หลินสวินมองดูเงียบๆ อยู่สักพัก ก็เดินตามออกไปยังเรือนอันโอ่โถงหลังนั้น
“ค่าสมัครหนึ่งพันผลึกมรรค”
ชายผู้เฝ้าประตูใหญ่ของเรือนคนหนึ่งเอ่ยเสียงเข้ม
หลินสวินโยนถุงเก็บของถุงหนึ่งออกไป ชายผู้นั้นประเมินเล็กน้อยก็เก็บไว้ แล้วส่งป้ายคำสั่งหยกขาวป้ายหนึ่งให้หลินสวิน
“ใช้ป้ายคำสั่งนี้เข้าไปลงชื่อและทดสอบในเรือน ไปเถอะ คนต่อไป”
ชายผู้นั้นโบกมือเอ่ย
ในเรือนใหญ่เหมือนเป็นอีกจักรวาลหนึ่ง พื้นที่ใหญ่โตเป็นที่สุด
ยามหลินสวินเข้ามาก็มีเงาร่างมากมายยืนอยู่ในนั้นก่อนแล้ว แต่ละคนล้วนรูปลักษณ์ไม่ธรรมดา ทั้งยังมีคนรุ่นอาวุโสบางส่วนปะปนอยู่ในนั้น แผ่อานุภาพแตกต่างกันไป
เมื่อหลินสวินเข้ามา สายตาหลายคู่ก็กวาดมา
หากเปลี่ยนเป็นคนธรรมดาอยู่ตรงนี้ เกรงว่าคงตกใจจนขวัญหายไปนานแล้ว
หลินสวินกลับคล้ายไม่รู้สึกอะไร เดินมาถึงกลางเรือนอย่างสุขุมเยือกเย็น
ที่นี่มีโต๊ะอยู่ตัวหนึ่ง เงาร่างเจ็ดสายทั้งชายหญิงนั่งหลังตรงแน่วอยู่หลังโต๊ะ แผ่กลิ่นอายอันเป็นเอกลักษณ์ของระดับกึ่งจักรพรรดิ
พวกเขาเป็นคนใหญ่คนโตที่มาจากเจ็ดสำนักใหญ่ของแคว้นเมฆา ควบคุมดูแลที่นี่ พร้อมควบตำแหน่งผู้ทดสอบ
หงอวี่ ผู้อาวุโสสำนักยุทธ์เสวียนจีก็นั่งอยู่ในกลุ่มนั้นด้วย
เมื่อได้เห็นหลินสวิน นัยน์ตาเขาหดรัดเล็กน้อย กำลังจะลุกขึ้นต้อนรับ แต่สุดท้ายยังอดทนไว้ ทำเพียงพยักหน้าอย่างจับสังเกตไม่ได้ให้หลินสวิน
“เอามือกดลงบน ‘มุกส่องวิญญาณ’”
ชายชราชุดแดงคนหนึ่งเอ่ยเสียงเข้ม
บนโต๊ะมีมุกวิญญาณที่มีประกายแสงขุ่นมัวไหลเวียน ขนาดเท่ากำมือ โปร่งแสงเปล่งประกายเม็ดหนึ่งวางอยู่
หลินสวินยกมือขึ้นวางบนนั้น
ในขณะเดียวกันเขาก็สังเกตได้อย่างฉับไวว่าสายตามากมายในเรือนล้วนพากันมองมาที่ตน
หรือพูดอีกอย่าง กำลังมองมุกส่องวิญญาณเม็ดนั้น
วิ้ง!
มุกส่องวิญญาณมีแสงเทพไหวเคลื่อน ลายมรรคสีทองเส้นแล้วเส้นเล่าค่อยๆ รวมตัวกันในอากาศ มีเสียงอริยบุคคลท่องธรรมดังขึ้นท่ามกลางความคลุมเครือ
“มกุฎราชันอริยะอีกคนหนึ่ง!”
“ก็ยังดี เป็นแค่ผู้มีพลังปราณระดับมกุฎราชันอริยะขั้นกลางเท่านั้น ไม่ถึงกับโดดเด่นนัก”
“ขอเพียงเป็นคนที่เหยียบย่างขอบเขตมกุฎล้วนมีรากฐานพลังเหนือธรรมดาทั้งนั้น ถ้าเป็นไปได้หลีกเลี่ยงการต่อสู้กับอีกฝ่ายจะดีที่สุด”
ชั่วพริบตาเดียวผู้แข็งแกร่งในเรือนไม่น้อยต่างเผยสีหน้าครุ่นคิด
ทั้งยังมีคนไม่คิดเช่นนั้น ชักสายตากลับไป
พวกสะดุดตาชั้นเลิศอย่างฉู่ชิว กู่เจี้ยนสิงต่างคร้านจะสนใจอีก
การตัดสินความแข็งแกร่งหรืออ่อนแอในศักยภาพของผู้แข็งแกร่งคนหนึ่ง สิ่งที่เป็นรูปธรรมที่สุดก็คือความสูงต่ำของพลังปราณ
เห็นได้ชัดว่าพลังปราณระดับมกุฎราชันอริยะขั้นกลางของหลินสวินนั้น ไม่ได้อยู่ในสายตาของบุคคลชั้นยอดอย่างพวกเขาอยู่แล้ว
หลินสวินสังเกตเห็นว่าสายตาของทุกคนในที่นั้นเปลี่ยนไป จึงรู้ว่าเหตุใดผู้สมัครเหล่านี้ถึงเลือกรออยู่ที่นี่
เป้าหมายก็เพื่อสังเกตการณ์พลังปราณของผู้สมัครด้วยมุกส่องวิญญาณ ใช้สิ่งนี้มาเลือกคู่ต่อสู้ เตรียมตัวป้องกันให้ดี
“พอแล้ว”
ชายชราชุดแดงผมขาวที่อยู่หลังโต๊ะพยักหน้า เอาป้ายคำสั่งหยกขาวในมือของหลินสวินไปแล้วพูดว่า “ชื่อล่ะ”
“จินตู๋อี”
หลินสวินเอ่ย
หลายคนในที่นั้นเผยสีหน้ากังขา จินตู๋อี… นี่เป็นใครมาจากไหน
มีเพียงหงอวี่ที่รู้เบื้องหลังชัดเจน แต่เขาจะพูดออกมาได้อย่างไร
เมื่อหนึ่งเดือนก่อนผู้แข็งแกร่งเกาะเทพเวหาทมิฬมาท้าสู้ที่สำนักยุทธ์เสวียนจี แม้สุดท้ายจะพ่ายแพ้กลับไปเบื้องหน้าหลินสวิน แต่หลังจากจากไปก็ไม่ได้ป่าวประกาศเรื่องนี้
ถึงอย่างไรเกาะเทพเวหาทมิฬก็เสียหน้าแล้ว จะป่าวประกาศเรื่องขายหน้าเช่นนี้ได้อย่างไร
ถึงขั้นที่สุดท้ายเกาะเทพเวหาทมิฬยังไม่รู้ว่าตกลงจินตู๋อีที่เอาชนะเสอจื่อกับเสอหลิงได้มีฐานะใดกันแน่
ส่วนภายในสำนักยุทธ์เสวียนจีก็ถูกเหิงเซียวออกคำสั่งปิดปากไว้นานแล้ว ดังนั้นเรื่องที่เกาะเทพเวหาทมิฬพ่ายแพ้ในตอนนั้นจึงไม่มีใครกล้าเปิดเผย
นี่ก็เป็นสาเหตุที่หลินสวินต้องการใช้ฐานะของจินตู๋อีมาลงชื่อ
ฐานะอย่างอวี่เสวียนก่อความเคลื่อนไหวใหญ่โตในแคว้นเขียวไปแล้ว ย่อมใช้ไม่ได้อีก ก็ยังดีที่ฐานะจินตู๋อีนี้ปลอดภัยเป็นอย่างยิ่ง
ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นชื่อของเจ้าคางคก ทั้งยังไร้ความเกี่ยวข้องกับเผ่าจักรพรรดิตระกูลจินเทียน
“ที่มา”
ชายชราชุดแดงผมขาวเอ่ยถามต่อ ระหว่างที่พูดก็สลักข้อมูลของหลินสวินไว้ในป้ายคำสั่งหยกขาว นี่ก็คือหลักฐานรับรองที่ใช้ในศึกถกมรรคแคว้นเมฆาอย่างหนึ่ง
“ผู้ฝึกปราณอิสระ”
พอหลินสวินพูดคำนี้ออกไป หลายคนต่างเผยสีหน้าตกตะลึง ผู้ฝึกปราณอิสระคนหนึ่งดันบรรลุระดับมกุฎราชันอริยะได้หรือ
เรื่องนี้หายากนัก
แต่ผู้แข็งแกร่งในที่นั้นไม่น้อยยิ่งผ่อนคลายลงแล้ว ผู้ฝึกปราณอิสระหรือ ต่อให้ไปล่วงเกินก็ไม่ต้องหวั่นกลัวอะไร
มีเพียงหงอวี่ที่ยิ้มเย็นชาอยู่ในใจ ถ้าเจ้าพวกนี้คิดจริงๆ ว่าจินตู๋อีเป็นแค่ผู้ฝึกปราณอิสระที่ไม่ควรค่าให้ใส่ใจ เช่นนั้นก็ผิดมหันต์แล้ว!
“จำไว้ อีกห้าวันให้มาเข้าร่วมการคัดเลือกที่ ‘ลานแสดงมรรคหลิงเฟิง’ ถ้ามาสายหรือไม่มา จะยกเลิกสิทธิ์ในการคัดเลือก”
ชายชราชุดแดงผมขาวคืนป้ายหยกขาวให้หลินสวิน
“ขอบคุณ”
หลินสวินรับไว้ในมือ จิตรับรู้แทรกเข้าไปก็เห็นภาพมายาเงาร่างของตนรวมถึงข้อมูลต่างๆ ปรากฏขึ้นในนั้น
เขาเก็บกลับไปอย่างระวัง นี่เป็นถึงสิ่งสำคัญในการเข้าร่วม ‘งานชุมนุมถกมรรค’
“สหายน้อยช้าก่อน”
ทันในนั้นสตรีซึ่งแต่งกายชุดหรูหราสีเขียวที่นั่งอยู่ข้างหงอวี่ก็เอ่ยปากเรียกหลินสวินไว้
นางเสียงนุ่มนวล “เห็นเจ้าอายุยังน้อย แต่มีความสำเร็จเหนือธรรมดาในมรรคาเช่นนี้ได้ สนใจจะมาฝึกปราณที่ ‘ลัทธิเทพดาราเมฆ’ ของข้าไหม”
หลายคนต่างตกตะลึง ลัทธิเทพดาราเมฆเป็นถึงสำนักโบราณอันดับสองของแคว้นเมฆา ผู้กล้าแห่งยุคที่มีชื่อสะท้านไปทั้งแคว้นเมฆาอย่างเซี่ยอวี่ฮวาก็เป็นผู้สืบทอดของลัทธิเทพดาราเมฆ
เห็นได้ชัดว่าหญิงชุดเขียวถูกใจในตัวผู้ฝึกปราณอิสระไร้สำนัก ‘จินตู๋อี’ คนนี้!
“ขออภัย ข้าคนแซ่จินเคยชินกับการใช้ชีวิตเสรีไม่ผูกมัด”
หลินสวินส่ายหัวปฏิเสธ
คนไม่น้อยเผยสีหน้าเสียดาย
ลัทธิเทพดาราเมฆ นั่นไม่ใช่สำนักโบราณที่จะเข้าไปได้ง่ายๆ ถ้าได้เข้าไปเป็นศิษย์ในนั้นก็ไม่ต้องเข้าร่วมการคัดเลือกรอบแรกสักนิด เข้าไปในรอบที่สองได้เลย!
“เช่นนั้นถ้าภายหน้าคิดจะเข้ามาฝึกปราณก็มาหาข้าได้เลย”
หลังหญิงชุดเขียวถูกปฏิเสธดันไม่โกรธสักนิด กลับเชิญอีกครั้งหนึ่ง
นี่ทำให้หลายคนมองหลินสวินอีกครั้งอย่างอดไม่ได้
แม้แต่หลินสวินเองยังอึ้งไปเล็กน้อย ยิ้มขื่นในใจ ฐานะผู้ฝึกปราณอิสระเท่านั้น ไม่คิดว่ากลับถูกคนอื่นมองต่างออกไปเสียได้
เขาพยักหน้า “ได้”
พูดจบเขาก็หันกายจากไป
หลังจากมองดูหลินสวินจากไป หญิงชุดเขียวก็เอ่ยว่า “ทุกท่าน ในศึกถกมรรคคราวนี้ก็เป็นโอกาสได้เลือกเอาหยกงามมากความสามารถออกมาครั้งหนึ่ง ต้องมีอัจฉริยะมากมายปรากฏตัวออกมาแน่ แต่จินตู๋อีผู้นี้ พวกเจ้าอย่าแย่งข้าไปเด็ดขาด”
ระดับกึ่งจักรพรรดิที่อยู่หลังโต๊ะแต่ละคนต่างสีหน้าแตกต่างกันไป
เป็นอย่างที่หญิงชุดเขียวพูด ศึกถกมรรคครั้งนี้ อย่างแรกก็เพื่อหาผู้ที่จะเข้าร่วมงานชุมนุมถกมรรค อย่างที่สองคือสามารถเลือกผู้โดดเด่นบางคนได้จากการคัดเลือกด่านแล้วด่านเล่า
ถ้าได้รับเข้าไปในสำนักของพวกเขาแต่ละคน เช่นนั้นย่อมดีที่สุด!
สำนักโบราณแต่ละสำนักหากต้องการยืนยงไม่เสื่อมสลาย ย่อมไม่อาจขาดการเติมเต็มจากเลือดใหม่
น่าเสียดาย มีเพียงหงอวี่ที่รู้ดีว่า เกรงว่าหญิงชุดเขียวต้องผิดหวังเสียแล้ว
……
หลังจากลงชื่อหลินสวินก็พักอยู่ในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง ไม่สนใจความคึกคักของโลกภายนอกแม้แต่นิดเดียว
กาลเวลาเคลื่อนคล้อย
หลายวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในเมืองหลิงเฟิงก็ยิ่งครึกครื้น ว่ากันว่าตั๋วดูการต่อสู้ที่ลานแสดงมรรคหลิงเฟิงถูกปั่นราคาถึงใบละหนึ่งแสนผลึกมรรค
หนำซ้ำยังหาซื้อได้ยากนัก
และเริ่มมีรายชื่อผู้แข็งแกร่งที่เข้าร่วมการคัดเลือกครั้งนี้บางคนกระจายตามท้องตลาด บนนั้นเผยรายชื่อผู้แข็งแกร่งที่เข้าร่วมการประลอง ที่มาที่ไป รวมถึงพลังปราณอย่างแจ่มแจ้ง… แค่มองก็เข้าใจ
โดยเฉพาะบุคคลชั้นยอดโดดเด่นอย่างฉู่ชิว กู่เจี้ยนสิง ยิ่งปรากฏอยู่บนตำแหน่งที่สะดุดตาที่สุดบนรายชื่อ
รายชื่อเช่นนี้ยังถูกขายถึงหนึ่งหมื่นผลึกมรรค!
ในขณะเดียวกันบ่อนใต้ดินใหญ่ต่างๆ ภายในเมืองหลิงเฟิงก็วุ่นกันขึ้นมา ขอเพียงเป็นผู้ฝึกปราณที่สนใจ ต่างจดจ่อกับผลแพ้ชนะของการคัดเลือกรอบแรก และยังพนันทายชื่อผู้แพ้ผู้ชนะด้วย
ชั่วขณะเดียวก็ดึงดูดผู้ฝึกปราณไม่รู้เท่าไรให้เข้ามา ว่ากันว่าภายในวันเดียว ผลึกมรรคเดิมพันก็สะสมไปถึงแปดสิบล้าน!
ตั้งแต่ต้นจนจบ หลินสวินไม่ได้สนใจเรื่องเหล่านี้เท่าไรนัก
ตอนอยู่เพียงลำพัง หากเขาไม่ฝึกปราณก็ศึกษาเรียนรู้คัมภีร์ร้อยสมุนไพรทั่วหล้า สภาวะจิตปลอดโปร่งเงียบสงบ
วันที่ห้า
ลานแสดงมรรคหลิงเฟิง
ที่นี่เป็นสถานที่ดุจโลกใบเล็กแห่งหนึ่ง ปกคลุมด้วยกระบวนผนึกบรรพกาล
ตรงกลางลานแสดงมรรคมีสังเวียนสิบแปดแห่งลอยเรียงกันคล้ายผืนดินล่องลอยสิบแปดผืน
เมื่อหลินสวินมาถึง บนที่นั่งผู้ชมการต่อสู้ทั้งสี่ทิศของลานแสดงมรรคก็มีแต่เงาร่างมากมายแน่นขนัด คลื่นเสียงอึกทึกดังสะเทือนฟ้าอยู่ก่อนแล้ว
ภาพอันคึกคักยิ่งใหญ่อย่างไม่เคยมีมาก่อนนั้นทำให้หลินสวินได้เปิดหูเปิดตา
หลินสวินที่มือถือป้ายร่วมทดสอบ ไม่นานก็ถูกผู้คุ้มกันที่รับผิดชอบเรื่องการนำทางคนหนึ่งพาไปยังพื้นที่อันกว้างขวางแห่งหนึ่ง
ที่นี่เป็นพื้นที่คัดเลือก ผู้ฝึกปราณที่ลงชื่อเข้าร่วมการต่อสู้ต่างรออยู่ที่นี่
ภายในพื้นที่คัดเลือกในตอนนี้มีผู้แข็งแกร่งหลายคนรวมตัวอยู่ก่อนแล้ว มีทั้งชายทั้งหญิง บ้างนั่งบ้างยืน มีทั้งบุคคลโดดเด่นแห่งยุครุ่นเยาว์ และยังมีพวกร้ายกาจที่ผ่านร้อนผ่านหนาวรุ่นอาวุโส
อย่างน้อยก็มีมากกว่าพันคน!
นี่ก็หมายความว่า เพียงแค่พื้นที่เดียวนี้ ยามนี้ก็มีราชันอริยะหลักพันคนรวมตัวกันแล้ว!
ภายในนั้นยังไม่ขาดมกุฎราชันอริยะด้วย!
ภาพเช่นนี้ทำเอาหลินสวินสะท้านในใจอย่างอดไม่ได้
ราชันอริยะ หากอยู่ในดินแดนรกร้างโบราณต่างเรียกได้ว่าเป็นเสาหลักของสำนักแห่งหนึ่ง โดยทั่วไปแทบไม่ได้พบเห็น ราวกับมังกรเทพเห็นหัวไม่เห็นหาง
แต่ตอนนี้เพียงแค่แคว้นเมฆาที่เป็นหนึ่งในสี่สิบเก้าแคว้นของโลกใหญ่หงเหมิง แค่ในเมืองหลิงเฟิงซึ่งเป็นหนึ่งในเมืองนับหมื่นภายในแคว้นเมฆาก็มีระดับราชันอริยะมากกว่าพันปรากฏตัวแล้ว นี่ย่อมดูตื่นตาตื่นใจเป็นอย่างยิ่ง!
ความจริงแล้วไม่เพียงแต่หลินสวิน คนอื่นๆ ในที่นั้นก็ไม่อาจสงบใจได้
เรื่องยิ่งใหญ่ปานนี้ ภายในเขตแคว้นเมฆาในอดีตก็เรียกได้ว่าหมื่นปียังพบได้ยาก คนส่วนมากก็เพิ่งได้เห็นเป็นครั้งแรก
สาเหตุมีเพียงอย่างเดียว งานชุมนุมถกมรรคที่หกเรือนมรรคใหญ่ร่วมกันจัดขึ้นคราวนี้ก่อให้เกิดความเคลื่อนไหวมากมายจริงๆ
อย่าว่าแต่ในเขตแคว้นเมฆา ต่อให้เป็นแคว้นอื่นอีกสี่สิบแปดแคว้นในโลกใหญ่หงเหมิง ก็เกิดเรื่องยิ่งใหญ่ซึ่งไม่เคยเป็นมาก่อนอย่างนี้เช่นเดียวกัน
ถึงขั้นที่โลกฟ้าดาราอื่นนอกโลกใหญ่หงเหมิงยังมีบุคคลแห่งยุคไม่รู้เท่าไรเดินทางมา เป้าหมายก็เพื่อเข้าร่วมงานชุมนุมนี้
แต่หลินสวินเพียงแค่สบโอกาส จึงได้เป็นประจักษ์พยานว่างานชุมนุมครั้งนี้เปิดฉากเช่นไรพอดี!
แกร๊ง!
ไม่นานนักเสียงระฆังหนักแน่นเสียงหนึ่งดังขึ้น สะท้านไปทั้งลานแสดงมรรคหลิงเฟิง กดข่มคลื่นเสียงอึกทึกนั้นไว้ทั้งหมด
ทันใดนั้นทั้งที่นั้นก็เงียบเชียบไร้เสียง บรรยากาศน่าเกรงขามเกิดขึ้นตามธรรมชาติ
——