Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1830 ทายาทจักรพรรดิขาว

โลกใหญ่จินเทียนมีเมืองจักรพรรดิขาวที่ชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วหล้า ถูกจัดเป็นหนึ่งใน ‘หกเมืองโบราณใหญ่ทางเดินโบราณฟ้าดารา’

เมืองจักรพรรดิขาวสร้างอยู่บนชั้นเมฆ ตัวเมืองสร้างขึ้นจาก ‘หินหิมะวิญญาณน้ำแข็ง’ ที่มีเพียงในสมัยดึกดำบรรพ์ หินหิมะนี้สว่างกระจ่างเรียบเนียน ไอหมอกคละคลุ้ง สามารถปรากฏทิวทัศน์มหัศจรรย์อย่างเมฆน้ำแข็งโคจร หิมะหนาโปรยปปราย

เมืองนี้ตั้งอยู่บนชั้นเมฆกลางฟ้า อาบอยู่ภายใต้แสงอรุณดารา ผ่านการเปลี่ยนผ่านของกาลเวลาจนมาถึงตอนนี้ เก่าแก่และสง่างาม

ในสายตาคนทั่วไปในโลกใหญ่จินเทียน เมืองจักรพรรดิขาวสามารถเรียกว่า ‘เมืองเซียน’ แห่งหนึ่งโดยสมบูรณ์ เป็นสถานที่ที่ในตำนานเล่ากันว่ามีแต่เทพเซียนจึงจะสามารถมาเยือนได้

และในสายตาของผู้ฝึกปราณ เมืองจักรพรรดิขาวราวกับสถานที่พบอริยะ เป็นเมืองแห่งการฝึกปราณที่เจริญรุ่งเรือง มั่งคั่งที่สุดแห่งหนึ่งในโลก

รวบรวมของล้ำค่าทั่วทิศ เก็บรวมสมบัติทั่วสี่สมุทร!

หลินสวินและหลิ่วชิงเยียนตัดสินใจจะไปดูเมืองนี้สักหน่อย ชื่นชมเมืองโบราณที่ชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วนี้

ใครจะคิดว่าเพิ่งเปิดประตูเรือนออก ก็เห็นผู้แข็งแกร่งหอเสียงสวรรค์กลุ่มหนึ่งปิดล้อมอยู่ตรงนั้นแล้ว

ผู้นำคือผู้อาวุโสระดับมกุฎราชันอริยะที่นามว่าอวี๋จวิ้น ที่เหลือคือราชันอริยะสามคนและศิษย์ระดับมกุฎมหาอริยะกลุ่มหนึ่ง

ในนั้นก็มีจั่นปิ่งที่เคยบอกว่าหลินสวินขี้ขลาด ตอนนั้นเคยมาท้าทายถึงที่ ไม่คิดว่าหลินสวินกลับไม่ตกหลุมพราง ไม่ได้สนใจเขา

“ศิษย์น้องชิงเยียน พวกเราได้รับคำสั่งว่าไม่อนุญาตให้เจ้าไปโลกใหญ่จินเทียนเป็นการส่วนตัว ในสามวันนี้ให้เจ้าอยู่ในเรือนเท่านั้น”

คนพูดคือจั่นปิ่ง เขาแสร้งยิ้ม มองข้ามหลินสวินโดยตรง

“แค่ข้าออกไปข้างนอกก็ไม่อนุญาตหรือ… นี่เป็นคำสั่งของใคร”

คิ้วงามของหลิ่วชิงเยียนขมวดมุ่น ดวงหน้างดงามเผยความกรุ่นโกรธ

“ถามเยอะแยะขนาดนี้ไปทำไม เจ้ารู้ไว้เพียงว่าเพราะเจ้า ทำให้อาจารย์ลุงอวี๋จวิ้นและทุกคนต้องมาเฝ้าอยู่ที่นี่ จับตามองความเคลื่อนไหวของเจ้าคนเดียว เจ้าคิดว่าพวกเราไม่อยากไปโลกใหญ่จินเทียนหรือ”

จั่นปิ่งพูดอย่างเหลืออด

หลิ่วชิงเยียนกวาดสายตามองพวกอวี๋จวิ้น เห็นพวกเขาสีหน้าเย็นชา ในใจก็อดหนาวสะท้านไม่ได้ นี่ก็คือผู้อาวุโสร่วมสำนักของนางหรือ!

“อ้อ ยังมีสวะอย่างเจ้าด้วย รู้ความหน่อยจะดีที่สุด อยู่กับศิษย์น้องชิงเยียนในเรือนพักดีๆ ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าหอเสียงสวรรค์ของพวกเราไม่เห็นแก่ความสัมพันธ์เก่าก่อนกับตระกูลอวี่”

สายตาจั่นปิ่งเหลือบมองหลินสวินอย่างดูถูกแวบหนึ่งพร้อมกล่าวเตือน

เพี๊ยะ!

หลินสวินลงมือกะทันหัน ฝ่ามือหนึ่งสะบัดใส่หน้าจั่นปิ่ง ตบจนอีกฝ่ายเซถอยล้มดังพลั่กลงพื้น เขาส่งเสียงร้องอนาถ จมูกปากหลั่งเลือด ทั้งใบหน้าบวมแดงขึ้นมา

ทุกคนต่างผิดคาด คิดไม่ถึงว่าหลินสวินที่ถูกพวกเขามองว่าเป็นคนไม่มีความสำคัญดันกล้าลงมือ!

โดยเฉพาะอวี๋จวิ้น สีหน้ามืดทะมนลง ราชันอริยะคนหนึ่งรังแกผู้สืบทอดสำนักตนต่อหน้าตน นี่เป็นการท้าทายอย่างที่สุด

หลิ่วชิงเยียนเบิกตาโพลง ประหลาดใจไม่น้อย

ในความทรงจำของนาง ผู้อาวุโสอวี่เสวียนคนนี้อดทนอดกลั้นและเก็บตัวมาโดยตลอด เหตุใดจู่ๆ จึงอาละวาดขึ้นมา

และตอนนี้เอง หลินสวินเอ่ยพูดอย่างเย็นเยียบ “สวะหรือ คนของเผ่าจักรพรรดิตระกูลอวี่ของข้า ใช่ผู้ที่คนรุ่นหลังอย่างเจ้าจะดูหมิ่นตามอำเภอใจได้หรือ พวกเจ้าแน่จริงก็ฆ่าข้าสิ ข้าจะดูสิว่าหอเสียงสวรรค์ของพวกเจ้าจะอธิบายกับตระกูลอวี่ของข้าอย่างไร”

ประโยคเดียวทำเอาอวี๋จวิ้นที่เดิมทีหมายจะจับกุมหลินสวินชะงักไป สีหน้าแปรเปลี่ยนไม่หยุด

หากแตกหักกันจริงๆ อวี๋จวิ้นก็ไม่กลัว

สิ่งเดียวที่เขาเป็นห่วงคือ หลายวันก่อนผู้อาวุโสชั้นสูงเหลียงชวนเพิ่งพูดว่า ไม่อนุญาตให้มีการต่อสู้ภายใน

หากลงมือกับอวี่เสวียน เหลียงชวนจะต้องคิดว่า การที่พวกเขาจงใจเล่นงานหลิ่วชิงเยียนก็เป็นการต่อสู้กันภายใน!

“เจ้าถึงกับกล้าตีข้าหรือ”

จั่นปิ่งลุกขึ้น ใบหน้าเดือดดาลและยากจะเชื่อเต็มประดา

เพี๊ยะ!

หลินสวินสะบัดไปอีกฝ่ามือ ตบบ้องหูดังลั่น จั่นปิ่งส่งเสียงร้องอนาถ ล้มลงพื้นและหมดสติไปทั้งอย่างนั้น

จั่นปิ่งคนนี้เป็นมกุฎมหาอริยะคนหนึ่ง กลับถูกตบจนหมดสติไป แค่คิดก็รู้ว่าเรี่ยวแรงที่มือของหลินสวินหนักหน่วงเพียงใด

“เจ้ารนหาที่ตาย!”

อวี๋จวิ้นเดือดดาลอย่างสิ้นเชิงแล้ว แม้จะตบหน้าจั่นปิ่ง แต่กลับทำให้เขาเองยังรู้สึกเสียหน้า ราวกับถูกท้าทายต่อหน้า

ทว่าตอนที่เขากำลังจะลงมือ พลันสังเกตเห็นว่าไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ผู้อาวุโสชั้นสูงเหลียงชวนปรากฏตัวอยู่ไม่ไกล ใบหน้าที่ราวกับเด็กหนุ่มแฝงความเย็นเยียบและรังเกียจ

“ที่ข้าพูดไม่นับหรือ”

เหลียงชวนพูดอย่างราบเรียบ

ร่างของอวี๋จวิ้นแข็งทื่อ เอ่ยอธิบายว่า “อาจารย์ลุง ท่านน่าจะเห็นแล้ว อวี่เสวียนนี่ลงมือทำร้ายกัน ข้าจะนิ่งดูดายได้อย่างไร”

“ข้าถามว่า ที่ข้าพูดไม่นับหรือ”

ความรังเกียจตรงหว่างคิ้วของเหลียงชวนยิ่งเข้มลึก เขาลุ่มหลงในการฝึกปราณ สิ่งที่เกลียดที่สุดก็คือการจัดการเรื่องไร้สาระเช่นนี้

อวี๋จวิ้นหน้าเปลี่ยนสีไป ครู่ใหญ่จึงก้มหน้าพูดว่า “ที่อาจารย์ลุงสั่งสอนถูกต้องแล้ว”

“หึ! หากมีครั้งหน้า อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ”

เหลียงชวนหมุนตัวจากไป

ตั้งแต่ต้นจนจบไม่ได้สนใจหลิ่วชิงเยียนและหลินสวินเลย

นี่ก็เป็นการพิสูจน์ว่า การมาของเขาครั้งนี้ เพียงแค่ปกป้องคำสั่งและความตั้งใจของตนเท่านั้น ไม่ใช่เพราะต้องการทวงความเป็นธรรมให้กับทั้งสอง

หลินสวินมองอยู่เงียบๆ โดยตลอด เก็บท่าทีของเหลียงชวนไว้ในสายตา

“ช่างเถอะ”

อวี๋จวิ้นสูดหายใจลึกคราหนึ่งแล้วถอนหายใจยาว “ที่อาจารย์ลุงเหลียงชวนสั่งสอนเมื่อครู่นี้ถูกต้องแล้ว ชิงเยียน หากเจ้ากับอวี่เสวียนอยากไปโลกใหญ่จินเทียน ย่อมสามารถไปได้ พวกเราจะไม่ขวางอีก”

พูดจบเขาก็พาทุกคนและจั่นปิ่งที่หมดสติอยู่จากไป

“สำหรับเจ้า ยานลมกรดนี่เท่ากับกรงขังแห่ง ตอนนี้เป็นโอกาสจะกางปีกโบยบิน จะจากไปหรือไม่”

สายตาของหลินสวินมองไปยังหลิ่วชิงเยียน

หากหลิ่วชิงเยียนตัดสินใจจากไป เขาจะช่วยนางแน่

ที่เหนือความคาดหมายคือ หลิ่วชิงเยียนกลับส่ายหน้า หมุนตัวเดินเข้าเรือน “ผู้อาวุโส หากพวกเราไปโลกใหญ่จินเทียนจริงๆ ท่านเชื่อหรือไม่ว่าพวกเขาจะต้องลงมือจับตัวข้าทันที และผู้อาวุโสท่าน… เกรงว่าจะถูกพวกเขาฆ่า”

หลินสวินยิ้ม ไม่พูดอะไรอีก

……

ใต้ภูเขารับแขก

รออยู่นานก็ไม่เห็นเงาร่างของหลินสวินกับหลิ่วชิงเยียน นี่ทำให้อวี๋จวิ้นอดขมวดคิ้วไม่ได้ ใบหน้ามืดทะมึนลง

นางชั้นต่ำนั่นดันไม่ตกหลุมพรางหรือ!

