Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1885 หนึ่งกระบี่ดุจสายรุ้ง พลังชีวิตเผาไหม้เป็นธุลี

คำขอที่ฉู่ชิวยกขึ้นมาคือหลังจากชนะสิบครั้งรวดแล้วจะอยู่ที่สังเวียนต่อไป ให้ผู้แข็งแกร่งคนอื่นท้าสู้

ส่วนคำขอที่กู่เจี้ยนสิงยกขึ้นมาก็คือ หลังจากชนะสิบครั้งรวดแล้ว สามารถไปท้าสู้ผู้แข็งแกร่งที่สังเวียนอื่นได้

แต่ไม่ว่าจะเป็นวิธีการท้าสู้แบบไหนต่างก็ดูออกว่า ไม่ว่าเป็นฉู่ชิวหรือกู่เจี้ยนสิงต่างเหมือนพุ่งเป้าใส่กัน ประชันกันเป็นการส่วนตัว ไม่ยินยอมหยุดลงแค่ชนะสิบครั้งรวด!

ที่ทำให้ทุกคนฮือฮาที่สุดก็คือ พวกเถาซงถิงต่างยอมรับเรื่องนี้!

“นี่ไม่ยุติธรรม!”

ผู้แข็งแกร่งที่เข้าร่วมการคัดเลือกถกมรรคบางคนคัดค้าน

ชนะไปสิบครั้งรวดแล้วยังจะสู้ต่อ แต่สังเวียนมีเพียงสิบแปดแห่ง ผู้เข้าร่วมคนอื่นย่อมไม่พอใจ

ควรรู้ว่าก่อนหน้านี้ผู้แข็งแกร่งมากมายต่างรอให้บุคคลแห่งยุคอย่างฉู่ชิว กู่เจี้ยนสิงชนะสิบครั้งติด แล้วค่อยขึ้นไปบนสังเวียน

ทำเช่นนี้ความกดดันในการแข่งขันที่ต้องพบก็จะน้อยลงมาก

จะคิดได้อย่างไรว่าดันเกิดเรื่องเช่นนี้ได้

“พลังของคนก็มีวันหมด พวกเขาจะชนะสิบครั้งหรือยี่สิบครั้งรวดก็ได้ แต่ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป พลังกายของพวกเขาต้องใช้จนหมด ยิ่งไปกว่านั้นใครจะกล้ารับประกันว่าพวกเขาจะไม่ได้รับบาดเจ็บ”

เถาซงถิงลุกขึ้น เสียงดั่งอสนีดังไปทั้งที่นั้น “ผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงไม่เคยกลัวการท้าสู้!”

เขาหยุดไปครู่หนึ่งก็พูดต่อว่า “หลังจากชนะสิบครั้งรวดแล้ว จะท้าสู้ต่อก็ได้ แต้ถ้าแพ้แล้วก็จะท้าสู้ไม่ได้อีก!”

พอพูดเช่นนี้ออกไป ทำให้ผู้แข็งแกร่งที่รู้สึกไม่พอใจหมดคำพูด ไม่มีกำลังตอบโต้

ตามกฎแล้ว ต่อให้ถูกเอาชนะก็รอท้าสู้ที่สังเวียนอื่นอีกได้

อย่างเกาหลิงเทียนที่ถูกหลินสวินเอาชนะไป แม้จะแพ้แล้วแต่ก็ท้าสู้ต่อไป

แต่คำพูดของเถาซงถิงกลับพุ่งเป้าไปที่ผู้แข็งแกร่งที่ชนะสิบครั้งไปแล้ว พวกเขาสู้ต่อไปได้ แต่ขอเพียงแพ้แล้ว ก็ไม่อาจท้าสู้ต่อได้อีก

เทียบกันแล้วยังถือว่ายุติธรรม

คลื่นลมเหล่านี้ไม่มีผลกระทบต่อหลินสวินแต่อย่างใด

ในตอนนี้หลังจากเอาชนะเกาหลิงเทียนได้แล้ว เขาก็เอาชนะคู่ต่อสู้ได้สองคนอย่างต่อเนื่อง ได้รับชัยชนะหกครั้งรวด

ชนะได้อย่างง่ายดายนัก คู่ต่อสู้คนที่ห้าและหกก็ถือเป็นคนโดดเด่นในรุ่นเดียวกัน แต่เทียบกับเกาหลิงเทียนแล้วกลับด้อยกว่าไม่น้อย

ย่อมไม่อาจสร้างภัยคุกคามให้หลินสวินได้

ผู้ท้าสู้คนที่เจ็ดเป็นบุคคลระดับมกุฎราชันอริยะขั้นปลายที่เป็นปฐมาจารย์ควบคุมสัตว์คนหนึ่ง รุ่มรวยประสบการณ์ต่อสู้หาใดเทียบ

เขตแดนมรรคของเขามีนามว่า ‘โลกโลหิตหมื่นวิญญาณ’ เต็มไปด้วยพลังวิญญาณของนกปีศาจสัตว์เทพนานาประเภท แข็งแกร่งกว่า ‘โลกมายาหุ่นกระบอก’ ของตงหลิวซื่อเล็กน้อย

แต่สำหรับหลินสวินแล้ว เขตแดนมรรคเช่นนี้นองเลือดและชั่วร้ายเกินไป เป็นการหลอมวิญญาณสรรพชีวิตมาใช้เอง ดังนั้นไม่ถึงกับมีความหมายให้ใช้อ้างอิง

เพียงครู่สั้นๆ ปฐมาจารย์ควบคุมสัตว์ผู้นี้ก็จบลงด้วยความพ่ายแพ้ยับเยิน

คู่ต่อสู้คนที่แปดเป็นผู้ฝึกปราณวิญญาณที่ใช้สมุนไพรเข้าถึงมรรค ควบคุมไม้เถาต่างๆ วิชาต่อสู้อัศจรรย์ล้ำเลิศ

แต่สุดท้ายก็แพ้

จวบจนตอนนี้หลินสวินได้รับชัยชนะแล้วแปดครั้งรวด ผลงานการต่อสู้ดึงดูดความสนใจอย่างมากไปแล้ว

เพราะในตอนนี้บนสังเวียนสิบแปดแห่ง นอกจากบุคคลแห่งยุคบางส่วนอย่างฉู่ชิว กู่เจี้ยนสิง จั๋วเฟิ่งอิ่งแล้ว มีเพียงหลินสวินคนเดียวที่เป็นผู้แข็งแกร่งซึ่งเป็นม้ามืดทะลวงเข้ามา ทั้งยังยืนหยัดได้ถึงตอนนี้โดยไม่พ่ายแพ้

ส่วนบนสังเวียนอื่น เจ้าสังเวียนเปลี่ยนไปหลายรอบนานแล้ว

บ้างพ่ายแพ้ตอนชนะสามครั้งติด บ้างพ่ายแพ้ตอนชนะติดต่อกันห้าครั้ง…

เทียบกันเช่นนี้ แม้ชัยชนะแปดครั้งติดของหลินสวินจะสู้พวกฉู่ชิวไม่ได้ แต่ก็เรียกได้ว่าเป็นความสำเร็จที่ไม่ธรรมดาเป็นอย่างยิ่งแล้ว

ภาพเช่นนี้ทำให้เถาซงถิงยังคิดไม่ถึง ในใจก็เต้นตึกๆ อย่างอดไม่ได้ หรือจินตู๋อีคนนี้จะเป็นอัจฉริยะชั้นยอดคนหนึ่งอย่างที่อวี๋ฮูหยินถือหางจริงๆ

เขาไม่ได้ต่อต้านหลินสวิน เพียงแต่ไม่พอใจที่หงอวี่แสดงท่าทีขัดคอเขาเพราะหลินสวิน

จนกระทั่งเมื่อหลินสวินได้รับชัยชนะเก้าครั้งรวด จู่ๆ อวี๋ฮูหยินก็ยิ้มเอ่ยว่า “พี่เถา อีกเดี๋ยวก็รู้ผลแพ้ชนะของการพนันระหว่างเจ้ากับพี่หงอวี่แล้ว”

เถาซงถิงแววตาฉายวาบ พูดว่า “หรืออวี๋ฮูหยินไม่เห็นด้วยกับการคาดเดาของข้า”

อวี๋ฮูหยินยิ้มแต่ไม่พูด

หงอวี่เอ่ย “พี่เถา ตอนนี้พูดเรื่องพวกนี้ไปก็เปล่าประโยชน์ อีกเดี๋ยวค่อยดูเรื่องแพ้ชนะก็พอ”

เถาซงถิงหัวเราะหยัน กำลังจะพูดอะไร จู่ๆ ดวงตาก็เปล่งประกาย “น่าสนใจ กู่เจี้ยนสิงถึงกับลงมือแล้ว!”

อวี๋ฮูหยินกับหงอวี่พากันอึ้งไป

ทั้งที่นั้นอึกทึกครึกโครมไม่หยุด ต่างเห็นอย่างชัดเจนว่ากู่เจี้ยนสิงที่แต่งกายชุดเขียว เท้าเหยียบกระบี่บินสีชาดลอยละลิ่วไปยังสังเวียนของหลินสวิน

“ฮ่าๆ มีเรื่องสนุกให้ดูแล้ว!”

“กู่เจี้ยนสิงได้รับชัยชนะสิบครั้งรวดไปแล้ว คนทั่วไปย่อมไม่อยู่ในสายตาเขา ตอนนี้เขาเลือกลงมือกับจินตู๋อี ก็ไม่ถือว่าลบหลู่ฐานะของตน”

“จินตู๋อีผ่านการประลองมาเก้ายกแล้ว พลังกายต้องใช้ไปมากแน่ๆ แต่กู่เจี้ยนสิงก็ห้ำหั่นมาหลายครั้ง เทียบกันแล้ว ไปท้าสู้กับจินตู๋อีตอนนี้ก็ไม่ถือว่าเอาเปรียบ”

เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังขึ้นในลานแสดงมรรคเหมือนเขาถล่มทะเลครวญ

สายตาของผู้ชมการต่อสู้ทุกคู่ต่างรวมไปยังสังเวียนที่หลินสวินอยู่

‘เจ้ากู่เจี้ยนสิงนี่ใช้วิธีนี้มาประชันกับข้านี่นา…’

มุมปากฉู่ชิวยกยิ้มขี้เล่น ‘เช่นนี้ก็ดี ถ้าเจ้าเอาชนะจินตู๋อี ข้าก็ไม่ถือสาที่จะประลองกับเจ้าสักยก’

“จินตู๋อีชนะไปสิบครั้งรวดแล้ว ขาดอีกครั้งเดียวก็จะผ่านรอบแรก มีคุณสมบัติเข้าคัดเลือกรอบที่สอง แต่กู่เจี้ยนสิงดันวิ่งออกมาตอนนี้ นี่ก็ออกจะไม่ยุติธรรมสักหน่อย”

อวี๋ฮูหยินมุ่นคิ้ว

“ในการคัดเลือกถกมรรค ขอเพียงไม่ละเมิดกฎก็พอ”

เถาซงถิงเอ่ยเสียงเรียบ ในใจเขามั่นใจว่าหลังจากการต่อสู้ครั้งนี้ หยกประดับโลหิตจักรพรรดิของหงอวี่ชิ้นนั้นจะต้องเป็นของตนแล้ว

หงอวี่ไม่ได้ส่งเสียง แต่ในใจกลับหัวเราะหยัน ‘กู่เจี้ยนสิงคนนี้… วอนแท้ๆ ถ้าแพ้แล้วดูซิว่าเขาจะยังเชิดหน้าได้ไหม’

ในสายตาของหงอวี่ กู่เจี้ยนสิงแกว่งเท้าหาเสี้ยนเอง ชนะมาสิบครั้งรวดแล้ว หนำซ้ำยังได้รับการยกย่องและมีชื่อเสียงสูงยิ่ง ถึงเวลารามือก็ควรพอแล้ว

แต่เขากลับไปหาจินตู๋อีเสียนี่!

ทันทีที่แพ้ ต่อให้ยังมีสิทธิ์เข้าทดสอบรอบสองดังเดิม แต่คำชื่นชมและเกียรติยศที่ได้รับก่อนหน้านี้ต้องหายไปกับสายน้ำ กลายเป็นหินรองเท้าให้จินตู๋อีแน่

ถึงตอนนั้นเขาเสียใจก็สายไปแล้ว!

แต่ถ้อยคำเหล่านี้ ด้วยฐานะและตำแหน่งของเขาย่อมพูดออกมาไม่ได้

……

“มาหาเจ้าตอนที่เจ้าชนะติดต่อกันเก้าครั้งแล้ว ข้าทำแบบนี้ออกจะไม่เป็นธรรมจริงๆ แต่ถ้าไม่ถือโอกาสนี้แลกเปลี่ยนวิชากับเจ้า เกิดเจ้าเลือกจากไปหลังชนะติดต่อกันสิบครั้งแล้ว เช่นนั้นข้าก็จะไม่มีโอกาสแล้ว”

ทันทีที่กู่เจี้ยนสิงมาถึงสังเวียนก็เอ่ยปากเสียงเรียบ สีหน้าสุขุม

เขานิ่งคิดแล้วพูดอีกว่า “พูดแบบนี้แล้วกัน ความสามารถที่เจ้าแสดงออกมาก่อนหน้านี้ได้รับการยอมรับจากข้า ควรค่าให้ข้าลงมือ หากเปลี่ยนเป็นคนทั่วๆ ไปข้าก็คร้านจะสนใจอยู่แล้ว”

เสียงเรียบเฉย แต่กลับเจือแววหยิ่งผยองอย่างไม่ปิดบังสักนิด

หลินสวินร้องอ้อคำหนึ่ง ต่อให้เป็นตอนนี้เขาก็ยังสงบนิ่งดังเก่า ผู้แข็งแกร่งที่ลองค้นหาความรู้สึกหวาดหวั่นเกรงกลัวจากตัวเขาทุกคนต่างรู้สึกประหลาดใจอย่างอดไม่ได้

เผชิญหน้าบุคคลแห่งยุคอย่างกู่เจี้ยนสิง เขาดันไม่กลัวสักนิดเลยหรือ

คำตอบของหลินสวิน มีแต่คำว่า ‘อ้อ’ นี่ทำให้กู่เจี้ยนสิงเลิกคิ้ว

ทันใดนั้นเขาก็พูดอย่างเยือกเย็นว่า “สภาวะจิตของเจ้าดีมาก แต่ไม่รู้ว่าอีกเดียวพอแพ้เข้า เจ้าจะแค้นข้าเพราะชนะสิบครั้งติดไม่ได้หรือเปล่า”

กู่เจี้ยนสิงไม่โง่ และไม่ได้มีเจตนาดูถูกหลินสวิน

ความหยิ่งผยองมั่นใจในตัวเอง รวมถึงความหมายในถ้อยคำที่เขาแสดงออกมาในตอนนี้ต่างเป็นการลองกดดันสภาวะจิตของหลินสวิน!

แต่ที่ทำให้เขาผิดหวังก็คือ ตั้งแต่ต้นจนจบหลินสวินสงบนิ่งนัก อย่างกับหุบเหวลึกที่เงียบสงัด ทำให้คนอื่นสัมผัสคลื่นอารมณ์ไม่ได้

และตอนนี้หลินสวินก็พูดว่า “ข้าอยากรู้มากว่ามรรคกระบี่ของเจ้าจะซีดเซียวไร้เรี่ยวแรงเหมือนวาจาเจ้าหรือไม่”

กู่เจี้ยนสิงเผยรอยยิ้มเย็นชา “ลองดูก็รู้ไม่ใช่หรือ”

หลินสวินเอ่ย “เช่นนั้นก็ลองดู”

ขวับ!

กระบี่โบราณสีชาดดุจเปลวเพลิงใต้เท้ากู่เจี้ยนสิงพุ่งออกมา กรีดทึ้งห้วงอากาศ แผ่พุ่งออกไปดั่งแสงไฟเจิดจ้าบาดตา

กระบี่นี้เรียบง่าย สะอาด บริสุทธิ์ ไม่ฉูดฉาดแต่อย่างใด ทว่ากลับสำแดงความดุดันของมรรคกระบี่ได้ถึงขีดสุด

มีอานุภาพดั่งหนึ่งกระบี่พุ่งทะยาน หมื่นชีวิตดับทลาย

การต่อสู้ก็ปะทุขึ้นโดยสมบูรณ์ในขณะนี้

จิตใจของผู้ชมการต่อสู้ทั้งลานต่างรวมอยู่ที่การต่อสู้นี้ บรรยากาศที่เดิมอึกทึกเปลี่ยนเป็นเงียบเชียบขึ้นมา แต่ละคนต่างจดจ่อจนกลั้นหายใจ

แม้แต่พวกเถาซงถิง อวี๋ฮูหยิน หงอวี่ยังไม่เว้น

หลินสวินใช้หมัดเปล่าเหมือนเดิม อานุภาพแน่วนิ่ง ราบเรียบ ดั่งมหาคีรีสูงตระหง่านที่ตั้งอยู่กลางฟ้าดินอย่างเงียบงัน

วิธีการต่อสู้ก็เผยให้เห็นท่วงทำนองอันราบเรียบดุจวารี

เทียบกันแล้ว วิชาต่อสู้ของกู่เจี้ยนสิงมีสีสันเป็นอย่างยิ่งโดยไม่ต้องสงสัย กระบี่มรรคแดงเพลิงเล่มหนึ่ง สำแดงกลิ่นอายทำลายล้างเผาภูผามลายสมุทร หลอมละลายจักรวาลออกมา

ปราณกระบี่โชติช่วงนั้นทำเอาคนแสบตาจนลืมตาไม่ขึ้น!

ไม่ว่าใครได้เห็นภาพนี้เข้า เกรงว่าจะร้องตระหนกในใจอย่างอดไม่ได้ มกุฎราชันอริยะขั้นสมบูรณ์เช่นกู่เจี้ยนสิงตระการตาเกินไปอย่างไร้ข้อกังขา

เขาเป็นอัจฉริยะมรรคกระบี่ และยังเป็นผู้มีอิทธิพลรุ่นเยาว์ สามารถทำให้คนรุ่นอาวุโสจำนวนมากหม่นหมองลงได้

ถ้าไม่เหนือความคาดหมาย เขาก็จะเป็นบุคคลระดับจอมราชันที่มีเพียงหยิบมือในการคัดเลือกรอบแรกของเมืองหลิงเฟิงแห่งนี้

คนที่จะทัดเทียมเขาได้มีเพียงไม่กี่คน!

แต่ที่ทำให้ทุกคนตกตะลึงก็คือ ภายใต้การโจมตีด้วยพลังมรรคกระบี่ของกู่เจี้ยนสิง จินตู๋อีคนนั้นกลับไม่ถูกกำราบเลย

ก็เหมือนกับการประลองกับเกาหลิงเทียนครั้งนั้น เกาหลิงเทียนในตอนนั้นก็โดดเด่นเป็นที่สุด แข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง ดึงดูดสายตาไม่รู้เท่าไร

แต่ทำอะไรจินตู๋อีไม่ได้สักที สุดท้ายกลับถูกจินตู๋อีเอาชนะ

ตอนนี้ หรือกู่เจี้ยนสิงก็ไม่ไหวเช่นกัน

ผู้ชมการต่อสู้ทั้งที่นั้นต่างสูดหายใจสะท้านอย่างอดไม่ได้ คล้ายได้รู้จักจินตู๋อีที่เป็นหลินสวินปลอมตัวมาอีกครั้ง ยิ่งเกิดความรู้สึกว่ามองไม่ออกอยู่บ้าง

“รุ้งทอธุลีเพลิง!”

บนสังเวียน ร่างของกู่เจี้ยนสิงส่องประกายดั่งแสงเพลิง ผมสีดำมีเปลวไฟพร่างพราวพลิ้วไหว

กระบี่สีชาดในฝ่ามือเขาพริบวาบเบาๆ ก็เห็นว่าห้วงอากาศ ฝุ่นธุลี และไออากาศเหมือนถูกเผาไหม้ ปรากฏเป็นร่องรอยเถ้าธุลีอันน่าตกตะลึง

ส่วนปราณกระบี่ที่ฟันออกมานั้นก็เหมือนสายนอกฟากฟ้า แทงทะลุเวิ้งนภา ตกลงสู่โลก!

แม้มองดูอยู่ไกลๆ แต่เมื่อได้เห็นกระบี่นี้เข้า หลายคนในที่นั้นเพียงรู้สึกเจ็บแปลบในจิตใจ รู้สึกแย่และหวาดผวาอย่างบอกไม่ถูกไปพักหนึ่ง

ความจริงแล้วนัยเร้นลับที่มีอยู่ในกระบี่นี้คลุมเครือและน่ากลัวเกินไป เหนือล้ำจินตนาการของพวกเขา!

หนึ่งกระบี่ดุจสายรุ้ง

พลังชีวิตเผาไหม้เป็นธุลี!

Battling Records of the Chosen One

Battling Records of the Chosen One

BRCO, Tian Jiao Zhan Ji, 天骄战纪
Score 8
Status: Ongoing Type: Author: , Released: 2016 Native Language: Chinese
ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์ ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้ แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน… In the vast and boundless continent Cangtu, there were ancient sects governing the Ten Old Domains, unworldly immortal clans beyond the Blue Sky, and primordial demon gods dominating the dark abyss that together created a great number of brilliant stories over the long course of the history. In this very world, there was a boy, named Lin Xun, who embarked on his journey to the pinnacle of strength alone through cultivation and spiritual tattoo inscribing. Escaping alone from the Mine Prison where he had been living since he was adopted by Master Lu, Lin Xun knew nothing about his identity but the little information his adopter, Master Lu, had told him. With two ancient spiritual tools Master Lu gave to him before the destruction of the Mine Prison, Lin Xun started his journey to Ziyao Empire, where he is supposed to find out the truth of his lost Spiritual Vessel and the person who slaughtered his family, leaving him orphaned. Will he be able to unlock the mysteries of the two magic treasures, unveil the secrets of his identity and create a legend of his own?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset