คำขอที่ฉู่ชิวยกขึ้นมาคือหลังจากชนะสิบครั้งรวดแล้วจะอยู่ที่สังเวียนต่อไป ให้ผู้แข็งแกร่งคนอื่นท้าสู้
ส่วนคำขอที่กู่เจี้ยนสิงยกขึ้นมาก็คือ หลังจากชนะสิบครั้งรวดแล้ว สามารถไปท้าสู้ผู้แข็งแกร่งที่สังเวียนอื่นได้
แต่ไม่ว่าจะเป็นวิธีการท้าสู้แบบไหนต่างก็ดูออกว่า ไม่ว่าเป็นฉู่ชิวหรือกู่เจี้ยนสิงต่างเหมือนพุ่งเป้าใส่กัน ประชันกันเป็นการส่วนตัว ไม่ยินยอมหยุดลงแค่ชนะสิบครั้งรวด!
ที่ทำให้ทุกคนฮือฮาที่สุดก็คือ พวกเถาซงถิงต่างยอมรับเรื่องนี้!
“นี่ไม่ยุติธรรม!”
ผู้แข็งแกร่งที่เข้าร่วมการคัดเลือกถกมรรคบางคนคัดค้าน
ชนะไปสิบครั้งรวดแล้วยังจะสู้ต่อ แต่สังเวียนมีเพียงสิบแปดแห่ง ผู้เข้าร่วมคนอื่นย่อมไม่พอใจ
ควรรู้ว่าก่อนหน้านี้ผู้แข็งแกร่งมากมายต่างรอให้บุคคลแห่งยุคอย่างฉู่ชิว กู่เจี้ยนสิงชนะสิบครั้งติด แล้วค่อยขึ้นไปบนสังเวียน
ทำเช่นนี้ความกดดันในการแข่งขันที่ต้องพบก็จะน้อยลงมาก
จะคิดได้อย่างไรว่าดันเกิดเรื่องเช่นนี้ได้
“พลังของคนก็มีวันหมด พวกเขาจะชนะสิบครั้งหรือยี่สิบครั้งรวดก็ได้ แต่ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป พลังกายของพวกเขาต้องใช้จนหมด ยิ่งไปกว่านั้นใครจะกล้ารับประกันว่าพวกเขาจะไม่ได้รับบาดเจ็บ”
เถาซงถิงลุกขึ้น เสียงดั่งอสนีดังไปทั้งที่นั้น “ผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงไม่เคยกลัวการท้าสู้!”
เขาหยุดไปครู่หนึ่งก็พูดต่อว่า “หลังจากชนะสิบครั้งรวดแล้ว จะท้าสู้ต่อก็ได้ แต้ถ้าแพ้แล้วก็จะท้าสู้ไม่ได้อีก!”
พอพูดเช่นนี้ออกไป ทำให้ผู้แข็งแกร่งที่รู้สึกไม่พอใจหมดคำพูด ไม่มีกำลังตอบโต้
ตามกฎแล้ว ต่อให้ถูกเอาชนะก็รอท้าสู้ที่สังเวียนอื่นอีกได้
อย่างเกาหลิงเทียนที่ถูกหลินสวินเอาชนะไป แม้จะแพ้แล้วแต่ก็ท้าสู้ต่อไป
แต่คำพูดของเถาซงถิงกลับพุ่งเป้าไปที่ผู้แข็งแกร่งที่ชนะสิบครั้งไปแล้ว พวกเขาสู้ต่อไปได้ แต่ขอเพียงแพ้แล้ว ก็ไม่อาจท้าสู้ต่อได้อีก
เทียบกันแล้วยังถือว่ายุติธรรม
คลื่นลมเหล่านี้ไม่มีผลกระทบต่อหลินสวินแต่อย่างใด
ในตอนนี้หลังจากเอาชนะเกาหลิงเทียนได้แล้ว เขาก็เอาชนะคู่ต่อสู้ได้สองคนอย่างต่อเนื่อง ได้รับชัยชนะหกครั้งรวด
ชนะได้อย่างง่ายดายนัก คู่ต่อสู้คนที่ห้าและหกก็ถือเป็นคนโดดเด่นในรุ่นเดียวกัน แต่เทียบกับเกาหลิงเทียนแล้วกลับด้อยกว่าไม่น้อย
ย่อมไม่อาจสร้างภัยคุกคามให้หลินสวินได้
ผู้ท้าสู้คนที่เจ็ดเป็นบุคคลระดับมกุฎราชันอริยะขั้นปลายที่เป็นปฐมาจารย์ควบคุมสัตว์คนหนึ่ง รุ่มรวยประสบการณ์ต่อสู้หาใดเทียบ
เขตแดนมรรคของเขามีนามว่า ‘โลกโลหิตหมื่นวิญญาณ’ เต็มไปด้วยพลังวิญญาณของนกปีศาจสัตว์เทพนานาประเภท แข็งแกร่งกว่า ‘โลกมายาหุ่นกระบอก’ ของตงหลิวซื่อเล็กน้อย
แต่สำหรับหลินสวินแล้ว เขตแดนมรรคเช่นนี้นองเลือดและชั่วร้ายเกินไป เป็นการหลอมวิญญาณสรรพชีวิตมาใช้เอง ดังนั้นไม่ถึงกับมีความหมายให้ใช้อ้างอิง
เพียงครู่สั้นๆ ปฐมาจารย์ควบคุมสัตว์ผู้นี้ก็จบลงด้วยความพ่ายแพ้ยับเยิน
คู่ต่อสู้คนที่แปดเป็นผู้ฝึกปราณวิญญาณที่ใช้สมุนไพรเข้าถึงมรรค ควบคุมไม้เถาต่างๆ วิชาต่อสู้อัศจรรย์ล้ำเลิศ
แต่สุดท้ายก็แพ้
จวบจนตอนนี้หลินสวินได้รับชัยชนะแล้วแปดครั้งรวด ผลงานการต่อสู้ดึงดูดความสนใจอย่างมากไปแล้ว
เพราะในตอนนี้บนสังเวียนสิบแปดแห่ง นอกจากบุคคลแห่งยุคบางส่วนอย่างฉู่ชิว กู่เจี้ยนสิง จั๋วเฟิ่งอิ่งแล้ว มีเพียงหลินสวินคนเดียวที่เป็นผู้แข็งแกร่งซึ่งเป็นม้ามืดทะลวงเข้ามา ทั้งยังยืนหยัดได้ถึงตอนนี้โดยไม่พ่ายแพ้
ส่วนบนสังเวียนอื่น เจ้าสังเวียนเปลี่ยนไปหลายรอบนานแล้ว
บ้างพ่ายแพ้ตอนชนะสามครั้งติด บ้างพ่ายแพ้ตอนชนะติดต่อกันห้าครั้ง…
เทียบกันเช่นนี้ แม้ชัยชนะแปดครั้งติดของหลินสวินจะสู้พวกฉู่ชิวไม่ได้ แต่ก็เรียกได้ว่าเป็นความสำเร็จที่ไม่ธรรมดาเป็นอย่างยิ่งแล้ว
ภาพเช่นนี้ทำให้เถาซงถิงยังคิดไม่ถึง ในใจก็เต้นตึกๆ อย่างอดไม่ได้ หรือจินตู๋อีคนนี้จะเป็นอัจฉริยะชั้นยอดคนหนึ่งอย่างที่อวี๋ฮูหยินถือหางจริงๆ
เขาไม่ได้ต่อต้านหลินสวิน เพียงแต่ไม่พอใจที่หงอวี่แสดงท่าทีขัดคอเขาเพราะหลินสวิน
จนกระทั่งเมื่อหลินสวินได้รับชัยชนะเก้าครั้งรวด จู่ๆ อวี๋ฮูหยินก็ยิ้มเอ่ยว่า “พี่เถา อีกเดี๋ยวก็รู้ผลแพ้ชนะของการพนันระหว่างเจ้ากับพี่หงอวี่แล้ว”
เถาซงถิงแววตาฉายวาบ พูดว่า “หรืออวี๋ฮูหยินไม่เห็นด้วยกับการคาดเดาของข้า”
อวี๋ฮูหยินยิ้มแต่ไม่พูด
หงอวี่เอ่ย “พี่เถา ตอนนี้พูดเรื่องพวกนี้ไปก็เปล่าประโยชน์ อีกเดี๋ยวค่อยดูเรื่องแพ้ชนะก็พอ”
เถาซงถิงหัวเราะหยัน กำลังจะพูดอะไร จู่ๆ ดวงตาก็เปล่งประกาย “น่าสนใจ กู่เจี้ยนสิงถึงกับลงมือแล้ว!”
อวี๋ฮูหยินกับหงอวี่พากันอึ้งไป
ทั้งที่นั้นอึกทึกครึกโครมไม่หยุด ต่างเห็นอย่างชัดเจนว่ากู่เจี้ยนสิงที่แต่งกายชุดเขียว เท้าเหยียบกระบี่บินสีชาดลอยละลิ่วไปยังสังเวียนของหลินสวิน
“ฮ่าๆ มีเรื่องสนุกให้ดูแล้ว!”
“กู่เจี้ยนสิงได้รับชัยชนะสิบครั้งรวดไปแล้ว คนทั่วไปย่อมไม่อยู่ในสายตาเขา ตอนนี้เขาเลือกลงมือกับจินตู๋อี ก็ไม่ถือว่าลบหลู่ฐานะของตน”
“จินตู๋อีผ่านการประลองมาเก้ายกแล้ว พลังกายต้องใช้ไปมากแน่ๆ แต่กู่เจี้ยนสิงก็ห้ำหั่นมาหลายครั้ง เทียบกันแล้ว ไปท้าสู้กับจินตู๋อีตอนนี้ก็ไม่ถือว่าเอาเปรียบ”
เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังขึ้นในลานแสดงมรรคเหมือนเขาถล่มทะเลครวญ
สายตาของผู้ชมการต่อสู้ทุกคู่ต่างรวมไปยังสังเวียนที่หลินสวินอยู่
‘เจ้ากู่เจี้ยนสิงนี่ใช้วิธีนี้มาประชันกับข้านี่นา…’
มุมปากฉู่ชิวยกยิ้มขี้เล่น ‘เช่นนี้ก็ดี ถ้าเจ้าเอาชนะจินตู๋อี ข้าก็ไม่ถือสาที่จะประลองกับเจ้าสักยก’
“จินตู๋อีชนะไปสิบครั้งรวดแล้ว ขาดอีกครั้งเดียวก็จะผ่านรอบแรก มีคุณสมบัติเข้าคัดเลือกรอบที่สอง แต่กู่เจี้ยนสิงดันวิ่งออกมาตอนนี้ นี่ก็ออกจะไม่ยุติธรรมสักหน่อย”
อวี๋ฮูหยินมุ่นคิ้ว
“ในการคัดเลือกถกมรรค ขอเพียงไม่ละเมิดกฎก็พอ”
เถาซงถิงเอ่ยเสียงเรียบ ในใจเขามั่นใจว่าหลังจากการต่อสู้ครั้งนี้ หยกประดับโลหิตจักรพรรดิของหงอวี่ชิ้นนั้นจะต้องเป็นของตนแล้ว
หงอวี่ไม่ได้ส่งเสียง แต่ในใจกลับหัวเราะหยัน ‘กู่เจี้ยนสิงคนนี้… วอนแท้ๆ ถ้าแพ้แล้วดูซิว่าเขาจะยังเชิดหน้าได้ไหม’
ในสายตาของหงอวี่ กู่เจี้ยนสิงแกว่งเท้าหาเสี้ยนเอง ชนะมาสิบครั้งรวดแล้ว หนำซ้ำยังได้รับการยกย่องและมีชื่อเสียงสูงยิ่ง ถึงเวลารามือก็ควรพอแล้ว
แต่เขากลับไปหาจินตู๋อีเสียนี่!
ทันทีที่แพ้ ต่อให้ยังมีสิทธิ์เข้าทดสอบรอบสองดังเดิม แต่คำชื่นชมและเกียรติยศที่ได้รับก่อนหน้านี้ต้องหายไปกับสายน้ำ กลายเป็นหินรองเท้าให้จินตู๋อีแน่
ถึงตอนนั้นเขาเสียใจก็สายไปแล้ว!
แต่ถ้อยคำเหล่านี้ ด้วยฐานะและตำแหน่งของเขาย่อมพูดออกมาไม่ได้
……
“มาหาเจ้าตอนที่เจ้าชนะติดต่อกันเก้าครั้งแล้ว ข้าทำแบบนี้ออกจะไม่เป็นธรรมจริงๆ แต่ถ้าไม่ถือโอกาสนี้แลกเปลี่ยนวิชากับเจ้า เกิดเจ้าเลือกจากไปหลังชนะติดต่อกันสิบครั้งแล้ว เช่นนั้นข้าก็จะไม่มีโอกาสแล้ว”
ทันทีที่กู่เจี้ยนสิงมาถึงสังเวียนก็เอ่ยปากเสียงเรียบ สีหน้าสุขุม
เขานิ่งคิดแล้วพูดอีกว่า “พูดแบบนี้แล้วกัน ความสามารถที่เจ้าแสดงออกมาก่อนหน้านี้ได้รับการยอมรับจากข้า ควรค่าให้ข้าลงมือ หากเปลี่ยนเป็นคนทั่วๆ ไปข้าก็คร้านจะสนใจอยู่แล้ว”
เสียงเรียบเฉย แต่กลับเจือแววหยิ่งผยองอย่างไม่ปิดบังสักนิด
หลินสวินร้องอ้อคำหนึ่ง ต่อให้เป็นตอนนี้เขาก็ยังสงบนิ่งดังเก่า ผู้แข็งแกร่งที่ลองค้นหาความรู้สึกหวาดหวั่นเกรงกลัวจากตัวเขาทุกคนต่างรู้สึกประหลาดใจอย่างอดไม่ได้
เผชิญหน้าบุคคลแห่งยุคอย่างกู่เจี้ยนสิง เขาดันไม่กลัวสักนิดเลยหรือ
คำตอบของหลินสวิน มีแต่คำว่า ‘อ้อ’ นี่ทำให้กู่เจี้ยนสิงเลิกคิ้ว
ทันใดนั้นเขาก็พูดอย่างเยือกเย็นว่า “สภาวะจิตของเจ้าดีมาก แต่ไม่รู้ว่าอีกเดียวพอแพ้เข้า เจ้าจะแค้นข้าเพราะชนะสิบครั้งติดไม่ได้หรือเปล่า”
กู่เจี้ยนสิงไม่โง่ และไม่ได้มีเจตนาดูถูกหลินสวิน
ความหยิ่งผยองมั่นใจในตัวเอง รวมถึงความหมายในถ้อยคำที่เขาแสดงออกมาในตอนนี้ต่างเป็นการลองกดดันสภาวะจิตของหลินสวิน!
แต่ที่ทำให้เขาผิดหวังก็คือ ตั้งแต่ต้นจนจบหลินสวินสงบนิ่งนัก อย่างกับหุบเหวลึกที่เงียบสงัด ทำให้คนอื่นสัมผัสคลื่นอารมณ์ไม่ได้
และตอนนี้หลินสวินก็พูดว่า “ข้าอยากรู้มากว่ามรรคกระบี่ของเจ้าจะซีดเซียวไร้เรี่ยวแรงเหมือนวาจาเจ้าหรือไม่”
กู่เจี้ยนสิงเผยรอยยิ้มเย็นชา “ลองดูก็รู้ไม่ใช่หรือ”
หลินสวินเอ่ย “เช่นนั้นก็ลองดู”
ขวับ!
กระบี่โบราณสีชาดดุจเปลวเพลิงใต้เท้ากู่เจี้ยนสิงพุ่งออกมา กรีดทึ้งห้วงอากาศ แผ่พุ่งออกไปดั่งแสงไฟเจิดจ้าบาดตา
กระบี่นี้เรียบง่าย สะอาด บริสุทธิ์ ไม่ฉูดฉาดแต่อย่างใด ทว่ากลับสำแดงความดุดันของมรรคกระบี่ได้ถึงขีดสุด
มีอานุภาพดั่งหนึ่งกระบี่พุ่งทะยาน หมื่นชีวิตดับทลาย
การต่อสู้ก็ปะทุขึ้นโดยสมบูรณ์ในขณะนี้
จิตใจของผู้ชมการต่อสู้ทั้งลานต่างรวมอยู่ที่การต่อสู้นี้ บรรยากาศที่เดิมอึกทึกเปลี่ยนเป็นเงียบเชียบขึ้นมา แต่ละคนต่างจดจ่อจนกลั้นหายใจ
แม้แต่พวกเถาซงถิง อวี๋ฮูหยิน หงอวี่ยังไม่เว้น
หลินสวินใช้หมัดเปล่าเหมือนเดิม อานุภาพแน่วนิ่ง ราบเรียบ ดั่งมหาคีรีสูงตระหง่านที่ตั้งอยู่กลางฟ้าดินอย่างเงียบงัน
วิธีการต่อสู้ก็เผยให้เห็นท่วงทำนองอันราบเรียบดุจวารี
เทียบกันแล้ว วิชาต่อสู้ของกู่เจี้ยนสิงมีสีสันเป็นอย่างยิ่งโดยไม่ต้องสงสัย กระบี่มรรคแดงเพลิงเล่มหนึ่ง สำแดงกลิ่นอายทำลายล้างเผาภูผามลายสมุทร หลอมละลายจักรวาลออกมา
ปราณกระบี่โชติช่วงนั้นทำเอาคนแสบตาจนลืมตาไม่ขึ้น!
ไม่ว่าใครได้เห็นภาพนี้เข้า เกรงว่าจะร้องตระหนกในใจอย่างอดไม่ได้ มกุฎราชันอริยะขั้นสมบูรณ์เช่นกู่เจี้ยนสิงตระการตาเกินไปอย่างไร้ข้อกังขา
เขาเป็นอัจฉริยะมรรคกระบี่ และยังเป็นผู้มีอิทธิพลรุ่นเยาว์ สามารถทำให้คนรุ่นอาวุโสจำนวนมากหม่นหมองลงได้
ถ้าไม่เหนือความคาดหมาย เขาก็จะเป็นบุคคลระดับจอมราชันที่มีเพียงหยิบมือในการคัดเลือกรอบแรกของเมืองหลิงเฟิงแห่งนี้
คนที่จะทัดเทียมเขาได้มีเพียงไม่กี่คน!
แต่ที่ทำให้ทุกคนตกตะลึงก็คือ ภายใต้การโจมตีด้วยพลังมรรคกระบี่ของกู่เจี้ยนสิง จินตู๋อีคนนั้นกลับไม่ถูกกำราบเลย
ก็เหมือนกับการประลองกับเกาหลิงเทียนครั้งนั้น เกาหลิงเทียนในตอนนั้นก็โดดเด่นเป็นที่สุด แข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง ดึงดูดสายตาไม่รู้เท่าไร
แต่ทำอะไรจินตู๋อีไม่ได้สักที สุดท้ายกลับถูกจินตู๋อีเอาชนะ
ตอนนี้ หรือกู่เจี้ยนสิงก็ไม่ไหวเช่นกัน
ผู้ชมการต่อสู้ทั้งที่นั้นต่างสูดหายใจสะท้านอย่างอดไม่ได้ คล้ายได้รู้จักจินตู๋อีที่เป็นหลินสวินปลอมตัวมาอีกครั้ง ยิ่งเกิดความรู้สึกว่ามองไม่ออกอยู่บ้าง
“รุ้งทอธุลีเพลิง!”
บนสังเวียน ร่างของกู่เจี้ยนสิงส่องประกายดั่งแสงเพลิง ผมสีดำมีเปลวไฟพร่างพราวพลิ้วไหว
กระบี่สีชาดในฝ่ามือเขาพริบวาบเบาๆ ก็เห็นว่าห้วงอากาศ ฝุ่นธุลี และไออากาศเหมือนถูกเผาไหม้ ปรากฏเป็นร่องรอยเถ้าธุลีอันน่าตกตะลึง
ส่วนปราณกระบี่ที่ฟันออกมานั้นก็เหมือนสายนอกฟากฟ้า แทงทะลุเวิ้งนภา ตกลงสู่โลก!
แม้มองดูอยู่ไกลๆ แต่เมื่อได้เห็นกระบี่นี้เข้า หลายคนในที่นั้นเพียงรู้สึกเจ็บแปลบในจิตใจ รู้สึกแย่และหวาดผวาอย่างบอกไม่ถูกไปพักหนึ่ง
ความจริงแล้วนัยเร้นลับที่มีอยู่ในกระบี่นี้คลุมเครือและน่ากลัวเกินไป เหนือล้ำจินตนาการของพวกเขา!
หนึ่งกระบี่ดุจสายรุ้ง
พลังชีวิตเผาไหม้เป็นธุลี!