อย่างที่หลิ่วชิงเยียนคาดเดา อวี๋จวิ้นไม่มีทางใจดีถึงขนาดปล่อยพวกเขาออกจากยานลมกรดโดยไม่ทำอะไร

เป้าหมายเดียวของการทำเช่นนี้ คืออยากฉวยโอกาสฆ่าหลินสวินที่โลกใหญ่จินเทียน แล้วจับกุมตัวหลิ่วชิงเยียน

“อาจารย์อา ปล่อยไปทั้งอย่างนี้หรือ”

จั่นปิ่งฟื้นขึ้นมาแล้ว เพียงแต่ใบหน้าบวมแดงราวกับหัวหมู ไม่เหลือเค้าเดิม

“ยังจะทำอย่างไรได้อีก เจ้าจะไปลองฝีมือของผู้อาวุโสชั้นสูงเหลียงชวนหรือ”

อวี๋จวิ้นพูดทิ้งไว้ประโยคหนึ่งแล้วหมุนตัวจากไป

อวี๋จวิ้นลนลานขึ้นมาทันที เร่งรีบตามไป

ไม่มีอวี๋จวิ้นดูแล เขาก็ไม่มีความมั่นใจจะไปหาเรื่อง ‘อวี่เสวียน’ ที่เป็นราชันอริยะ

“คนโง่พวกนี้ก็นับว่าโชคดี หากให้พี่ชายคนนั้นไปโลกใหญ่จินเทียนจริงๆ เจ้าโง่พวกนั้นแม้แต่ตายคงยังไม่รู้ตัว…”

เด็กหนุ่มชุดผ้าป่านที่ฟุบบนกำแพงมองดูความครื้นเครงมาโดยตลอดลอบพึมพำกับตัว

ทันใดนั้นเขาถอนใจคร่ำครวญอีกครั้ง

“น่าเสียดายๆ เมืองจักรพรรดิขาวเชียวนะ สถานที่แห่งการแจ้งมรรคของจักรพรรดิขาวดึกดำบรรพ์ ว่ากันว่าบนกำแพงเมืองนั่นประทับ ‘ภาพจักรพรรดิขาวเคลื่อนกระบี่ตัดมรรค’ สามสิบหกภาพ ภายในซ่อนความลึกลับชั้นสูงของมรรคกระบี่ ก็ไม่รู้ว่าจริงหรือไม่…”

หญิงชราที่ยืนอยู่ในเรือนยิ้มตาหยีมองเด็กหนุ่มชุดผ้าป่าน ในใจเองก็นึกถึงเมืองจักรพรรดิขาว

เพียงแต่ความคิดของนางกับเด็กหนุ่มชุดผ้าป่านไม่เหมือนกัน

จักรพรรดิขาวดึกดำบรรพ์ เป็นบุคคลชั้นยอดที่สุดยอดมากคนหนึ่งจริงๆ ทว่าในกาลเวลาไร้สิ้นสุดที่ผ่านมา ในเผ่าจักรพรรดิตระกูลจินเทียนกลับไม่มีบุคคลที่สะดุดตาซึ่งสามารถเทียบเคียงกับจักรพรรดิขาวดึกดำบรรพ์ได้เลย

โดยเฉพาะพวกคนรุ่นเยาว์รุ่นนี้ของเผ่าจักรพรรดิตระกูลจินเทียน มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เรียกได้ว่ามีความสามารถ

สำหรับเมืองจักรพรรดิขาวแห่งนั้น…

ก็ไม่ปรากฏ ‘เจ้าเมือง’ ที่สามารถได้รับการยกย่องจากผู้คนในใต้หล้าเหมือนอย่างจักรพรรดิขาวมานานมากแล้ว

แน่นอนว่านี่เป็นความเห็นของหญิงชรา

ในเขตแดนดาราจักรพรรดิขาว รวมถึงทั้งทางเดินโบราณฟ้าดารา เผ่าจักรพรรดิตระกูลจินเทียนยังคงยิ่งใหญ่ไม่อาจดูเบาได้

……

ไม่ได้ไปเยือนเมืองจักรพรรดิขาว ในใจหลินสวินเองก็เสียดายเล็กน้อย

ยุคดึกดำบรรพ์ เรียกได้ว่าเป็นมหายุคทองคำของการฝึกปราณ ยุคสมัยนั้นให้กำเนิดระดับจักรพรรดิที่โดดเด่นเหนืออดีตและปัจจุบันมากมาย

จักรพรรดิขาวก็เป็นหนึ่งในนั้น

เมืองจักรพรรดิขาวถูกมองว่าเป็นหนึ่งในหกเมืองโบราณฟ้าดารา ทั้งยังเป็นจักรพรรดิขาวสร้างขึ้นกับมือ ที่แห่งนั้นจะไม่ธรรมดาเพียงใด

สามวันหลังจากนั้น

ผู้ฝึกปราณที่มุ่งหน้าไปยังโลกใหญ่จินเทียน ไม่ว่าเพื่อทำการค้าหรือเพียงแค่เที่ยวเล่นล้วนทยอยกลับมา

และในขณะเดียวกัน บนยานลมกรดก็มีแขกเพิ่มขึ้นมาอีกกลุ่ม ต้องการโดยสารยานมุ่งหน้าไปโลกใหญ่หงเหมิง

จนกระทั่งยานลมกรดออกจากโลกใหญ่จินเทียนในวันนี้ ตอนที่เคลื่อนเข้าฟ้าดาราอันกว้างใหญ่ก็มีข่าวแพร่ออกมา…

บุคคลชั้นยอดรุ่นเยาว์ส่วนหนึ่งของเผ่าจักรพรรดิตระกูลจินเทียนปรากฏตัวบนยานลมกรด โดยสารยานนี้มุ่งหน้าสู่โลกใหญ่หงเหมิงเช่นกัน!

ชั่วขณะเดียวผู้แข็งแกร่งทุกคนบนยานลมกรดต่างตะลึง

เผ่าจักรพรรดิตระกูลจินเทียน นั่นเป็นถึงทายาทจักรพรรดิขาวดึกดำบรรพ์!

ว่ากันว่าเพื่อต้อนรับเหล่าแขกผู้มีเกียรติที่มาจากเผ่าจักรพรรดิตระกูลจินเทียนเหล่านี้ หอเสียงสวรรค์จัดเรือนพักบนเขารับแขกไว้ชุดหนึ่งโดยเฉพาะ

ว่ากันว่าในบรรดาแขกสูงศักดิ์จากตระกูลจินเทียน มีสาวงามชั้นเลิศคนหนึ่งชื่อว่าจินเทียนเสวียนเยวี่ย ฝึกปราณมาหนึ่งร้อยแปดสิบปี ก้าวสู่ระดับมกุฎราชันอริยะแล้ว ชื่ออยู่ในอันดับที่สี่สิบเก้าของ ‘กระดานราชันอริยะปวงสวรรค์’

คนผู้นี้ท่าทางสง่างาม ผิวขาวกระจ่าง ราวกับผู้กล้าหญิงแห่งสวรรค์

ว่ากันว่าแขกสูงศักดิ์เหล่านี้ของตระกูลจินเทียนจะมุ่งหน้าไปโลกใหญ่หงเหมิง เพื่อเข้าร่วม ‘งานชุมนุมถกมรรค’ ที่หกเรือนมรรคใหญ่ร่วมมือกันจัดขึ้น

ว่ากันว่า…

ข่าวต่างๆ เกี่ยวกับเหล่าแขกสูงศักดิ์เผ่าจักรพรรดิตระกูลจินเทียน ในคืนนี้ผุดออกมาราวกับหน่อไม้หลังฝน ดึงดูดเสียงวิพากษ์วิจารณ์และเสียงถอนหายใจด้วยความตกใจมากมายนับไม่ถ้วน

นอกจากแขกสูงศักดิ์เผ่าจักรพรรดิตระกูลจินเทียนเหล่านี้แล้ว คนที่ขึ้นยานในครั้งนี้ยังมีผู้ฝึกปราณคนอื่นๆ เพียงแต่เมื่อเทียบกับแขกสูงศักดิ์เผ่าจักรพรรดิตระกูลจินเทียนแล้ว ก็ไม่ได้ดึงดูดความสนใจมากนัก

แต่กลับมีเพียงหลินสวินที่สังเกตเห็นความผิดปกติบางอย่าง

ในบรรดาผู้ฝึกปราณเหล่านั้น มีภิกษุที่ใส่หมอกฟาง สวมชุดผ้าป่านเนื้อหยาบ เดินเท้าเปล่าอยู่กลุ่มหนึ่ง!

กลิ่นอายบนร่างของภิกษุเหล่านี้ ทำให้หลินสวินได้กลิ่นแปลกๆ อยู่รางๆ

นั่นเป็นกลิ่นอายของผู้สืบทอด ‘แดนกษิติครรภ์’ ซึ่งเป็นหนึ่งในสามยักษ์ใหญ่โลกมืด!

ต่อให้พวกเขาไม่ได้ใส่ชุดภิกษุสีดำ ต่อให้พวกเขาเรียกตัวเองว่ามาจากสำนักผู้บำเพ็ญธรรมที่ชื่อว่า ‘อารามหยก’ ทว่ายังคงปิดหลินสวินไม่ได้

เขาคุ้นเคยกับกลิ่นอายของผู้สืบทอดแดนกษิติครรภ์มากเกินไปแล้วจริงๆ เขาซึ่งฝึกคัมภีร์มหาครรภ์จุติ สามารถจับกลิ่นอายอันเป็นเอกลักษณ์เหล่านี้ได้อย่างชัดเจน

‘หรือลาหัวล้านแดนกษิติครรภ์เหล่านี้สังเกตเห็นร่องรอยของข้าแล้ว’

หลินสวินนั่งคิดอยู่ในเรือน สายตายิ่งลึกล้ำ

Battling Records of the Chosen One

Battling Records of the Chosen One

BRCO, Tian Jiao Zhan Ji, 天骄战纪
Score 8
Status: Ongoing Type: Author: , Released: 2016 Native Language: Chinese
ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์ ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้ แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน… In the vast and boundless continent Cangtu, there were ancient sects governing the Ten Old Domains, unworldly immortal clans beyond the Blue Sky, and primordial demon gods dominating the dark abyss that together created a great number of brilliant stories over the long course of the history. In this very world, there was a boy, named Lin Xun, who embarked on his journey to the pinnacle of strength alone through cultivation and spiritual tattoo inscribing. Escaping alone from the Mine Prison where he had been living since he was adopted by Master Lu, Lin Xun knew nothing about his identity but the little information his adopter, Master Lu, had told him. With two ancient spiritual tools Master Lu gave to him before the destruction of the Mine Prison, Lin Xun started his journey to Ziyao Empire, where he is supposed to find out the truth of his lost Spiritual Vessel and the person who slaughtered his family, leaving him orphaned. Will he be able to unlock the mysteries of the two magic treasures, unveil the secrets of his identity and create a legend of his own?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset