ในโถงอันเก่าแก่ ทั้งเจ้าบ้านและแขกพูดคุยกันอย่างมีความสุข บรรยากาศกลมเกลียว
เวลาหนึ่งก้านธูปหลังจากนั้น งานเลี้ยงได้จบลง ทุกคนแยกย้าย ในโถงเหลือเพียงหลินสวินกับเหิงเซียว
เหิงเซียวถึงพูดว่า “สหายน้อย เกี่ยวกับฐานะของเสอจื่อ เสอหลิง โปรดบอกทีเถอะ”
หลินสวินใคร่ครวญคร่าวๆ ก็เอ่ยว่า “เรื่องนี้เกี่ยวพันหลายเรื่อง หลังจากข้าบอกไป หวังว่าผู้อาวุโสจะไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก ไม่เช่นนั้นเกรงว่าจะทำให้สำนักยุทธ์เสวียนจีพบเจอปัญหา”
เหิงเซียวสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาทันที พยักหน้าเล็กน้อย
“หากข้าคาดเดาไม่ผิด พวกเขาเป็นผู้สืบทอดที่มาจากสำนักโบราณจรัสเทพ”
หลินสวินพูดออกมาเช่นนี้ แม้เหิงเซียวจะเตรียมใจเอาไว้นานแล้วก็ยังแข็งทื่อไปทั้งตัว พูดอย่างหวั่นไหว “เป็น… เป็นไปได้อย่างไร”
เกาะเทพเวหาทมิฬ หนึ่งในเจ็ดสำนักใหญ่โบราณของแคว้นเมฆา แม้อยู่ในอันดับสี่ แต่รากฐานพลังก็เก่าแก่และแข็งแกร่งอย่างที่สุด
ในฐานะที่อยู่แคว้นเดียวกัน เหิงเซียวยังเป็นเจ้าสำนักสำนักยุทธ์เสวียนจี จึงรู้สถานการณ์ของเกาะเทพเวหาทมิฬดี
แต่เขาก็ยังคิดไม่ถึง ว่าเกาะเทพเวหาทมิฬกับสำนักโบราณจรัสเทพเกี่ยวข้องกันได้อย่างไร
ควรรู้ว่าสำนักโบราณจรัสเทพเป็นหนึ่งในสามยักษ์ใหญ่แห่งโลกมืด ผู้แข็งแกร่งในสำนักราวกับนักฆ่าในที่มืด ใช้วิธีการทุกอย่าง แปลกประหลาดและชั่วร้ายที่สุด ทำให้ผู้คนได้ยินชื่อแล้วอกสั่นขวัญแขวน
ไม่เพียงในโลกใหญ่หงเหมิง ทั้งทางเดินโบราณฟ้าดารา ขอเพียงพูดถึงโลกมืด ไม่มีใครไม่เกลียดชังและมองเป็นศัตรู!
“สหายน้อย เรื่องนี้แน่ใจแล้วหรือ”
เหิงเซียวสีหน้าอึมครึมไม่สามารถสงบได้
หลินสวินพยักหน้า นี่ก็ไม่มีอะไรที่น่าปิดบัง
เห็นเช่นนี้เหิงเซียวเงียบไปครู่หนึ่ง พูดเสียงขรึม “มิน่าก่อนหน้านี้ถึงไม่เคยรู้ว่า เกาะเทพเวหาทมิฬยังมีคนอย่างเสอจื่อ เสอหลิง ที่แท้พวกเขาก็คือผู้สืบทอดสำนักโบราณจรัสเทพ”
“ดูท่าในเกาะเทพเวหาทมิฬจะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ไม่มีใครรู้อย่างแน่นอน จึงไปร่วมมือกับสำนักโบราณจรัสเทพ!”
พูดถึงตรงนี้เหิงเซียวประสานหมัดพูด “สหายน้อย ขอบคุณมากที่เตือน หากไม่ใช่เพราะเจ้ามาครั้งนี้ พวกเราคงยังไม่รู้”
หลินสวินยิ้มพูด “บังเอิญพานพบ เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น กลับเป็นผู้อาวุโสนั่นแหละ อย่าเปิดเผยเรื่องนี้จะดีที่สุด หลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกพวกเล่นสกปรกจับจ้องเข้า”
เหิงเซียวสูดหายใจลึกคราหนึ่งแล้วพยักหน้า
“จริงสิ สหายน้อยมาคราวนี้มีเรื่องอะไรให้ข้าช่วยหรือ”
เหิงเซียวถาม
หลินสวินกล่าว “ข้าอยากเจอผู้อาวุโสป๋อหยาจื่อ บรรพจารย์เปิดสำนักสักครั้ง”
เหิงเซียวอึ้ง คิดจนหัวแตกก็คิดไม่ถึงว่าหลินสวินกลับขอร้องเช่นนี้
เขาส่ายหน้ายิ้มขื่น “สหายน้อย เจ้าให้โจทย์ยากกับพวกเราจริงๆ บรรพจารย์ป๋อหยาจื่อแจ้งมรรคในยุคบรรพกาล ออกจากสำนักไปนานแล้ว ไร้ซึ่งข่าวคราว อย่าว่าแต่ข้า แม้แต่เหล่าคนใหญ่คนโตสำนักยุทธ์เสวียนจี จนตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าบรรพจารย์ป๋อหยาจื่อยังอยู่บนโลกหรือไม่”
หลินสวินอึ้งไปเช่นกัน เอ่ยอย่างใคร่ครวญ “ผู้อาวุโส ยามผู้อาวุโสป๋อหยาจื่อจากไป ได้ทิ้งของอะไรไว้หรือไม่ อย่างเช่นจดหมาย ม้วนหยกจำพวกนั้น”
หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น เหิงเซียวคงโมโหไปแล้ว ของที่บรรพจารย์ทิ้งเอาไว้ ใช่สิ่งที่ใครจะดูได้ง่ายๆ หรือ
แต่กับหลินสวิน เหิงเซียวกลับไม่สามารถโกรธได้ เขาถามว่า “สหายน้อย บอกเหตุผลกับข้าได้หรือไม่”
หลินสวินอธิบายอย่างใจเย็น “สหายคนหนึ่งของข้ามีความเกี่ยวข้องกับผู้อาวุโสป๋อหยาจื่ออย่างมาก ถึงได้มาเยี่ยมเยียนโดยพลการ”
ในใจเหิงเซียวสะท้าน สหายของจินตู๋อีนี่ถึงกับรู้จักบรรพจารย์ป๋อหยาจื่อหรือ
แววตาของเขาแปลกประหลาดขึ้นมา ใคร่ครวญครู่หนึ่งก็เอ่ยว่า “สหายน้อย เจ้าตามข้ามา”
ว่าแล้วก็ลุกขึ้นเดินออกนอกโถงไป
เขามรรคลมเทพเรียงตัวเป็นลูกคลื่น
ยอดเขาหนึ่งในนั้นที่มีชื่อว่า ‘หวนคืนเร้นลับ’ เป็นสถานที่ต้องห้ามของสำนักยุทธ์เสวียนจีตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีเพียงคนใหญ่คนโตชั้นสูงที่ครองอำนาจอย่างแท้จริงจึงจะมีโอกาสเข้าไป
ยอดเขาหวนคืนเร้นลับสูงพันจั้ง สันโดษสูงชัน เวิ้งว้างว่างเปล่า ราวกับกระบี่ยักษ์สีดำสนิทเล่มหนึ่งแทงเข้าชั้นเมฆ
หลังผ่านกระบวนผนึกเป็นชั้นๆ ที่ปกคลุมหนาแน่น เหิงเซียวก็พาหลินสวินมาถึงหน้ายอดเขาหวนคืนเร้นลับ
“สหายน้อย นี่ก็คือสถานที่แจ้งมรรคของบรรพจารย์ป๋อหยาจื่อในตอนนั้น และเป็นที่นี่ที่บรรพจารย์ป๋อหยาจื่อสร้างรากฐานไม่เสื่อมสลายของสำนักยุทธ์เสวียนจี”
เหิงเซียวเผยสีหน้าเคารพ
หลินสวินเงยหน้ามอง ทั้งบนล่างยอดเขาหวนคืนเร้นลับแทรกซ้อนกัน ยอดเขาถูกหมอกปกคลุมทั้งปี ดูลึกลับอย่างที่สุด นอกจากนี้ก็ไม่ได้มีอะไรแปลก
“ศิษย์เหิงเซียวคารวะผู้อาวุโส”
ทันใดนั้นเหิงเซียวสีหน้าเคร่งขรึม คำนับไปทางถ้ำแห่งหนึ่งใต้ยอดเขาหวนคืนเร้นลับ
“มาด้วยเรื่องอะไร”
เสียงอันชราภาพแหบพร่าดังขึ้น
หลินสวินจึงพบอย่างตกใจ ว่าที่หน้าถ้ำแห่งนั้นถึงกับมีชายชราที่เผ้าผมหนวดเครายุ่งเหยิง ใบหน้าเหี่ยวย่นราวกับเปลือกไม้คนหนึ่ง
เขานั่งขัดสมาธิอยู่บนก้อนหิน กลิ่นอายทั่วตัวกลับประหนึ่งผสานกับยอดเขาหวนคืนเร้นลับ แม้สายตามองเห็น แต่ในจิตรับรู้กลับไม่สามารถสังเกตเห็นการดำรงอยู่ของเขาได้!
เหิงเซียวเอ่ยเสียงนอบน้อม บอกจุดประสงค์การมาของหลินสวิน
ในเวลาเดียวกันเหิงเซียวสื่อจิตบอกหลินสวิน ‘ผู้อาวุโสท่านนี้เป็นผู้พิทักษ์คนหนึ่งของสำนักยุทธ์เสวียนจี ตั้งแต่ตอนที่ข้าเข้าสำนัก ผู้อาวุโสท่านนี้ก็ควบคุมดูแลอยู่ที่นี่มาโดยตลอด ไม่รู้กี่ปีที่ท่านไม่เคยไปจากที่แห่งนี้แม้แต่ก้าวเดียว’
หลินสวินพลันประสานหมัด “จินตู๋อีคารวะผู้อาวุโส”
ชายชรารูปร่างผอมซูบคนนี้จะต้องเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่เก็บซ่อนฝีมือไว้ลึกล้ำอย่างไม่ต้องสงสัย!
“เจ้าหนุ่ม เจ้าบอกว่าสหายของเจ้ารู้จักป๋อหยาจื่อหรือ”
ชายชราผอมซูบหลับตาโดยตลอด สีหน้าราวกับหินที่ไร้ซึ่งคลื่นอารมณ์ เสียงแหบพร่า
ที่น่าตกใจกว่าคือเขากลับเรียกชื่อ ‘ป๋อหยาจื่อ’ ตรงๆ!
“ไม่ผิด”
หลินสวินพยักหน้า ศิษย์พี่หลี่เสวียนเวย… แน่นอนว่านับเป็นสหายของตนด้วย
“หึ!”
ชายชราผอมซูบลืมตา ชั่วขณะนั้นประหนึ่งเบิกม่านแดนแรกกำเนิด สายตาคู่หนึ่งเท่านั้น กลับสะท้อนความไม่แน่นอนของสรรพสิ่ง ยิ่งเป็นความน่าสะพรึงของการเปลี่ยนแปลงในจักรวาล
และหลินสวินที่ถูกจับจ้องเพียงรู้สึกเกร็งไปทั้งตัว หายใจลำบาก ในใจอดสั่นไหวไม่ได้ ผู้เฒ่าคนนี้จะต้องเป็นระดับจักรพรรดิคนหนึ่งอย่างแน่นอน!
“อายุยังน้อยแต่ปากดีนัก ป๋อหยาจื่อจากไปเมื่อหนึ่งแสนสามหมื่นสี่พันเก้าร้อยสามสิบหกปีที่แล้ว เขาอุปนิสัยเย็นชาเย่อหยิ่ง สหายที่คบทั้งชีวิตมีนับคนได้ แต่เหตุใดข้าไม่เคยได้ยินว่าป๋อหยาจื่อยังมีสหายคนอื่น”
ชายชราผอมซูบคำพูดเย็นชา “ยิ่งไปกว่านั้น สหายของป๋อหยาจื่อล้วนเป็นบุคคลสมัยบรรพกาล จะคบหากับคนรุ่นเยาว์อย่างเจ้าได้อย่างไร”
คำพูดแฝงการไล่เลียงกระแทกใจคน
สีหน้าของเหิงเซียวเปลี่ยนไปเล็กน้อย ไม่คิดว่าท่าทีที่ผู้อาวุโสมีต่อหลินสวินจะถึงกับไม่เกรงใจเช่นนี้
กลับเห็นหลินสวินพูดอย่างนิ่งสงบ “ข้าไม่ใช่จะอวดตัว หลายปีที่ฝึกปราณมา บุคคลสมัยบรรพกาลข้าเจอมามาก ตั้งแต่ก่อนจะบรรลุอริยะก็เคยเป็นสหายกับกึ่งจักรพรรดิกลุ่มหนึ่ง เคยพูดคุยกับระดับจักรพรรดิ หากใช้อายุตัดสิน พูดได้เพียงว่าผู้อาวุโสอคติไปบ้างแล้ว”
เหิงเซียวตกใจ ไม่คิดว่าคนหนุ่มอย่างหลินสวิน คำพูดและท่าทีกลับไม่เกรงใจเสียยิ่งกว่าผู้อาวุโสท่านนี้
สิ่งที่ทำให้เขาผิดคาดที่สุด คือความหมายในคำพูดของหลินสวิน
ก่อนจะบรรลุอริยะ ก็เคยเป็นสหายกับกึ่งจักรพรรดิ พูดคุยกับระดับจักรพรรดิแล้วอย่างนั้นหรือ!?
ฟังอย่างไรก็รู้สึกเหลือเชื่อ…
ชายชราผอมซูบเองก็อึ้งเล็กน้อย เอ่ยว่า “เจ้าบอกว่าข้าอคติหรือ”
หลินสวินไม่พูดไร้สาระ พลิกฝ่ามือคราหนึ่ง สมบัติมากมายพลันปรากฏ ลำแสงพร่างพราว เผยปรากฏการณ์ประหลาดที่แตกต่างกันออกมา
พวกนี้ล้วนเป็นของที่เหล่าสิ่งที่มีชีวิตซึ่งเขาเคยใช้โคมไฟมหามรรคไร้มลทินช่วยเหลือมอบให้ ตอนที่อยู่ในสมรภูมิกระหายเลือดของป่าต้นหม่อน
มีขนปีกที่หงส์เซียนกระดูกขาวมอบให้
มีปลอกระบี่สีเขียวขนาดเจ็ดชุ่นที่คนยักษ์กระดูกขาวซึ่งสะพายกระบี่หักมอบให้
มีกระพรวนหยกเขียวที่จิ้งจอกกระดูกขาวมอบให้
มีเขี้ยวแวววาวที่อสรพิษกระดูกขาวมอบให้
มีกระดองเต่าหยกขาวที่เต่าเฒ่ากระดูกขาวมอบให้…
สารพัดสารพัน
ตอนจักรพรรดิดาบชิงหยางก็เคยถูกขังในป่าต้นหม่อน ตอนจากไปได้ให้ป้ายคำสั่งหนึ่งกับหลินสวิน ซึ่งก็เพราะป้ายคำสั่งนี้ จึงทำให้หลินสวินได้รับความช่วยเหลือจากอวี่ชิงหยาง ตอนที่อยู่แดนต้าอวี่
และตอนนี้ หลินสวินหยิบสมบัติเหล่านี้ พิสูจน์ให้ชายชรารูปร่างผอมซูบคนนั้นดู!
ก็เห็นชายชรารูปร่างผอมซูบตาเป็นประกาย กวาดผ่านสมบัติเหล่านั้น
“ขนบริสุทธิ์ของเผ่าหงส์เซียน ปลอกกระบี่ของเผ่ามหัตหลวง กระดิ่งดาวไฟของเผ่าจิ้งจอกเทพเก้าช่องทาง เขี้ยวบริสุทธิ์ของเผ่างูสวรรค์ปีกนิล เกราะแห่งชะตาฟ้าของเผ่าตะพาบมังกรมหามายา…เหล่านี้เป็นหลักฐานยืนยันของแต่ละเผ่าจริง ล้ำค่าอย่างที่สุด ไม่ได้ให้ใครง่ายๆ”
ชายชรารูปร่างผอมซูบพูดถึงตรงนี้ สีหน้าได้แฝงความแปลกประหลาด ราวกับประหลาดใจ และราวกับตกตะลึง
เหิงเซียวที่อยู่ข้างๆ สูดหายใจเข้าด้วยความตกใจ
เผ่าหงส์เซียนดำรงอยู่ในระดับเดียวกันกับเผ่าเจินหลง ลึกลับเกินคาดเดา ได้ยินว่าอาศัยอยู่ใน ‘เขาหงส์เซียน’ อันไกลโพ้นที่ไม่รู้อยู่ที่ไหน
เผ่ามหัตหลวง หนึ่งในเผ่านักรบใหญ่ฟ้าดารา ยึดครองแคว้นกลางมรรคแห่งโลกใหญ่หงเหมิง!
เผ่าจิ้งจอกเทพเก้าช่องทาง…
แต่ละเผ่าล้วนมีชื่อเสียงอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ในสมัยบรรพกาล หลักฐานยืนยันของในเผ่าพวกเขา คนทั่วไปไม่มีทางได้ครอบครอง!
ตอนที่มองหลินสวินอีกครั้ง สายตาของเหิงเซียวได้เปลี่ยนไปจากเดิมแล้ว
ตอนแรก เขาคิดว่าอีกฝ่ายมาจากเผ่าจักรพรรดิตระกูลจินเทียน แต่ภายหลังจึงรู้ว่า อีกฝ่ายสกุลจิน ไม่ใช่สกุลจินเทียน
จากนั้นตอนที่รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการพบรรพจารย์ผู้เปิดสำนัก ยิ่งทำให้เขาประหลาดใจ
แต่ตอนนี้ พอเห็นหลักฐานยืนยันอันล้ำค่าที่เป็นตัวแทนของแต่ละเผ่า เขาเองยังอดสงสัยไม่ได้ว่า จินตู๋อีนี่…มีที่มาอย่างไรกันแน่
ฮูม…
หลินสวินเก็บจดหมายพวกนี้ “ตอนนี้ ผู้อาวุโสเชื่อหรือยัง”
ชายชรารูปร่างผอมซูบเงียบไปครู่หนึ่ง เอ่ยว่า “เหล่านี้ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่า สหายคนนั้นของเจ้ามีความเกี่ยวข้องกับป๋อหยาจื่อ หากเจ้าสามารถให้เหตุผลที่เพียงพอจะเชื่อ ข้าจะบอกเจ้าว่า ตอนนั้นหลังจากจากไป ป๋อหยาจื่อไปที่ไหน”
หลินสวินมุ่นคิ้ว ลังเลเล็กน้อย
หากเขาบอกว่า ป๋อหยาจื่อคือลูกศิษย์ที่ศิษย์พี่ของคนรับไว้ลวกๆ ชายชรารูปร่างผอมซูบคนนี้…คงจะระเบิดความโกรธจนฆ่าคนแน่…
เหิงเซียวเองก็อึ้งงัน ที่แท้ผู้อาวุโสคนนี้กลับรู้เบาะแสของบรรพจารย์ผู้เปิดสำนักอย่างนั้นหรือ
ทว่าเหตุใดเมื่อก่อนเขาไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้
ชายชรารูปร่างผอมซูบสีหน้าเย็นชา เสียงแหบพร่า “เจ้าหนุ่ม ข้าถามเจ้าอีกอย่าง มาหาป๋อหยาจื่อครั้งนี้ เพราะอะไร”
แม้ท่าทียังคงไร้ความปรานีอย่างมาก แต่ประโยคนี้กลับทำให้หลินสวินหัวใจกระตุกวูบ
เขาพูดอย่างครุ่นคิด “ข้าน้อยมาคราวนี้ เพราะอยากถามผู้อาวุโสป๋อหยาจื่อเรื่องหนึ่ง”
“เรื่องอะไร” ชายชรารูปร่างผอมซูบถาม
หลินสวินสูดหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง สายตาจ้องมองชายชรารูปร่างผอมซูบ พูดอย่างจริงจัง “ข้าอยากรู้เบาะแสของอาจารย์ผู้ถ่ายทอดวิชาของผู้อาวุโสป๋อหยาจื่อ”