับมดปลวกอยู่แล้ว”
ทันใดนั้นเขานึกบางอย่างขึ้นได้ ตีอกกระทืบเท้า พูดอย่างเศร้าโศกแค้นเคือง “จู่ๆ ข้าก็พบว่า ดูเหมือนจะกลายเป็นแพะรับบาปแทนเจ้าหมอนั่น!”
หญิงชรากลอกตา จนตอนนี้เจ้าเด็กเน่าอย่างเจ้าเพิ่งจะเข้าใจหรือ
ทว่ายามนางพูดกลับเปลี่ยนน้ำเสียงเป็นอีกแบบ เสียงเรียบเฉยนิ่งสงบ เอ่ยเบาๆ ราวกับเทพองค์หนึ่ง “นายน้อย ยายแก่อย่างข้าไม่ใช่แม่พระหรอกนะ”
จู่ๆ เด็กหนุ่มชุดผ้าป่านที่ยิ้มหน้าทะเล้นสีหน้าก็เคร่งขรึมขึ้นมา พูดอย่างจริงใจ “ท่านยาย ข้าไม่กลัวเรื่องวุ่นวาย ท่านอย่าได้ออกศีลเชียว”
ดวงตาขุ่นของหญิงชราเผยความอบอุ่น พยักหน้าน้อยๆ
เด็กหนุ่มถึงได้รู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก ยิ้มประหนึ่งเป็นพวกอันธพาลขึ้นมาอีกครั้ง
เพียงแต่ในใจเขารู้ดีว่าแม้ตนจะกำเริบเสิบสานไปสักหน่อย แต่ถ้าเทียบกับท่านยายแล้ว ตนก็เป็นเด็กดีที่ไม่มีพิษภัยเลยสักนิด
หากท่านยายเดือดดาลขึ้นมา สามารถแทงท้องฟ้าจนทะลุได้เลยเชียว!
……
นอกเรือนพัก
เหล่าผู้แข็งแกร่งหอเสียงสวรรค์หนีตาย รีบเร่งจากไปด้วยความแตกตื่นยากปกปิด
ผู้อาวุโสเฉิงเวิน ระดับราชันอริยะคนหนึ่งยังไม่ทันตอบสนอง ก็ถูกเด็กหนุ่มชุดผ้าป่านนั่นสังหารแล้ว!
ยามคนเหล่านั้นย้อนกลับมาบอกข่าว เหล่าคนใหญ่คนโตของหอเสียงสวรรค์ต่างฮือฮา เดือดดาลกับเรื่องนี้
“อะไรนะ ผู้อาวุโสเฉิงเวินถูกฆ่าแล้วหรือ”
“ช่างกล้านัก”
“นี่เป็นถึงยานลมกรดของหอเสียงสวรรค์ เจ้าคนสมควรตายนั่นไม่รู้อะไรเรียกว่าเคารพยำเกรงเลยหรือ”
“เช่นนั้นฆาตกรที่ฆ่าผู้แข็งแกร่งเรือนมรรคดึกดำบรรพ์จะต้องเป็นคนผู้นี้แน่!”
เสียงเดือดดาลดังก้องขึ้นในโถงใหญ่
ผู้อาวุโสชั้นสูงฮว่าเตี่ยนซึ่งนั่งอยู่บนที่นั่งประธานขมวดคิ้วแน่น สีหน้าอึมครึมน่ากลัว พลันส่งเสียงตะโกน “หุบปาก!”
เสียงราวกับระเบิด ทำให้ทุกคนต่างเงียบกริบ
ยามนี้ฮว่าเตี่ยนถึงสูดหายใจลึกคราหนึ่ง เอ่ยว่า “เล่าฐานะและที่มาของเด็กหนุ่มคนนั้นมาหน่อย”
“รายงานผู้อาวุโสชั้นสูง ในบันทึกขึ้นยาน เด็กหนุ่มชุดผ้าป่านนั่นนามว่า ‘เสี่ยวจิ่ว’ ข้างกายมีหญิงชราคนหนึ่งติดตาม”
ผู้อาวุโสคนหนึ่งรีบพูด
เสี่ยวจิ่ว?
ทุกคนในที่นั้นรู้ทันทีว่านี่ต้องเป็นชื่อปลอมแน่!
“ที่มาล่ะ”
ฮว่าเตี่ยนถาม “คนที่สามารถพักในเรือนพักเขารับแขกได้ ล้วนไม่ใช่คนทั่วไปแน่”
ผู้อาวุโสคนนั้นเหงื่อซึมหน้าผาก พูดเสียงสั่น “พวกเด็กหนุ่มเสี่ยวจิ่วนั่นจ่ายผลึกมรรคมาสามล้านผลึกจึงได้เข้าพักที่เขารับแขกขอรับ”
ทุกคนต่างอึ้งงัน นี่เป็นราคาที่สูงมาก คนทั่วไปจ่ายไม่ไหวแน่
อีกทั้งเพียงใช้เช่าเรือนพักหลังหนึ่งเท่านั้น ความรู้สึกที่มอบให้เหมือนกำลังฟุ่มเฟือย…
เวลานี้อู่อวิ๋นเหลียนพลันกล่าวว่า “ยอมเสียสามล้านผลึกมรรคก็ไม่ยอมเปิดเผยฐานะที่แท้จริงของตน อีกทั้งทันทีที่ลงมือก็สามารถฆ่าระดับราชันอริยะได้ นี่น่าสงสัยมาก!”
ทุกคนนัยน์ตาหดรัด
ฮว่าเตี่ยนลุกยืนทันใด นัยน์ตาสาดประกาย พูดด้วยไอสังหารพลุ่งพล่าน “ข้าล่ะอยากเห็นนัก ว่าเจ้าเสี่ยวจิ่วนี่เป็นอริยเทพจากไหนกันแน่!”
……
เขารับแขก ในเรือนพักที่เงียบสงบ
หนึ่งบทเพลงจบไป ท่วงทำนองที่เหลือลอยอวล ความคิดของหลินสวินก็ถูกดึงออกจากภวังค์ด้วย
เขาเงยมองไปก็เห็นหลิ่วชิงเยียนกำลังมองมาเช่นกัน ดวงตากระจ่างใสคู่นั้นสว่างไสวยิ่งกว่าดวงดาวบนท้องฟ้าเสียอีก
“ผู้อาวุโส ท่านดูเหมือนคิดถึงเรื่องทุกข์ใจอะไรบางอย่าง”
หลิ่วชิงเยียนถามเสียงเบา สิ่งที่นางเชี่ยวชาญที่สุดก็คือมรรคแห่งศาสตร์ดนตรี และดนตรีพันเปลี่ยนหมื่นแปลง สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์สภาวะจิตอย่างที่สุด
นางถึงขั้นสามารถใช้บทเพลงหนึ่งสอดส่องทุกความลับในใจผู้ฟังได้!
ทว่าเมื่อครู่นี้นางไม่ได้ทำเช่นนั้น เพราะการทำเช่นนั้นเท่ากับการล่วงเกิน
แต่แม้จะเป็นเช่นนี้นางก็ยังสังเกตได้อย่างฉับไว ว่าคลื่นอารมณ์ของผู้อาวุโสอวี่เสวียนที่อยู่ตรงหน้าดูเหมือนจะรุนแรงเกินไปหน่อย
หลินสวินพยักหน้าพูด “ข้าขอดูขลุ่ยวิญญาณโบราณนี้หน่อยได้หรือไม่”
หลิ่วชิงเยียนยื่นส่งให้พร้อมรอยยิ้ม
หลินสวินถือไว้ในมือ นิ้วทั้งสิบกดบนรูขลุ่ยวิญญาณโบราณอย่างเป็นธรรมชาติ ถูไปมาเบาๆ
หลิ่วชิงเยียนกล่าว “พูดถึงเครื่องดนตรีนี้ ทำให้ข้านึกถึงสหายคนหนึ่งขึ้นมา”
หลินสวินอึ้งไป เงยหน้ามองไปกลับเห็นหลิ่วชิงเยียนเหมือนจมสู่ความทรงจำ มุมปากเผยรอยยิ้ม
นางพูดต่อ “เมื่อนานมาแล้วข้าท่องเที่ยวไปในสถานที่ที่ห่างจากทางเดินโบราณฟ้าดารามาก และก็เป็นที่นั่นที่ได้สัมผัสกับเครื่องดนตรีอันมีเอกลักษณ์ที่สุดอย่างขลุ่ยวิญญาณโบราณนี้โดยไม่ได้ตั้งใจ และชอบมันในแวบแรกทันที”
“แต่ขลุ่ยวิญญาณโบราณในมือข้าชิ้นนี้กลับเสียหายรุนแรง ดังนั้นจึงเสาะหาคนที่สามารถซ่อมเครื่องดนตรีให้กับข้าได้มาโดยตลอด”
“ก็เพราะวาสนาความบังเอิญ ทำให้ข้าเจอสหายคนนั้น”
หลิ่วชิงเยียนพูดถึงตรงนี้ รอยยิ้มตรงมุมปากยิ่งชัดเจน “และก็เป็นเขาที่บอกข้าว่า ท่วงทำนองในโลกนี้ส่วนใหญ่ไม่พ้นเสียงดนตรีทั้งห้าคือกง ซัง เจวี๋ย จื่อ และอวี่ ขณะที่ขลุ่ยวิญญาณโบราณมีลักษณะพิเศษ สามารถถ่ายทอดเสียงดนตรีออกมาได้ถึงเก้าแบบแตกต่างกัน”
“จนสุดท้ายก็เป็นเขาที่ช่วยข้าซ่อมเครื่องดนตรีชิ้นนี้ ทำให้ข้าทะลวงไปอีกขั้นในมรรคศาสตร์ดนตรี…”
หลินสวินฟังเงียบๆ
‘เขา’ แน่นอนว่าหมายถึงตัวเขา!
ยามอยู่ที่จักรวรรดิจื่อเย่า เพราะขลุ่ยวิญญาณโบราณทำให้เขาได้รู้จักกับผู้ฝึกปราณสายศิลป์อันดับหนึ่งบนโลกอย่างหลิ่วชิงเยียน
หลิ่วชิงพูดถึงตรงนี้ดวงตาทั้งคู่ก็เปลี่ยนเป็นสว่างไสวขึ้นมา “หลังจากนั้นพวกเราสองคนกลายเป็นเพื่อนกัน เขาเป็นคนที่มีความกล้าหาญอย่างมากคนหนึ่ง การกระทำเหนือความคาดหมายของทุกคน ทำเรื่องใหญ่ที่ฮือฮาไปทั่วหล้าไว้มากมาย!”
ทันใดนั้นในแววตาของหลิ่วชิงเยียนก็เผยความเศร้าอีกครั้ง “แต่ภายหลัง ตั้งแต่ข้าไปจากจักรวรรดิจื่อเย่า จนตอนนี้ก็ยังไม่เคยเจอเขาอีก”
“เจ้าคิดถึง… เพื่อนคนนี้มากหรือ” หลินสวินถาม
หลิ่วชิงเยียนส่ายหน้า ถอนหายใจเบาๆ “เมื่อประมาณหกปีที่แล้วในที่สุดข้าก็ได้ยินข่าวคราวบางอย่างเกี่ยวกับเขา แต่กลับไม่ใช่ข่าวดีอะไร ตอนนี้ข้ากลับไม่อยากเจอเขาที่ทางเดินโบราณฟ้าดาราที่สุด”
หลินสวินอดถามไม่ได้ “เพราะเหตุใด”
ดวงตากระจ่างของหลิ่วชิงเยียนจ้องมองหลินสวิน กล่าวว่า “เพราะแม้ทางเดินโบราณฟ้าดาราแห่งนี้จะกว้างใหญ่ไพศาล แต่กลับไม่มีที่ยืนสำหรับเขาแล้ว”
หลินสวินหัวใจสะท้าน ในที่สุดก็มั่นใจ ว่าหลิ่วชิงเยียนเองก็คงได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นในแหล่งสถานคุนหลุนเมื่อหกปีที่แล้ว และรู้ดีว่าตอนนี้ตนกำลังถูกทั่วหล้าประกาศจับ!
“ผู้อาวุโส ท่านคิดว่าฟ้าดาราแห่งนี้ล้วนไม่มีที่ยืนให้เขาแล้ว หากเขาปรากฏตัวจะไม่อันตรายมากหรือ”
หลิ่วชิงเยียนเอ่ยเสียงต่ำลึก “เพราะฉะนั้นข้ายอมไม่เจอเขาอีก ก็ไม่อยากให้เขาปรากฏตัวบนทางเดินโบราณฟ้าดารา”
ในใจหลินสวินไหวหวั่น เกิดความรู้สึกมากมายหลากอารมณ์
ที่แท้ในยามที่ตนไม่รับรู้ บนโลกนี้ก็ยังมีคนเป็นห่วงความปลอดภัยของตน!
“มีเพื่อนอย่างแม่นางชิงเยียนเป็นห่วง คนผู้นี้โชคดีขนาดไหน”
หลินสวินยิ้มพูด
หลิ่วชิงเยียนคลี่ยิ้มเอ่ยว่า “เพื่อนนี่นา ก็ต้องเป็นเช่นนี้อยู่แล้ว ผู้อาวุโสท่านคิดว่าอย่างไร”
หลินสวินเห็นด้วยอย่างยิ่ง
ก็ในตอนนี้เองเขาพลันขมวดคิ้ว ลุกขึ้นยืนเอ่ยว่า “ด้านนอกเหมือนมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น แม่นางชิงเยียนเจ้าอยู่ที่นี่อย่าไปไหน ข้าจะออกไปดูสักหน่อย”
ว่าแล้วเขาก็เดินออกนอกเรือนไป
“เป็นเขาหรือ…”
มองแผ่นหลังของเขาค่อยๆ หายไป หลิ่วชิงเยียนนิ่งงันไม่พูดจา ผู้อาวุโสอวี่เสวียนคนนี้ให้ความรู้สึกคล้ายเคยรู้จักกันแบบหนึ่งกับนางตั้งแต่แวบแรกที่เจอ
แต่กลับสับสนมาก ไม่สามารถแยกแยะและยืนยันได้มาโดยตลอด
……
หลินสวินเดินออกจากเรือนพักก็มองเห็นในทันใด บนทางภูเขาโคมไฟสว่างไสว เหล่าคนใหญ่คนโตของหอเสียงสวรรค์รวมตัวกัน ปิดล้อมอยู่หน้าประตูเรือนพักหลังหนึ่ง
ผู้แข็งแกร่งที่อาศัยอยู่ในเรือนแต่ละหลังบนเขารับแขกล้วนแปลกใจเหมือนหลินสวิน กำลังจับตามองทุกสิ่งนี้
“ทำไมไปหาเจ้าหมอนั่นล่ะ…”
หลินสวินอึ้งไป จำเรือนพักที่ถูกปิดล้อมได้ นั่นคือที่พักของเด็กหนุ่มชุดป่านคนนั้น
หลินสวินเผยสีหน้าประหลาดใจ ยืนดูการเปลี่ยนแปลงอยู่ตรงนั้นเงียบๆ
ประตูเรือนเปิดออก เด็กหนุ่มชุดผ้าป่านเดินเกียจคร้านออกมา พูดอย่างไร้เรี่ยวแรง “ข้าว่าแล้วเชียว นายน้อยอย่างข้ากลายเป็นแพะรับบาปเสียแล้ว แม่งเอ๊ย เมื่อกี้ไม่น่ามือบอนเลย นี่ไม่ใช่หาเรื่องใส่ตัวหรอกหรือ”
นอกเรือนบรรยากาศครัดเคร่ง
เหล่าคนใหญ่คนโตของหอเสียงสวรรค์กลุ่มนั้นถูกผู้อาวุโสชั้นสูงฮว่าเตี่ยนนำมา มีมกุฎราชันอริยะ มีราชันอริยะ แน่นขนัดเป็นกลุ่มใหญ่
เมื่อรวมกับระดับกึ่งจักรพรรดิอย่างฮว่าเตี่ยน ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยกันแล้ว เพียงแค่กลิ่นอายน่ากลัวที่แผ่ออกจากตัว ก็สามารถทำให้คนทั้งโลกสะพรึงกลัวแล้ว
อย่างเช่นตอนนี้ บนยานลมกรดจิตรับรู้ของผู้แข็งแกร่งไม่รู้เท่าไหร่ล้วนเฝ้ามองที่แห่งนี้ ทุกคนดูระมัดระวังอย่างที่สุด รู้สึกกดดันไปด้วย
ถึงอย่างไรขบวนรบเช่นนี้ก็แข็งแกร่งเกินไปจริงๆ
แต่เด็กหนุ่มชุดป่านตัวคนเดียวเท่านั้น ไม่เพียงเดินอาดๆ ออกมาจากเรือน ยังท่าทางไม่เห็นพวกฮว่าเตี่ยนอยู่ในสายตา นี่ทำให้หลายคนประหลาดใจอย่างที่สุด
เด็กหนุ่มคนนี้เป็นอริยเทพมาจากไหน ไปเอาความมั่นใจมาจากไหน
“เจ้าเป็นคนฆ่าเฉิงเวินหรือ”
สีหน้าฮว่าเตี่ยนอึมครึม เอ่ยปากเฉยชา ข่มกลั้นไอสังหารในใจ ไม่ได้ลงมือในทันที
อีกฝ่ายสงบนิ่งเกินไป อีกทั้งที่มาก็ลึกลับอย่างมาก หากเป็นคนทั่วไปย่อมไม่กล้าฆ่าผู้สืบทอดเรือนมรรคดึกดำบรรพ์แน่
และไม่ใช่ฆ่าคนเดียว แต่ฆ่าไปกลุ่มหนึ่งแล้ว!
“เจ้าหมายถึงเจ้าเฒ่าไร้ประโยชน์ที่ข่มขู่ข้าเมื่อครู่นี้หรือ”
เด็กหนุ่มชุดผ้าป่านยิ้มถาม
ประโยคเดียวทำเอาทุกคนในที่นั้นเดือดดาลยกใหญ่ คำถามนี้ควรตอบอย่างไร บอกว่าใช่ ก็เหมือนยอมรับว่าเฉิงเวินคือเจ้าเฒ่าไร้ประโยชน์ แต่จะบอกว่าไม่ใช่ก็ไม่ได้
“เจ้าหนู ก่อนตายยังจะปากคอเราะราย! ขืนยังไม่พูดความจริงเชื่อหรือไม่ว่าจะจับเจ้าถลกหนังตอนนี้เลย”
ผู้อาวุโสระดับมกุฎราชันอริยะคนหนึ่งด่าว่าอย่างน่าเกรงขาม
เด็กหนุ่มชุดผ้าป่านหลุดขำออกมา เหลือบตามองแล้วชี้จมูกตนอย่างท้าทายเต็มประดา “บอกแล้วนะว่าจะถลกหนัง เดี๋ยวหากเจ้าทำไม่ได้ นายน้อยอย่างข้าจะตีเจ้าให้ตาย!”
——