Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1850 แดนแห่งปริศนา

โลกใหญ่หงเหมิง!

บนยานลมกรด ยามนี้ทุกคนล้วนหยุดการเคลื่อนไหว แววตาเหม่อลอย จิตใจสั่นไหว

ใหญ่!

ใหญ่จนไม่อาจจินตนาการได้!

ดวงดาวที่อยู่ข้างหน้ามันล้วนเล็กจ้อยดั่งธุลี ธารดาราที่อยู่เบื้องหน้าก็เหมือนเข็มขัดหยกขาวที่ใช้คาดเอวสายหนึ่ง

กลิ่นอายแรกกำเนิดตลบอบอวล ปกคลุมโลกใหญ่หงเหมิงนั้นด้วยเงาแสงลึกลับ

นอกเรือนพัก

หลินสวินก็นิ่งเงียบเช่นกัน จิตใจสั่นสะท้าน

ปีนั้นตอนที่ไปถึงกำแพงเมืองด่านจักรพรรดิของดินแดนรกร้างโบราณ หลินสวินก็เคยถูกทำให้ตกตะลึง รู้สึกได้ว่าตัวเล็กจ้อยเป็นพิเศษ

แต่ยามนี้เมื่อเปรียบเทียบกับโลกใหญ่หงเหมิงนั่น กำแพงเมืองด่านจักรพรรดิก็ดูเล็กจ้อยเกินไปแล้ว…

“หึๆ เจอคนบ้านนอกที่ไม่เคยเห็นโลกกว้างอีกกลุ่มแล้ว”

เสียงหัวเราะระลอกหนึ่งดังมาจากจุดที่ห่างไกล

หลินสวินเพิ่งสังเกตเห็นว่าบนเส้นทางฟ้าดาราใกล้เคียงมียานข้ามโลกมากมายสวนกันไปมาแน่นขนัด ยานข้ามโลกแต่ละลำล้วนใหญ่โตประหนึ่งผืนดินที่ลอยล่อง มองจากไกลๆ ยังดูโอ่อ่ายิ่งใหญ่นัก

เสียงหัวเราะนั้นดังมาจากยานข้ามโลกลำหนึ่ง

ยานข้ามโลกนั้นลักษณะคล้ายกระบี่ยักษ์ที่ยาวหลายพันจั้งเล่มหนึ่ง พาให้รู้สึกว่าสูงตระหง่านโดดเด่นและแหลมคม เหมือนว่าจะทะลวงธารดาราได้!

บนยานข้ามโลกมีธงรบที่แสงมรรคเจิดจ้าไหลบ่าแขวนอยู่ บนนั้นเขียนว่า ‘เรือนมรรคจักรวาล’

บนยานข้ามโลก ชายหญิงกลุ่มหนึ่งพิงราวกั้นทอดสายตามองไปไกล ชายหล่อเหลาหญิงงดงาม ท่วงท่าสง่าผ่าเผย แต่ละคนประหนึ่งเทพเซียน

“นี่คือ ‘ยานกระบี่แรกสรวง’ ของเรือนมรรคจักรวาล!”

มีคนสูดหายใจเย็นเยียบ

เรือนมรรคจักรวาล นั่นเป็นถึงหนึ่งในหกสำนักใหญ่ที่สะเทือนฟ้าดารา ในทางเดินโบราณฟ้าดาราที่กว้างใหญ่ใครเล่าจะไม่รู้จัก

“ในสายตาของผู้กล้าอย่างพวกเขา คนต่างถิ่นอย่างพวกเรา… ช่างไม่ต่างอะไรกับคนบ้านนอกจริงๆ”

มีคนยิ้มเยาะตนเอง น้ำเสียงเจือความอิจฉา ใฝ่ฝัน และมีความน้อยเนื้อต่ำใจที่รู้สึกต่ำต้อยอย่างหนึ่ง

แม้แต่บุคคลระดับกึ่งจักรพรรดิก็ไม่วายทอดถอนใจ รู้อยู่ว่าถูกเย้ยหยัน แต่ก็ยังรู้สึกโกรธไม่ได้

ด้วยอีกฝ่ายคือเรือนมรรคจักรวาล!

ขุมอำนาจใหญ่ยักษ์ซึ่งแข็งแกร่งพอที่จะทำให้ผู้คนยำเกรงและหวาดกลัว!

เมื่อเห็นภาพนี้ด้วยตาตนเอง เห็นการตอบสนองของทุกคนบนยาน ตอนนี้หลินสวินเพิ่งตระหนักได้อย่างลึกซึ้ง ว่าเรือนมรรคจักรวาลที่เป็นหนึ่งในหกเรือนมรรคใหญ่มีอิทธิพลน่ากลัวระดับใด

ถูกคนเย้ยหยัน แต่ไม่กล้าแม้แต่จะบันดาลโทสะ!

“พี่ชาย นั่นเป็นถึงผู้สืบทอดของเรือนมรรคจักรวาล แต่ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่หวาดกลัวเท่าไหร่”

บนกำแพงที่อยู่ห่างเรือนพักไป เด็กหนุ่มชุดป่านยิ้มน้อยๆ พลางเอ่ยปาก เขาสังเกตเห็นสีหน้าของหลินสวินว่ามีความนิ่งสงบต่างจากคนอื่น

หลินสวินเหลือบมองเจ้าหมอนี่เล็กน้อย ไม่ได้พูดอะไร

ปีนั้นที่แหล่งสถานคุนหลุน พวกเยี่ยนฉุนจวิน กู่ฉางซินอริยะกระบี่ชุดดำที่มาจากเรือนมรรคจักรวาล ล้วนตายในมือเขาทั้งสิ้น

เด็กหนุ่มชุดป่านพลันกล่าวขึ้น “พี่ชาย อีกเดี๋ยวก็จะถึงโลกใหญ่หงเหมิงแล้ว ที่นั่นใหญ่โตจนไม่อาจจินตนาการได้ เจ้ามีสถานที่ที่อยากไปไหม”

หลินสวินพยักหน้า

“ถ้าอย่างนั้นพวกเราไปด้วยกันดีไหม”

เด็กหนุ่มชุดป่านดวงตาวาววาบ “ครั้งนี้ข้าแค่มาท่องโลกเท่านั้น พวกเราร่วมทางไปด้วยกันได้นี่นา เจ้ายอมรับจินเทียนเสวียนเยวี่ยนั่นแล้ว ก็พิจารณารับน้องเล็กอย่างข้าไว้สักคนสิ”

น้ำเสียงเจือความคาดหวัง

แต่ไม่รอให้หลินสวินเอ่ยปาก เด็กหนุ่มชุดป่านก็ถูกหญิงชราใช้มือข้างหนึ่งหิ้วขึ้นมา พากลับเข้าไปในเรือน ไม่ว่าเขาจะตะโกนโหวกเหวกอย่างไรก็ไม่เป็นผล

หลินสวินยิ้ม หากให้เด็กหนุ่มชุดป่านอยู่ข้างกาย ก็เหมือนมีราชันมารจอมก่อกวนที่หาเรื่องได้ตลอดเวลาติดตามมาด้วยคนหนึ่ง อยู่ห่างเขาไว้จะดีที่สุด

“เมื่อ ‘การต่อสู้ถกมรรค’ ที่หกเรือนมรรคใหญ่จัดขึ้นเริ่มต้น พี่ชายเจ้าต้องมาให้ได้นะ ข้าเฝ้ารอที่จะได้เจอเจ้าอีก”

เสียงเอ็ดตะโรของเด็กหนุ่มชุดป่านดังมาแต่ไกล

การต่อสู้ถกมรรค?

หลินสวินก็เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน เพียงแต่คร้านจะใส่ใจ ในใจก็ไม่คิดจะเข้าไปยุ่งอยู่แล้ว

ถึงอย่างไรหากลองกางนิ้วนับดู สามขุมอำนาจใหญ่ในหกเรือนมรรคใหญ่ อย่างเรือนมรรคดึกดำบรรพ์ เรือนมรรคจักรวาล เรือนมรรคยุทธจักร ล้วนมองเขาเป็นหนามยอกอก เมื่อหกปีก่อนก็เริ่มประกาศตั้งค่าหัว ออกหมายจับเขาไปทั่วหล้าแล้ว

หากเขาปรากฏตัวที่การต่อสู้ถกมรรคเช่นนี้ เมื่อฐานะเปิดเผย ผลที่ตามมานั้นแน่นอนว่าไม่อยากจะคิด

จินเทียนเสวียนเยวี่ยยืนเงียบสงบอยู่ข้างกายหลินสวินตลอด ท่าทางสง่างามดั่งบทกวีและภาพวาด

“ผู้อาวุโส?”

ทันใดนั้นนางพลันส่งเสียงประหลาดใจ

ก็ไม่รู้ว่าจักรพรรดิกระบี่วายุในชุดคลุม หน้าตาซูบตอบปรากฏตัวอยู่ในที่นั้นตั้งแต่เมื่อไหร่

“นางหนู อีกเดี๋ยวก็จะถึงโลกใหญ่หงเหมิงแล้ว ข้าเองก็จะกลับไปแล้ว จากนี้ไปเจ้าต้องดูแลตัวเองให้ดี”

จักรพรรดิกระบี่วายุกล่าวกำชับ

จินเทียนเสวียนเยวี่ยกล่าวอืมออกมาคำหนึ่ง แววตาเจือความอาวรณ์

“ไปเถอะ ข้าจะคุยกับสหายน้อยอวี่เสวียนสักหน่อย”

จักรพรรดิกระบี่วายุพูดพลางเหลือบมองหลินสวินที่อยู่ข้างๆ จินเทียนเสวียนเยวี่ยเห็นดังนี้ก็ถอยห่างไปชั่วคราวอย่างรู้จักกาลเทศะ

“สหายน้อย ภายหน้าไม่ว่าเสวียนเยวี่ยจะทำผิดอะไร เจ้าก็ลงโทษนางได้ ไม่จำเป็นต้องใส่ใจท่าทีของตระกูลจินเทียนของข้า”

สายตาของจักรพรรดิกระบี่วายุทอดมองโลกใหญ่หงเหมิงที่อยู่ห่างออกไปนั้น ก่อนสูดหายใจลึกกล่าว “เอาเป็นว่าจากนี้ไปนางหนูนี่คือผู้ติดตามของเจ้า จะเป็นหรือตายก็ไม่เกี่ยวข้องกับตระกูลจินเทียนของข้า”

หลินสวินพยักหน้า “ขอแค่นางเชื่อฟังข้า ข้าย่อมไม่มองนางเป็นคนนอก”

จักรพรรดิกระบี่วายุยิ้มกล่าว “สหายน้อยพูดเช่นนี้ ข้าก็วางใจแล้ว”

เขาชี้โลกใหญ่หงเหมิงที่อยู่ห่างออกไปแล้วกล่าว “สหายน้อย เจ้ารู้ไหมว่าในสายตาของบุคคลระดับจักรพรรดิเห็นโลกนี้เป็นอย่างไร”

หลินสวินอยากรู้ขึ้นมาทันที

นัยน์ตาของจักรพรรดิกระบี่วายุฉายแววทอดถอนใจ “ประโยคเดียว ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางของมัน ด้วยมันใหญ่โตเกินไป ใหญ่จนทำให้ผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยังรู้สึกว่าตนตัวเล็กจ้อย นับแต่โบราณมาไม่มีใครรู้เลยว่าเขตแดนของมันอยู่ที่ไหน”

หลินสวินอดสูดหายใจหนาวเยือกไม่ได้ ระดับจักรพรรดิคนหนึ่ง ยามขยับตัวล้วนมีพลังที่กำราบโลกเล็กแห่งหนึ่งได้ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าโลกใหญ่หงเหมิง กลับรู้สึกว่าตนตัวเล็กจ้อย!

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าโลกใหญ่หงเหมิงที่ผู้คนรู้จักทุกวันนี้เป็นแค่ยอดเขาน้ำแข็ง โลกใบนี้ยังมี ‘แดนแห่งปริศนา’ อีกมากมาย”

จักรพรรดิกระบี่วายุกล่าว “แดนแห่งปริศนาพวกนั้น บ้างอันตรายเกินไปประหนึ่งเขตผนึก บ้างราวกับทางตัน เมื่อใดที่เข้าไปจะไม่อาจหวนกลับมา”

“แม้แต่ยักษ์ใหญ่อย่างหกเรือนมรรคใหญ่และสิบเผ่านักรบใหญ่ ในกาลเวลาไร้สิ้นสุดที่ผ่านมา ต่อให้สำรวจอย่างต่อเนื่องก็ยังไม่อาจล่วงรู้ถึงภาพรวมของแดนแห่งปริศนานั้นได้อย่างทะลุปรุโปร่ง”

“ว่ากันตามจริงก็เพราะโลกใหญ่หงเหมิงใหญ่โตเกินไป แดนแห่งปริศนาบางแห่ง แม้แต่ระดับจักรพรรดิก็ยังไม่กล้าเข้าไป”

แดนแห่งปริศนา!

หลินสวินจดจำคำเรียกนี้ไว้ขึ้นใจแล้ว

“สำหรับคนทั่วไป การกราบเข้าสำนักหนึ่งก็เหมือนมัจฉากระโดดข้ามประตูมังกร ประสบความสำเร็จในก้าวเดียว”

จักรพรรดิกระบี่วายุแววตาลึกล้ำ “แต่สำหรับยักษ์ใหญ่อย่างหกเรือนมรรคใหญ่และสิบเผ่านักรบใหญ่ ใครสำรวจและเสาะหา ‘แดนแห่งปริศนา’ ได้มากกว่าก็เป็นฝ่ายได้เปรียบในการต่อสู้ของสำนัก”

หลินสวินเลิกคิ้ว “นี่เป็นเพราะเหตุใด”

“เพราะในแดนแห่งปริศนาเต็มไปด้วยสิ่งที่ไม่อาจระบุซึ่งยากจะจินตนาการ มีอันตรายนับไม่ถ้วน แต่ก็มีวาสนาและศุภโชคนับไม่ถ้วนเช่นกัน”

จักรพรรดิกระบี่วายุพูดถึงตรงนี้ ก็ยกตัวอย่างที่ถูกคนทั่วไปกล่าวถึงอย่างเพลิดเพลินเรื่องหนึ่งขึ้นมา

สมัยดึกดำบรรพ์ ‘ภูเขาเทพแสงเขียว’ ที่เรือนมรรคโลกาสวรรค์อาศัยอยู่ เดิมทีก็เป็นแดนแห่งปริศนาที่เก่าแก่ดึกดำบรรพ์แห่งหนึ่ง ไม่เคยถูกผู้คนค้นพบ

บรรพจารย์ผู้ก่อตั้งเรือนมรรคโลกาสวรรค์ดั้นด้นฝ่าความลำบากอันตรายมาที่นี่ ค้นพบ ‘ศิลามรรค’ ก้อนหนึ่งที่เกิดจากบ่อเกิดแรกกำเนิดบนภูเขาลูกนี้ ทำให้แจ้งมรรคได้ในคราเดียว ด้วยเหตุนี้จึงก่อตั้งสำนักโบราณที่เกริกก้องสะท้านทั่วหล้าอย่างเรือนมรรคโลกาสวรรค์แห่งนี้ขึ้น

ศิลามรรคก้อนนี้ยังถูกเรียกว่า ‘ศิลามรรคโลกาสวรรค์’ เป็นสมบัติพิทักษ์สำนักของเรือนมรรคโลกาสวรรค์

ตั้งแต่นั้นมาภูเขาเทพแสงเขียวก็ถูกมองเป็น ‘แดนแห่งเรือนมรรค’ มีผู้คนรู้จักคุ้นเคย

หลินสวินได้ยินดังนี้ก็อดสูดหายใจเย็นไม่ได้ ศิลามรรคก้อนเดียวก่อเกิดเป็นขุมอำนาจเรือนมรรคแห่งหนึ่ง! และภูเขาเทพแสงเขียวที่เดิมทีเป็นแดนแห่งปริศนาก็มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วหล้าด้วยเหตุนี้!

นี่ก็หมายความว่าในแดนแห่งปริศนานั้น ยังมีวาสนาอื่นที่ไม่ได้ด้อยไปกว่าศิลามรรคโลกาสวรรค์นั่นอยู่เช่นกันใช่หรือไม่

จริงดังคาด ครู่ต่อมาจักรพรรดิกระบี่วายุก็พูดว่า “ในกาลเวลาไร้สิ้นสุดที่ผ่านมานี้ นอกจากเรือนมรรคโลกาสวรรค์แล้ว ขุมอำนาจใหญ่อื่นๆ เกือบทั้งหมดก็เคยได้รับประโยชน์ที่คาดไม่ถึงจากแดนแห่งปริศนา”

“บ้างเจอถ้ำสวรรค์แดนมงคลหายากที่ทำให้ตื่นตระหนกไปทั่วหล้า”

“บ้างสืบเสาะพบวัตถุดิบวิญญาณและแหล่งแร่ลึกลับที่ไม่อาจระบุได้บางส่วน ทำให้อิทธิพลและอาณาเขตของตนพัฒนาขึ้นไปอีกขั้น”

“บ้าง…”

จากคำพูดของจักรพรรดิกระบี่วายุ ในแดนแห่งปริศนานั้นก็เหมือนโลกที่ไม่อาจระบุมากมาย ทั้งมีวาสนาและศุภโชคที่คาดไม่ถึงอยู่มากเช่นกัน

มีถ้ำสวรรค์แดนมงคลที่สามารถทำให้ผู้คนตกตะลึง มีวัตถุดิบวิญญาณ แหล่งแร่ สมบัติเทพ โอสถสมบัติตามธรรมชาติที่อัศจรรย์เกินคาดเดา…

ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ถึงบรรพกาล ตั้งแต่บรรพกาลถึงปัจจุบัน หลายปีมานี้ไม่รู้ว่ามีขุมอำนาจและผู้ฝึกปราณเท่าไหร่ที่เคยมุ่งหน้าไปเสาะหาแดนแห่งปริศนาอย่างบ้าคลั่ง

แต่ส่วนใหญ่ล้วนเสียหายอย่างหนักหน่วง

มีเพียงขุมอำนาจใหญ่บางส่วนและผู้ฝึกปราณที่แข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้รับศุภโชคซึ่งพาให้คนน้ำลายหกจากแดนแห่งปริศนา

ด้วยแดนแห่งปริศนาก็มีอันตรายที่ไม่อาจระบุนับไม่ถ้วน

แม้ว่าหลายปีนี้แดนแห่งปริศนาจะถูกขุมอำนาจนับไม่ถ้วนสำรวจมาก่อน ทั้งบางแห่งยังถูกบุกเบิกเป็นแดนสมบัติที่เหมาะให้ผู้ฝึกปราณบำเพ็ญเพียรอยู่อาศัย…

แต่จนถึงปัจจุบันก็ยังมีแดนแห่งปริศนามากมายที่ไม่เคยมีใครไปสำรวจ ต่อให้เป็นบุคคลระดับจักรพรรดิ ก็ยังไม่รู้ว่าแดนแห่งปริศนานั้นมีมากและกว้างใหญ่แค่ไหนกันแน่!

เมื่อรู้เรื่องพวกนี้ ในใจหลินสวินก็เหลือแค่ความคิดเดียว โลกใหญ่หงเหมิงนี้… กว้างใหญ่เกินไปแล้ว!

ก็ไม่แปลกที่บุคคลระดับจักรพรรดิจะรู้สึกว่าตนตัวเล็กจ้อย ทอดถอนใจว่า ‘ไม่รู้ตื้นลึกหนาบาง’

“สหายน้อย ความแข็งแกร่งของหกเรือนมรรคใหญ่และสิบเผ่านักรบใหญ่ แน่นอนว่าไม่มีสิ่งใดต้องสงสัย พวกเขาเป็นตัวแทนของขุมอำนาจใหญ่ที่เป็นเลิศที่สุดบนทางเดินโบราณฟ้าดารา แต่รอเมื่อไปถึงโลกใหญ่หงเหมิงแล้ว อย่าได้ดูหมิ่นขุมอำนาจและสำนักอื่นบางส่วน”

จักรพรรดิกระบี่วายุกล่าวเตือน “อย่างอารามยอดทักษิณ แดนพิสุทธิ์กัมปนาท รวมถึงเผ่าจักรพรรดิดึกดำบรรพ์อื่นๆ ก็มีรากฐานที่แข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่งเช่นกัน”

หลินสวินพยักหน้า

วันนี้หลังจากพูดคุยกับหลินสวินครู่ใหญ่ จักรพรรดิกระบี่วายุก็ลอยล่องจากไป

โลกใหญ่หงเหมิงดูเหมือนจะใกล้แค่เอื้อม แต่ยังต้องล่องยานอยู่ในห้วงอากาศอีกครึ่งเดือนกว่าจะถึงในที่สุด

พอมองอีกครั้งในระยะประชิดก็เห็นแค่ความขุ่นมัว รวมถึงดวงดาวนับไม่ถ้วนที่หมุนวนอยู่ในกลิ่นอายแรกกำเนิด

หงเหมิง ลักษณ์แห่งจักรวาลแรกกำเนิด ไม่อาจล่วงรู้ถึงขนาดและความกว้างของมันได้

นี่ก็คือที่มาของชื่อโลกใหญ่หงเหมิง!

Battling Records of the Chosen One

Battling Records of the Chosen One

BRCO, Tian Jiao Zhan Ji, 天骄战纪
Score 8
Status: Ongoing Type: Author: , Released: 2016 Native Language: Chinese
ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์ ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้ แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน… In the vast and boundless continent Cangtu, there were ancient sects governing the Ten Old Domains, unworldly immortal clans beyond the Blue Sky, and primordial demon gods dominating the dark abyss that together created a great number of brilliant stories over the long course of the history. In this very world, there was a boy, named Lin Xun, who embarked on his journey to the pinnacle of strength alone through cultivation and spiritual tattoo inscribing. Escaping alone from the Mine Prison where he had been living since he was adopted by Master Lu, Lin Xun knew nothing about his identity but the little information his adopter, Master Lu, had told him. With two ancient spiritual tools Master Lu gave to him before the destruction of the Mine Prison, Lin Xun started his journey to Ziyao Empire, where he is supposed to find out the truth of his lost Spiritual Vessel and the person who slaughtered his family, leaving him orphaned. Will he be able to unlock the mysteries of the two magic treasures, unveil the secrets of his identity and create a legend of his own?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset