ไม่เพียงแค่หลินสวิน เหิงเซียวเองก็รู้สึกเหมือนสมองว่างเปล่า
บรรพจารย์ก่อตั้งสำนักยุทธ์เสวียนจีผู้ยิ่งใหญ่ ระดับจักรพรรดิที่ชื่อเสียงสะเทือนใต้หล้ามาตั้งแต่สมัยบรรพกาล บุคคลระดับตำนานที่เพียงแค่ปรากฏตัวก็สร้างความฮือฮาทั่วทั้งแคว้นเมฆา
แต่ตอนนี้กลับเหมือนผู้อ่อนอาวุโสกว่า คุกเข่าคำนับอยู่ตรงหน้าคนรุ่นเยาว์คนหนึ่ง!
ไม่ว่าใครเห็นภาพนี้ก็คงทำอะไรไม่ถูก
ทว่าป๋อหยาจื่อกลับไม่ได้ต่อต้านสักนิด ท่าทางและคำพูดล้วนเป็นธรรมชาติขนาดนั้น ให้ความรู้สึกสง่าผ่าเผย สมเหตุสมผล!
ฟ้า ดิน เจ้านาย พ่อแม่ญาติพี่น้อง อาจารย์ ห้ากตัญญู
อาจารย์คือสูงสุด!
แม้หลินสวินเป็นศิษย์น้องของอาจารย์เขา แต่ตามศักดิ์ก็ยังคงอาวุโสกว่าเขา!
เงียบไปนานหลินสวินจึงฝืนรับความจริงนี้ เอ่ยว่า “ป๋อหยาจื่อ ลุกขึ้นเถอะ”
ป๋อหยาจื่อถึงได้ลุกขึ้น เขาเหลือบมองเหิงเซียวที่อยู่ข้างๆ แวบหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “เจ้าอยู่ที่นี่แหละ ไม่ต้องไปไหน”
เหิงเซียวที่ตะลึงงันรีบพยักหน้า
“อาจารย์อาเล็ก เชิญเข้ามาคุยกันก่อน”
ป๋อหยาจื่อทำท่า ‘เชิญ’ แล้วเดินนำไปที่ถ้ำใต้ยอดเขาหวนคืนเร้นลับ
หลินสวินตามไปติดๆ
มองจนเงาร่างของทั้งสองลับตาไป เหิงเซียวถึงได้รู้สึกตัว พลันตบหน้าผากพึมพำ “อาจารย์อาเล็กหรือ จินตู๋อีคนนี้มีความเป็นมาอย่างไรกันแน่”
……
ภายในถ้ำเป็นอีกโลกหนึ่ง ท้องฟ้ากว้างใหญ่มาก ผนังทั้งสี่ด้านแขวนโคมสำริด ตรงกลางมีเบาะรองนั่งอันหนึ่ง
ป๋อหยาจื่อพูดว่า “อาจารย์อาเล็ก นี่คือที่ปิดด่านของข้า เรียบง่ายไปหน่อยได้โปรดอย่าถือสา”
“ผู้อาวุโส… ช่างเถอะ เรียกท่านว่าป๋อหยาจื่อแล้วกัน ในเมื่อท่านถือข้าเป็น… อาจารย์อาเล็ก ก็ฟังข้าสักหน่อยได้หรือไม่”
หลินสวินจนปัญญา คำพูดคำจาติดขัดมาก
“อาจารย์อาเล็กเชิญว่ามาได้ไม่ต้องกังวล”
ป๋อหยาจื่อท่าทางพร้อมฟังอย่างเคารพ
ริมฝีปากของหลินสวินกระตุกอย่างยากจะสังเกตเห็น ถึงค่อยเอ่ยว่า “ในระดับความอาวุโสของสำนัก ข้าสูงกว่าท่านอยู่บ้างจริงๆ แต่ตอนนี้ข้าไม่ได้ใช้ฐานะที่แท้จริง ท่าน… ไม่ต้องเรียกข้าว่าอาจารย์อาเล็กอีกเป็นอย่างไร”
ป๋อหยาจื่อไม่ใช่คนหัวดื้อ พยักหน้าน้อยๆ กล่าว “สหายยุทธ์ เชิญนั่งคุยกัน”
หลินสวินจึงรู้สึกผ่อนคลายลงไม่น้อย นั่งลงกับพื้น
ป๋อหยาจื่อสะบัดแขนเสื้อ โต๊ะเตี้ยตัวหนึ่งปรากฏขึ้น ด้านบนมีชาหนึ่งกาและถ้วยชาสองใบ
“อาจารย์… สหายยุทธ์ เล่าเรื่องของท่านอาจารย์ให้ข้าฟังได้หรือไม่”
ป๋อหยาจื่อรินชาพลางเอ่ยถาม
หลินสวินขบคิดแล้วเล่าสถานการณ์ของตนไปตามความจริง
เมื่อรู้ว่าหลินสวินเองก็ไม่เคยเจอหลี่เสวียนเวย ป๋อหยาจื่อเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดอย่างโศกเศร้า “ก็จริง ข้าเคยได้ยินท่านอาจารย์พูดว่าการรับศิษย์ของคีรีดวงกมลอิงตามวาสนา อีกทั้งผู้สืบทอดในสำนักต่างกระจัดกระจายอยู่ในที่ต่างๆ ส่วนใหญ่รู้จักเพียงแค่ชื่อของกันและกัน ไม่เคยพบหน้า ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นความจริง”
หลินสวินเห็นด้วยอย่างยิ่ง
หลายปีที่ผ่านมาเขาเองก็เคยเจอเพียงศิษย์พี่สี่สิบเก้าราชันผีเสวียนคง ศิษย์พี่เก้าเก่ออวี้ผู ศิษย์พี่สิบเอ็ดผู่เจิน ศิษย์พี่สิบสามหลี่เสวียนเวย
คนอื่นๆ อย่างเช่นศิษย์พี่ที่ครอบครองวิชาอริยะยุทธ์ รวมถึงศิษย์พี่เสวี่ยหยาที่ไม่รู้อยู่เป็นลำดับเท่าไร เขาเพียงแค่รู้จักชื่อ แต่ไม่เคยเจอ
นอกจากนี้ ศิษย์พี่อีกหลายคนที่ร่วงหล่นในศึกมรรคของเหล่าจักรพรรดิที่ศิษย์พี่เก่ออวี้ผูเคยพูดถึง ต่อไปก็ไม่มีทางได้เจอแล้ว
ไม่นานหลินสวินก็พูดถึงเรื่องที่ตนออกจากแหล่งสถานคุนหลุน
ตอนที่ไปจากแหล่งสถานคุนหลุน เขาเคยเข้าไปอยู่ในฟ้าดาราอันลึกลับแห่งหนึ่ง ทว่าระหว่างทางกลับเจอบุคคลระดับจักรพรรดิคนแล้วคนเหล่าขวางทาง
ตอนนั้นก็เพราะพลังเจตจำนงเสี้ยวหนึ่งของหลี่เสวียนเวยปรากฏออกมาจากสามพันเคลื่อนคล้อย ช่วยตนโจมตีระดับจักรพรรดิเหล่านั้นจนถอยทัพ!
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เขารอดออกมาอย่างหวุดหวิด ทรมานอยู่ในฟ้าดาราที่เงียบสงัดผืนนั้นหกปีเต็มกว่าจะมาถึงโลกลำนำสวรรค์ในทางเดินโบราณฟ้าดารา
ได้รู้เรื่องนี้สายตาของป๋อหยาจื่อทอประกาย เผยสีหน้าเคารพ “ท่านอาจารย์เขาไม่เคยทำให้คนผิดหวัง แม้จะเป็นพลังเจตจำนงเสี้ยวหนึ่ง ก็ไม่ใช่ที่บุคคลระดับจักรพรรดิพวกนั้นจะสู้ได้!”
หลินสวินนึกถึงสถานการณ์ในตอนนั้นก็รู้สึกสะท้านไหวอย่างยิ่ง
ความองอาจของศิษย์พี่สิบสามหลี่เสวียนเวย เรียกได้ว่าไร้ศัตรูจริงๆ!
“สหายยุทธ์ แม้ข้าไม่รู้เบาะแสของท่านอาจารย์ แต่ข้าเชื่อว่าท่านอาจารย์ยังมีชีวิตอยู่ และไม่ได้ทิ้งไว้เพียงพลังแห่งเจตจำนงเสี้ยวหนึ่ง”
ป๋อหยาจื่อพูดอย่างจริงจัง
หลินสวินพยักหน้าพูด “ข้าเองก็คิดเช่นนี้ จึงได้มาสืบเบาะแสของเขาที่สำนักยุทธ์เสวียนจี”
บุคคลแห่งยุคอย่างหลี่เสวียนเวย จะตายได้อย่างไร
ถึงขั้นในใจหลินสวิน ไม่ว่าจะเป็นหลี่เสวียนเวย หรือพวกราชันผีเสวียนคงและศิษย์พี่เก่ออวี้ผูที่เคยเจอ ต่างดูเหมือนร่วงหล่นไปแล้ว แต่หลินสวินมักรู้สึกว่าแม้พวกเขาจะร่วงหล่น แต่ไม่มีทางจากไปอย่างไร้สุ้มเสียงเช่นนี้!
บางทีความรู้สึกเช่นนี้อาจจะไร้เดียงสาไปหน่อย แต่หลินสวินยินยอมที่จะเชื่อความรู้สึกนี้
ทันใดนั้นหลินสวินตระหนักได้ถึงเรื่องหนึ่ง เอ่ยว่า “ป๋อหยาจื่อ เมื่อครู่นี้เจ้าบอกว่าเจ้าเองก็ไม่รู้เบาะแสของศิษย์พี่ใหญ่หลี่เสวียนเวยอย่างนั้นหรือ”
ป๋อหยาจื่อส่ายหน้า “จากกันคราวก่อนจนถึงตอนนี้ ข้ายังไม่เคยเจอท่านอาจารย์อีกเลย แม้แต่ข่าวคราวของเขาก็ไม่ได้ยิน”
หลินสวินผิดหวังในใจ
เขามาสำนักยุทธ์เสวียนจีคราวนี้เพื่อหาเบาะแสของหลี่เสวียนเวยจากป๋อหยาจื่อ เช่นนี้จึงจะสามารถคาดเดาได้ว่า ตอนนี้ผู้สืบทอดคีรีดวงกมลเหล่านั้นอยู่ที่ไหน
แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้แล้ว
‘ตอนนั้นศิษย์พี่ผู่เจินจากไปอย่างเร่งรีบ และเหมือนไม่อยากพูดถึงเรื่องของคีรีดวงกมลกับข้า…’
หลินสวินใคร่ครวญ เขายังจำได้ว่าตอนนั้นศิษย์พี่เก่ออวี้ผูพูดเพียงว่า ศิษย์พี่หลี่เสวียนเวยรับป๋อหยาจื่อเป็นลูกศิษย์ฝากนาม บอกตนว่าสามารถลองสืบข่าวจากป๋อหยาจื่อได้
แต่ตอนนี้ป๋อหยาจื่อเองก็ไม่สามารถให้คำตอบตนได้
“สหายยุทธ์ เชิญดื่มชา”
ป๋อหยาจื่อยื่นชาจอกหนึ่งให้หลินสวิน
หลินสวินเอ่ยขอบคุณแล้วจึงรับมือด้วยสองมือ พูดเรื่อยเปื่อย “จริงสิ หลายปีมานี้เหตุใดท่านจึงเปลี่ยนชื่อซ่อนนาม ดูแลที่นี่ด้วยฐานะผู้พิทักษ์เล่า”
ป๋อหยาจื่อถอนหายใจเอ่ยว่า “เรื่องนี้ ความจริงเกี่ยวกับฐานะของข้า”
ว่าแล้วเขาก็บอกเล่าเหตุผล
สมัยบรรพกาล หลังจากศึกมรรคของเหล่าจักรพรรดิสิ้นสุดลง ป๋อหยาจื่อไปจากสำนักยุทธ์เสวียนจี มุ่งหน้าไปสืบข่าวของที่สนามรบเหล่าจักรพรรดิ จู่ๆ ก็ถูกระดับจักรพรรดิสองคนร่วมมือกันโจมตี
สุดท้ายป๋อหยาจื่อบาดเจ็บหนักหนีจากมา
หลังจากนั้นป๋อหยาจื่อจึงรู้ว่า ระดับจักรพรรดิสองคนนั้นมาจากเรือนมรรคยุทธจักรและเรือนมรรคจักรวาล
และเหตุผลก็เพราะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายรู้มาจากไหน ว่าเขาเป็นผู้สืบทอดคีรีดวงกมล!
“ตอนนั้นข้าเพียงได้ยินว่าศิษย์ร่วมสำนักบางส่วนของท่านอาจารย์ร่วงหล่นในสนามรบเหล่าจักรพรรดิ อยากเก็บร่างของพวกเขาไปฝังให้เรียบร้อย ไม่คิดว่ากลับเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น”
ป๋อหยาจื่อพูดถึงเรื่องนี้ หว่างคิ้วปรากฏความขุ่นมัวและเกลียดชัง
“โชคดีที่ตอนนั้นข้าปกปิดฐานะ อีกฝ่ายก็เพียงแค่สงสัยว่าข้าอาจเป็นผู้สืบทอดคีรีดวงกมล คิดไม่ถึงว่าข้าจะเป็นบรรพจารย์บุกเบิกสำนักยุทธ์เสวียนจี ถึงทำให้สำนักยุทธ์เสวียนจีรอดจากพิบัติภัยได้”
“แต่เป็นเช่นนี้ข้าก็จะไม่สามารถเปิดเผยฐานะที่แท้จริงได้ ทำได้เพียงแต่งเรื่องโกหกบอกว่าข้าท่องเที่ยวทั่วโลก ไม่เช่นนั้นหากเกิดอะไรขึ้น สำนักยุทธ์เสวียนจีคงต้องพังพินาศแล้ว”
จนตอนนี้หลินสวินจึงตระหนักได้ในทันที
เขาขมวดคิ้วทันทีเอ่ยว่า “สำนักใหญ่ทั้งสองอย่างเรือนมรรคยุทธจักรและเรือนมรรคจักรวาล เห็นคีรีดวงกมลเป็นศัตรูหรือ”
ป๋อหยาจื่อพยักหน้า “ไม่ผิด ศึกมรรคของเหล่าจักรพรรดิในตอนนั้น แม้ข้าไม่เคยเข้าร่วม แต่ก็เคยได้ยินว่าขุมอำนาจที่เข้าร่วมศึกใหญ่ครั้งนี้ แทบจะมองคีรีดวงกมลเป็นศัตรูทั้งสิ้น”
“มีขุมอำนาจมากแค่ไหนกันแน่ข้าเองก็ไม่แน่ใจ แต่ในนั้นจะต้องมีเรือนมรรคยุทธจักร เรือนมรรคจักรวาล เรือนมรรคดึกดำบรรพ์ รวมถึงคนใหญ่คนโตอย่างเผ่าจักรพรรดิตระกูลข่งด้วย
หลินสวินอดตกใจไม่ได้
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินว่าคู่ต่อสู้ของคีรีดวงกมลคือใคร และเพิ่งรู้เป็นครั้งแรกว่าในหกเรือนมรรคใหญ่ อย่างน้อยก็มีสามแห่งที่มองคีรีดวงกมลเป็นศัตรู!
ตอนนั้นเกิดอะไรขึ้นในศึกมรรคของเหล่าจักรพรรดิกันแน่
ในใจหลินสวินไม่สามารถสงบได้ ยิ่งรู้สึกว่าในนั้นมีความลับที่ไม่มีใครรู้ซ่อนอยู่!
คิดๆ แล้วป๋อหยาจื่อเป็นถึงระดับจักรพรรดิคนหนึ่ง แม้แต่เขาเองยังรู้เรื่องศึกมรรคของเหล่าจักรพรรดิไม่มากนัก แค่คิดก็รู้ว่าสิ่งที่ซ่อนอยู่ในศึกนี้ยิ่งใหญ่เพียงใด!
“จริงสิ”
จู่ๆ ป๋อหยาจื่อก็นึกถึงเรื่องหนึ่ง ลุกขึ้นเดินไปอยู่ตรงหน้าผนังหิน บนผนังหินวาดภาพหนึ่งไว้ เป็นภาพชายหนุ่มที่ถือขวดหยกมันแพะสามชุ่นคนหนึ่ง ยืนตระหง่านกลางทะเลเมฆพร้อมรอยยิ้ม
ชายหนุ่มรูปลักษณ์หล่อเหล่า สง่างามอิสระ ดุจกระเรียนท่องเมฆา คิ้วและมุมปากแฝงรอยยิ้มที่ชวนให้จิตใจสงบ
นี่ก็คือภาพวาดของหลี่เสวียนเวย!
หลินสวินอดเดินเข้าไปพินิจภาพวาดภาพนั้นอย่างประหลาดใจไม่ได้
“สหายยุทธ์เจ้าดูตรงนี้ ในมือท่านอาจารย์ถือขวดมหามรรคไร้ขอบเขตอยู่”
ป๋อหยาจื่อพูด
หลินสวินมองอย่างละเอียดก็พลันพบจุดที่แตกต่าง ขวดมหามรรคไร้ขอบเขตในภาพนี้ แม้วาดออกมาแต่กลับดูเหมือนมายาและและเลื่อนลอยมาก
“ศิษย์พี่ ล่วงเกินแล้ว”
หลินสวินยื่นมือไปลูบขวดมหามรรคไร้ขอบเขตในภาพวาดนั้น
ป๋อหยาจื่อคิดจะห้าม แต่สุดท้ายก็ทนเอาไว้ คนตรงหน้าเป็นถึงศิษย์น้องของท่านอาจารย์ ทำเช่นนี้ก็ไม่ถือว่าไม่เคารพ
ตอนที่ปลายนิ้วสัมผัสกับขวดมหามรรคไร้ขอบเขตกลับประหนึ่งสัมผัสความว่างเปล่า เหมือนทะลุผ่านเงาแสงชั้นหนึ่ง
ในใจหลินสวินวูบไหว หยิบขวดมหามรรคไร้ขอบเขตของตนออกมากดไปที่ภาพวาดนั้น ทันใดนั้นขวดมหามรรคไร้ขอบเขตจริงและปลอมสองอันหลอมเป็นหนึ่งเดียวกัน
วู้ม!
ละอองแสงที่งดงามสายหนึ่งปลิวว่อน ซัดจนหลินสวินเซถอยไปหลายก้าว
ป๋อหยาจื่อนัยน์ตาหดรัด
ก็เห็นกลางทะเลเมฆในภาพวาด หลี่เสวียนเวยที่ถือขวดมหามรรคไร้ขอบเขตยืนยิ้มอยู่ราวกับมีชีวิตขึ้นมา ทั้งตัวแผ่แสงมรรคที่ราวกับมายาดุจภาพฝันชั้นหนึ่ง
“ศิษย์น้องเล็ก”
ในภาพวาด หลี่เสวียนเวยแววตาผ่อนคลายเหยียดกายขึ้น เอ่ยพร้อมรอยยิ้มว่า “จากกันนอกแหล่งสถานคุนหลุน พวกเราได้เจอกันอีกแล้ว”
เสียงดังกังวาน
หลินสวินสะท้านไปทั้งตัว แทบไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเอง
“อ้อ ชาวประมงน้อยก็อยู่ด้วย”
หลี่เสวียนเวยกะพริบตา ยิ้มเบิกบานอย่างมาก
ป๋อหยาจื่อหน้าเปลี่ยนสียกใหญ่แล้ว ร้องเสียงหลงอย่างตื่นเต้น “ท่านอาจารย์! เป็นท่านจริงหรือ”
ในสายตาของหลี่เสวียนเวยเผยความทอดถอนใจ เอ่ยว่า “ภาพวาดเจตจำนงภาพนี้ข้าเป็นคนทิ้งเอาไว้ เจ้าหนูอย่างเจ้ายังจะคิดว่าเป็นเท็จอีกหรือ”
ป๋อหยาจื่ออึ้งงันอยู่ตรงนั้นแล้ว มุมปากสั่นเทา นี่… เป็นท่านอาจารย์หลี่เสวียนเวยจริงๆ!
——