ความจริงแล้วกระบี่นี้เป็นกระบวนท่าไม้ตายของกู่เจี้ยนสิง หลอมนัยเร้นลับของเขตแดนมรรคของตนเข้าไปในกระบี่!
หลินสวินเคยสังหารกึ่งจักรพรรดิข่งอินมาก่อน ‘เงากระบี่มหาสหัส’ ที่อีกฝ่ายขัดเกลามาแปดพันปีเรียกได้ว่าน่าสะพรึงกลัวยิ่งยวด
เมื่อเทียบกันแล้ว กระบี่นี้ของกู่เจี้ยนสิงแม้อานุภาพด้อยกว่าไม่น้อย แต่ว่าด้วยอานุภาพพลังแล้วกลับไม่ด้อยไปกว่าเงากระบี่มหาสหัสเลย
นี่ทำให้หลินสวินยังต้องทอดถอนใจ กู่เจี้ยนสิงคนนี้ยอดเยี่ยมจริงๆ
แต่น่าเสียดาย…
สำหรับตนแล้วยังเก่งไม่พอ
ก็เห็นว่านิ้วมือหลินสวินคว้าออกไปก่อนรวบเข้าหากัน
ปราณกระบี่แดงเพลิงดุจรุ้งเทพนอกฟ้าโรยตัวลงมาบนโลกนั้นถูกหลินสวินคว้าเอาไว้กับมือ พอกำนิ้วทั้งห้า ปราณกระบี่เฉียบคมหาใดเทียบนี้ก็ถูกขยำแหลก กลายเป็นละอองแสงแดงเพลิงหลั่งไหลออกจากง่ามมือทันที
ทั้งที่นั้นสั่นสะท้านในใจ รู้สึกเหลือเชื่อ
นี่เป็นถึงกระบวนท่าไม้ตายของกู่เจี้ยนสิง กลับถูกขยำแหลกเหมือนเศษกระดาษแล้วหรือ
เถาซงถิงหนังตากระตุกอย่างแรงไปครู่หนึ่ง หน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย
“นภาธุลีกระแสอาสัญ!”
บนสังเวียน ดวงตากู่เจี้ยนสิงดุจกระบี่แหลมคม พุ่งโจมตีอีกครั้งอย่างไม่ลังเล พลานุภาพดั่งลมคลั่งกวาดใบไม้โรย กระบี่จู่โจมดุจเปลวเพลิง
อานุภาพของเขายิ่งแกร่งกล้าเหมือนจอมกระบี่กลางอัคคีผู้หนึ่ง
ความแข็งแกร่งของหลินสวินทำให้เขารู้สึกถูกคุกคามแล้ว จะยังกล้าลังเลอีกได้อย่างไร
ฉัวะๆๆ!
ครู่สั้นๆ บนสังเวียนราวกับปกคลุมด้วยม่านฟ้าเปลวเพลิง สิ่งที่ไหลเวียนในม่านฟ้ามีแต่ปราณกระบี่แดงเพลิงอันกำเริบเสิบสานที่ตัดพันกันไปทั่ว
หวีดหวิวดุจพายุคลั่ง อหังการดั่งอสนี เกรียงไกรราวกระแสน้ำหลาก ว่องไวประหนึ่งแสงเงา…
เงาร่างของกู่เจี้ยนสิงพริบวาบอยู่ในนั้น ร่างกายและเส้นผมมีลายมรรคเปลวเพลิงไหวเคลื่อน ความแข็งกล้าของพลานุภาพเหนือล้ำโดดเด่น
เสียงสูดหายใจสะท้านกับเสียงฝืดคอกลืนน้ำลายนับไม่ถ้วนดังขึ้นเป็นระลอกในที่นั้น
ผู้ชมการต่อสู้หลายคนตาพร่า จิตใจไหวเอน
ก่อนหน้านี้ตอนกู่เจี้ยนสิงได้รับชัยชนะสิบครั้งรวด ยังไม่ได้ใช้พลังต่อสู้คับฟ้าเช่นนี้!
จากจุดนี้ก็ดูออกได้ว่า การปรากฏตัวของจินตู๋อีได้บีบให้กู่เจี้ยนสิงต้องใช้วิชาก้นกรุที่แท้จริงแล้ว!
“ม่านกระบี่ธุลีเพลิง!”
กู่เจี้ยนสิงตะคอกลั่น
ทันใดนั้นห่ากระบี่เปลวเพลิงที่ตัดกันไปทั่วบนสังเวียนพลันควบแข็ง รวมตัวเป็นเขตแดนมรรคแดงเพลิงดุจเปลวไฟที่งดงามไพศาลแห่งหนึ่ง
คราวนี้หลินสวินไม่มีทางเลือกเป็นฝ่ายพุ่งเข้าไปเอง
เพราะในการประลองก่อนหน้านี้ จากการจู่โจมที่กู่เจี้ยนสิงปล่อยออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้หลินสวินเข้าใจพลังของเขตแดนมรรคที่อีกฝ่ายครอบครองแล้ว
จะเข้าไปในม่านกระบี่ธุลีเพลิงนี้อีกหรือไม่ก็ไม่ต่างอะไรแล้ว
แต่สำหรับกู่เจี้ยนสิงแล้ว การกระตุ้นเขตแดนมรรคกลับทำให้เขาปลดปล่อยพลังออกมาได้อย่างหมดจด
“เป็นเขตแดนมรรคกระบี่ที่ดีแห่งหนึ่ง!”
“อานุภาพพลังเช่นนี้หาได้ยากจริงๆ”
คนไม่น้อยต่างร้องตกตะลึง
สัตว์ประหลาดเฒ่าบางส่วนยังนั่งไม่ติด
พอเห็นว่าเงาร่างของหลินสวินกำลังจะถูกม่านกระบี่แดงเพลิงงามตระการปกคลุม ก็พบว่าเขาแกว่งหมัดส่งไปข้างหน้าทันที
พลังหมัดแน่วนิ่งดั่งภูผา เหลือบแสงมรรคดินเหลือง แต่กลับมีท่วงทำนองศักดิ์สิทธิ์แห่งมรรคที่คล้ายเตาหลอมก็ไม่ใช่ ละม้ายหุบเหวก็ไม่เชิงไหวเคลื่อน
ปึง!
เสียงหนักทึบดังขึ้น ม่านกระบี่ธุลีเพลิงที่โรยตัวลงมานั้นหยุดชะงักกลางอากาศทันที
ภายใต้สายตาจับจ้องอันตื่นตะลึงของทุกคน ม่านกระบี่ธุลีเพลิงเกิดรอยแยกแน่นขนัดเหมือนใยแมงมุมขึ้นมา
จากนั้น…
ตูม โครม!
เขตแดนกระบี่ที่หลอมมรรควิถีของกู่เจี้ยนสิงเข้าไปจนหมดสิ้น ยังไม่ทันปล่อยอานุภาพออกไปก็ระเบิดออกเหนือสังเวียนดังสนั่น
ละอองแสงแดงเพลิงเต็มฟ้าที่แทรกด้วยเสียงระเบิดสะท้านฟ้าสะเทือนดินแผ่เต็มไปทั้งสังเวียน
ปึง!
ส่วนกู่เจี้ยนสิงเงาร่างไหวโคลง โซเซตกลงพื้น เลือดออกทวารทั้งเจ็ด หน้าซีดเผือดจนน่ากลัว
หมัดนี้ ที่ทำลายไม่ได้มีเพียงเขตแดนมรรคของเขา ภายใต้พลังหมัดนั้นทำให้เขาก็ได้รับบาดเจ็บภายในรุนแรง อวัยวะตันห้ากลวงหกย้ายตำแหน่ง เลือดลมมีทีท่าปั่นป่วน
บนลานแสดงมรรคเงียบเชียบไร้เสียง ตกตะลึงไปทุกที่
หมัดเดียวทำลายเขตแดนมรรคที่เรียกได้ว่าน่าตื่นตาแห่งหนึ่ง!
และกู่เจี้ยนสิงที่แกร่งกล้าตระการตาถึงกับถูกโจมตีจนบาดเจ็บสาหัส!
ชั่วขณะเดียวทุกคนต่างรู้สึกงุนงง
ก่อนหน้านี้พวกเขาล้วนเชื่อมั่นในฝีมือของกู่เจี้ยนสิงเป็นอย่างยิ่ง คิดว่าภายใต้น้ำมือเขา จินตู๋อีนั่นต้องหยุดอยู่ที่ชนะเก้าครั้งติดแน่
แต่ตอนนี้ ความเป็นจริงอันโหดร้ายเหมือนตบใส่หน้าพวกเขาอย่างจัง!
กู่เจี้ยนสิงโดดเด่นเพียงไหน ทั้งชื่อเสียงยังโด่งดังปานใด
ยังสู้จินตู๋อีไม่ได้!
ขณะนี้ผู้หญิงที่ก่อนหน้านี้เคยหวีดร้องให้กำลังใจกู่เจี้ยนสิงอย่างบ้าคลั่งต่างมีสีหน้าเหมือนกินแมลงวันตาย ดุจบิดามารดาจากโลก ไม่อาจรับภาพนี้ได้
‘แข็งแกร่งยิ่ง!’
ฉู่ชิวหน้าเปลี่ยนสี สั่นสะท้านในใจ
ความแข็งแกร่งของกู่เจี้ยนสิงเขารู้ดีที่สุด ในบรรดาคู่ต่อสู้ส่วนน้อยที่สนใจซึ่งเข้าร่วมการคัดเลือกถกมรรคคราวนี้ กู่เจี้ยนสิงก็เป็นหนึ่งในนั้น
แต่ตอนนี้กู่เจี้ยนสิงกลับถูกจินตู๋อีที่มาจากไหนไม่รู้ทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส เรื่องนี้เหนือความคาดหมายของฉู่ชิวไปเช่นกัน
“เจ้าหมอนี่… เก็บงำลึกล้ำจริงๆ นะ…”
เถาซงถิงยังเผยสีหน้าซับซ้อน เขาต้องยอมรับว่าก่อนหน้านี้ตนมองผิดไปแล้ว ประเมินพลังที่แท้จริงของจินตู๋อีคนนั้นต่ำเกินไปมาก
“พูดกันตามตรง ขนาดข้ายังคิดไม่ถึง”
อวี๋ฮูหยินเผยยิ้มเจื่อน แม้นางจะถือหางหลินสวินมาตลอด แต่พอได้เห็นภาพนี้เข้าก็รู้สึกเหลือเชื่อและตื่นตะลึง
มีเพียงหงอวี่ที่เยือกเย็นนัก ในใจก็สะใจมาก เหมือนได้ยืมมือหลินสวินตบหน้าเถาซงถิงโดยไม่รู้ตัว
บนสังเวียน กู่เจี้ยนสิงก็สีหน้าซับซ้อนหาใดเทียบ ทั้งตกตะลึง ทั้งไม่เข้าใจ ทั้งงุนงง
เขาไม่ได้ชะล่าใจ แล้วก็ไม่ได้ดูเบาศัตรู
เขาเพียงแค่คิดไม่ถึงว่าคู่ต่อสู้ที่เลือกมาคราวนี้จะเก็บงำได้ลึกล้ำปานนี้ ความสามารถที่แท้จริงจะน่ากลัวปานไหน!
ต่อให้เขาใช้พลังทั้งหมดที่มียังไม่อาจสั่นคลอนได้!
“ที่แท้ต่อหน้าเจ้า มรรคกระบี่ของข้าก็ซีดเซียวไร้เรี่ยวแรงเหมือนอย่างที่พูดจริงๆ…”
เขาเอ่ยอย่างขมขื่น ก่อนลุกขึ้นแล้วเบือนหน้าจากไป
ไม่ต้องสู้อีกแล้ว สู้ไปก็ต้องแพ้แน่
เงาร่างของเขาอ้างว้างโดดเดี่ยว เดินลงจากสังเวียน ผู้ชมการต่อสู้ที่ได้เห็นภาพนี้ทุกคนต่างทอดถอนใจในใจ
กู่เจี้ยนสิง อัจฉริยะมรรคกระบี่ที่สะดุดตาปานไหน เดิมเขาชนะสิบครั้งรวด มีคุณสมบัติเข้าคัดเลือกรอบที่สองนานแล้ว ได้รับคำยกย่องและกิตติศัพท์ไม่รู้เท่าไร
แต่ตอนนี้พอเขาแพ้ให้จินตู๋อี คำยกย่องและชื่อเสียงทั้งหมดก็กลายเป็นความว่างเปล่า
เขาในตอนนี้ก็เหมือนหินรองเท้าสู่ความสำเร็จของจินตู๋อีก้อนหนึ่ง!
จะโดดเด่นหรือเก่งกาจเพียงไหน ขอเพียงถูกคนพูดถึงเข้า จินตู๋อีก็จะกลายเป็นมหาคีรีที่ข้ามไปไม่ได้ลูกหนึ่ง!
และด้วยการต่อสู้นี้ กู่เจี้ยนสิงก็ไม่มีโอกาสท้าสู้ต่ออีกแล้ว และย่อมไม่อาจไปประลองกับฉู่ชิวได้อีก
แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ กู่เจี้ยนสิงก็ยังเข้าคัดเลือกรอบสองได้ นี่ก็ยังถือเป็นโชคดีในความโชคร้ายแล้ว
พอกู่เจี้ยนสิงจากไป บรรยากาศเงียบเชียบในที่นั้นก็ถูกทำลายไปด้วย เสียงฮือฮาแตกตื่นดังขึ้นไปทั่ว สายตาทุกคู่ต่างรวมอยู่ที่หลินสวิน
จินตู๋อี!
ผู้ฝึกปราณอิสระซึ่งมีที่มาลึกลับคนหนึ่ง แต่กลับเป็นดั่งม้ามืดที่ทะลวงออกมาในการคัดเลือกถกมรรควันนี้
ผู้แข็งแกร่งแต่ละคนที่ถูกทุกคนคาดหวังอย่างตงหลิวซื่อ หวังเจินหยาง เกาหลิงเทียน… ถูกเขาเอาชนะไปทีละคน
และในการต่อสู้ที่เขาได้ชัยชนะสิบครั้งรวดไปนี้ ยังเอาชนะกู่เจี้ยนสิงในการโจมตีเดียวอีกด้วย!
เรื่องนี้หากเป็นก่อนหน้านี้ ใครก็ไม่อาจคาดเดาได้
ก็ด้วยเหตุนี้เอง ขณะนี้เมื่อมองหลินสวินที่อยู่บนสังเวียนอีกครั้ง สายตาทุกคู่ก็เจือความรู้สึกตื่นตะลึงไปแล้ว
นี่ทำให้ทุกคนยิ่งแน่ใจว่าจินตู๋อีคนนี้ต้องไม่ใช่ผู้ฝึกปราณในแคว้นเมฆา เป็นไปได้สูงที่จะเป็นบุคคลแห่งยุคที่มาจากโลกอื่นในฟ้าดารา
หาไม่แล้วด้วยพลังต่อสู้ที่สำแดงออกมา เกรงว่าคงมีชื่อระบือสี่ทิศไปนานแล้ว ไม่มีทางไร้คนสังเกตเห็นจนมาถึงตอนนี้
มีคนคำนวณเวลา ตั้งแต่ตอนที่เริ่มออกสู้โดยไม่มีใครสนใจ จนถึงตอนนี้ที่ฝีมือสะท้านทั่วสี่ทิศ ยังไม่ถึงหนึ่งก้านธูปเท่านั้น ชื่อของจินตู๋อีก็สะเทือนไปทั้งลานประลองแล้ว!
ความรวดเร็วในการผงาดขึ้น ทำให้ทุกคนตกตะลึงอ้าปากค้าง
บนที่นั่งผู้คุมการทดสอบ หงอวี่ยิ้มน้อยๆ “จินตู๋อีคนนี้… ทำให้ทุกคนได้เปิดหูเปิดตาจริงๆ นะ”
เถาซงถิงมุมปากเกร็งกระตุกครู่หนึ่ง ยกมือขึ้นดึงปิ่นไม้มงคลแล้วโยนให้หงอวี่ เอ่ยว่า “เจ้าชนะแล้ว”
หงอวี่รีบร้อนเอ่ย “ข้าก็เดาส่งๆ เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าจะโชคดีเดาถูกเสียแล้ว พี่เถาอย่าถือสาเลย”
เถาซงถิงพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “พอแล้ว แพ้ก็คือแพ้ อย่าคิดว่าข้าแพ้ไม่เป็น”
อวี๋ฮูหยินเม้มปากยิ้ม
คนใหญ่คนโตระดับกึ่งจักรพรรดิคนอื่นก็ลอบถอนใจ จินตู๋อีคนนี้… เป็นม้ามืดที่ทำให้พวกเขาประหลาดใจได้จริงๆ!
กิตติศัพท์ของกู่เจี้ยนสิงยิ่งโด่งดัง ก็ยิ่งขับให้จินตู๋อีที่เอาชนะเขาได้ยิ่งไม่ธรรมดา นี่ก็คือโศกนาฏกรรมของผู้ที่ตกเป็นหินรองเท้า
“เอ๊ะ หลังจินตู๋อีชนะสิบครั้งรวดก็ไม่ได้ออกจากสังเวียน นี่เขาอยากรับการท้าสู้ต่อหรือ”
มีคนค้นพบอย่างตกตะลึงว่าหลินสวินยังยืนอยู่บนสังเวียน
ชั่วขณะเดียวสายตามากมายต่างมองไป
“ขนาดกู่เจี้ยนสิงยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา ใครจะยังบุ่มบ่ามมาท้าเขาสู้”
ผู้แข็งแกร่งที่กำลังรออยู่ในพื้นที่เข้าต่อสู้มากมายต่างรู้สึกขมขื่นใจไปครู่หนื่ง
พวกฉู่ชิว จั๋วเฟิ่งอิ่งยึดครองสังเวียน ต่างทำให้ทุกคนรู้สึกกดดันแล้ว
ตอนนี้กู่เจี้ยนสิงเพิ่งออกไป ก็มีจินตู๋อีที่แข็งแกร่งยิ่งกว่ากู่เจี้ยนสิงโผล่มาอีก นี่ทำให้พวกเขารู้สึกกลัดกลุ้มไปครู่หนึ่ง
“นี่ก็ไม่เสมอไป อย่างที่ผู้อาวุโสเถาซงถิงพูดไว้ แรงคนมีวันหมด จินตู๋อีคนนี้สู้มาสิบยกติดแล้ว จะไม่สูญเสียพลังกายไปอย่างรุนแรงได้อย่างไร”
ทั้งยังมีคนไม่ยอมแพ้ “ถ้าคว้าโอกาสนี้ไว้ได้ ไม่แน่ว่าจะเอาชนะเขาได้ก็ได้!”
ดังคาด คล้ายอยากทำให้คำพูดของคนผู้นี้เป็นจริง ไม่นานนักก็มีผู้ฝึกปราณเข้าไปท้าสู้
แต่เพียงครู่สั้นๆ เท่านั้นก็ถูกหลินสวินเอาชนะบนสังเวียน
“ทุกคน!”
มีคนกัดฟันคำรามลั่นว่า “ล้มเหลวแล้วสู้ใหม่อีกก็พอ ถ้าแม้แต่ความกล้าจะต่อสู้ยังไม่มี ยังจะเข้าคัดเลือกถกมรรค พูดถึงการเสาะแสวงมหามรรคอะไรได้อีก”
คำพูดเดียวประหนึ่งเพลิงกล้าลูกหนึ่ง ทำให้ผู้เข้าร่วมการต่อสู้ที่สังเกตการณ์เหล่านั้นแต่ละคนต่างรู้สึกหวั่นไหว
“ถูกต้อง แพ้แล้วก็ลุกขึ้นมาสู้ต่อ ถ้าเพราะกลัวจึงไม่สู้ เมื่อไรจะเด่นดังได้กัน”
“ไปสู้!”
ชั่วขณะเดียวผู้เข้าร่วมการต่อสู้หลายคนก็กระโจนออกมา จิตใจฮึกเหิม แววตาแน่วแน่
นี่ไม่ใช่เพราะถูกคนพูดไม่กี่คำจึงเลอะเลือน แต่เป็นเพราะกฎของการคัดเลือกชัดเจนนัก ต่อให้ถูกเอาชนะ ก็ยังมีโอกาสไปท้าสู้คนอื่น
นี่ก็เท่ากับให้โอกาสพวกเขาได้ต่อสู้มากมาย!
ชั่วขณะเดียวไม่เพียงแต่สังเวียนที่หลินสวินอยู่ สังเวียนที่ฉู่ชิว จั๋วเฟิ่งอิ่งอยู่ยังถูกผู้เข้าร่วมต่อสู้มากมายจับต้อง
ส่วนผู้ชมการต่อสู้ในลานแสดงมรรคเห็นดังนี้ต่างก็ใจเต้นระส่ำขึ้นมา เต็มไปด้วยความรู้สึกตั้งตาคอย
“นี่ถึงเหมือนสิ่งที่ผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงทำหน่อย”
พวกเถาซงถิง อวี๋ฮูหยินเห็นดังนี้ ต่างลอบพยักหน้า
——