ตอนที่ 1912 เฉิดฉายนำโดด
ข้ายอมแพ้…
เสียงที่เจือแววเดือดดาล หวาดสะพรึงของอู่หวงนั่น ก้องสะท้อนกลางฟ้าดิน
ในที่นั้นเงียบกริบทั้งแถบ
สายตาทั้งหมดล้วนเจือแววตื่นตกใจ มองไปในสนามประลองเป็นจุดเดียว
ที่ตรงนั้นอู่หวงนั่งหมดสภาพบนพื้น เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง บาดเจ็บอาบเลือดทั่วทั้งร่าง น่าอนาถถึงที่สุด
และเหนือศีรษะของเขา ปราณกระบี่โปร่งแสงแวววาวประหนึ่งเพลิงผลาญแถบหนึ่งเบียดเสียดแน่นขนัดอยู่ตรงนั้น เจือประกายแสงแข็งกร้าวที่ชวนหวั่นหวาด
ไม่ไกลออกไปเงาร่างหลินสวินไร้มลทิน ดุจดั่งเทพเซียน
สู้จนอู่หวงไร้เรี่ยวแรงต้านทาน เจ็บหนักปางตาย
ยิ่งบีบให้เขาไม่อาจไม่เป็นฝ่ายยอมจำนน!
ทุกคนที่เห็นเหตุการณ์นี้ล้วนสะท้านสะเทือนไร้คำพูด
อู่หวง…
แพ้แล้ว!
แพ้อย่างเละไม่เป็นท่า เสียหน้ายับเยินต่อหน้าจินตู๋อีคนนั้น!
วู้ม…
หลินสวินโบกแขนเสื้อคราหนึ่ง ฝนกระบี่ทั่วฟ้าราวกับวิหคกลับรัง หายลับเข้าไปภายในร่างของเขา
“สู้กับผู้อื่นคราวหน้าก็พูดไร้สาระให้น้อยหน่อย หาไม่ยามถูกบีบกลับต้องเอ่ยปากร้องขอความเมตตา เช่นนั้นก็น่าขายหน้าเกินไปแล้ว”
หลินสวินยิ้มพลางทิ้งประโยคนี้ไว้ ก่อนเดินออกจากสนามประลองอย่างผ่าเผย
สีหน้าอู่หวงวูบไหวไม่นิ่ง กัดฟันจวนจะหัก การต่อสู้ครั้งนี้เขาแพ้อย่างน่าอนาถเกินไป ถูกทรมานสาหัสอย่างสิ้นเชิง
ไม่เพียงเสียอันดับหนึ่งที่หมายมั่นว่าต้องเอามาให้ได้ ยังทำให้ตนเสียหน้ายับเยินด้วยเหตุนี้ด้วยเช่นกัน
ต่อให้สุดท้ายจะยังเป็นอันดับสองของศึกถกมรรคแคว้นเมฆา แต่ยามเมื่อผู้คนเอ่ยถึงเขา มีหรือจะไม่รู้ว่าเขาเคยถูกจินตู๋อีซัดพ่ายไปหนหนึ่ง
‘จินตู๋อี… ช้าเร็วเจ้าต้องตาย!’
ภายในใจอู่หวงคำรามเดือด
……
ยามหลินสวินเดินลงจากสนามประลอง สายตาในที่นั้นทั้งหมดล้วนมองที่เขาเป็นจุดเดียว
มองเห็นชายหนุ่มที่เสื้อผ้าสะอาดสะอ้าน มาดไร้มลทิน ไร้อาการบาดเจ็บแต่อย่างใด สีหน้าของทุกคนล้วนเต็มไปด้วยแววสั่นสะท้านและยำเกรง
ตอนนี้ การแข่งขันรอบที่สามได้สิ้นสุดลงในวันนี้
หลินสวินชนะสองครั้ง!
อู่หวงชนะหนึ่งครั้ง!
ลู่ตู๋ปู้แพ้!
หลินสวินในเวลานี้ เป็นอันดันหนึ่งของศึกถกมรรคแคว้นเมฆาเรียบร้อยแล้วโดยไม่ต้องสงสัย!
“ชนะแล้ว…”
“ฮ่าๆ ชนะแล้วๆ!”
ในที่นั้นเกิดเสียงฮือฮาประหนึ่งฟ้าร้องก็ไม่ปาน
บนดวงหน้าเลอโฉมเย็นเยียบดุจหิมะของจินเทียนเสวียนเยวี่ยผุดรอยยิ้มสดใสชวนเคลิบเคลิ้ม สีระเรื่อเจือสองแก้ม ภายในใจก็ตื่นเต้นหาใดเปรียบ
แคว้นเมฆาเป็นหนึ่งในสี่สิบเก้าแคว้นของโลกใหญ่หงเหมิง อาณาเขตกว้างขวางยิ่งกว่าโลกใหญ่แห่งหนึ่ง สามารถบุกฝ่าการคัดเลือกด่านแล้วด่านเล่าออกมา และคว้าตำแหน่งอันดับหนึ่งในการคัดเลือกถกมรรคได้ นี่ก็ไม่ง่ายอย่างที่สุดแล้ว
และตอนนี้หลินสวินทำได้แล้ว
“เผิงใหญ่ทะยานนภาสูงเก้าหมื่นลี้ แปดพันปีกระบี่ครวญยืนยาว! การต่อสู้นี้ ชนะอย่างสวยงาม!”
เหิงเซียวปรบมือหัวเราะลั่น สะใจหาใดเปรียบ
ในใจเขายิ่งสะอื้น สมกับเป็นอาจารย์อาเล็กของท่านบรรพจารย์สำนักตน แข็งแกร่งยิ่งยวด
‘เจ้าหนุ่มนี่เป็นพวกชั้นเลิศที่หาตัวจับยากแห่งยุคจริงๆ เป็นม้ามืดที่สามารถสะเทือนโลก การต่อสู้ในวันนี้ทำให้ข้าได้เปิดโลกเช่น’
ก้วนซวีทอดถอนใจ
คนใหญ่คนโตในที่นี้ต่างก็ใจเต้นกระหน่ำ
ก่อนหน้านี้ไม่ว่าใครก็คิดไม่ถึง ว่าท้ายที่สุดแล้วอันดับหนึ่งจะถูกม้ามืดอย่างจินตู๋อีคว้าไปครอง
โดยเฉพาะการต่อสู้ของเขากับอู่หวงครั้งนี้ ทำให้คนรุ่นอาวุโสอย่างพวกเขายิ่งตกใจทบทวี ในใจพบเจอแรงจู่โจมที่ไม่เคยมีมาก่อน
“มองเห็นจุดสูงสุด ไม่อาจไม่ศิโรราบ…” ลู่ตู๋ปู้พึมพำ
‘เหตุใดข้ารู้สึกว่าต่อให้เป็นการต่อสู้กับอู่หวงในครั้งนี้ ก็ไม่อาจบีบรากฐานพลังทั้งหมดของจินตู๋อีนี่ออกมาได้’
เนตรดาราของเซี่ยอวี่ฮวาดุจมายา สีหน้าเจือแววอึ้งค้าง
จินตู๋อีในเวลานี้เป็นเป้าสายตาของทุกคนอย่างไม่ต้องสงสัย ทว่าในสายตาของเซี่ยอวี่ฮวา กลับยิ่งมองไม่ออกขึ้นเรื่อยๆ
ตัวเขาดั่งหุบเหว ลึกล้ำสุดหยั่ง!
ผู้แข็งแกร่งคนอื่นๆ อย่างพวกหวังถู ซูมู่หาน เหลิ่งซิวเจีย กุยซานสิง แต่ละคนต่างก็สีหน้าซับซ้อน
จินตู๋อี!
นี่เป็นเหตุพิเศษที่เกิดขึ้นในศึกถกมรรคแคว้นเมฆาครั้งนี้อย่างแน่นอน ผู้ชนะคนสุดท้ายที่ทำให้ใครก็ตามต่างคิดไม่ถึง!
ในที่นั้นชุลมุน ฮือฮาโกลาหล
อู่หวงที่บาดเจ็บสาหัสกลับไร้คนสนใจ
นักพรตหลันจากเกาะเทพเวหาทมิฬกลับสีหน้าเขียวคล้ำ อัดอั้นที่อก
เพียงแต่ไม่มีใครสนใจเช่นกัน
และในวันนี้เอง
ศึกถกมรรคแคว้นเมฆาปิดม่าน และข่าวสารเกี่ยวกับการคัดเลือกถกมรรคก็เริ่มแพร่กระจายเหมือนมรสุมพัดโกรก พุ่งไปยังสี่ทิศแปดทาง เรียกความฮือฮาไม่รู้เท่าไหร่
“อะไรนะ จินตู๋อีเป็นอันดันหนึ่งหรือ”
“ลู่ตู๋ปู้ อู่หวงถึงกับไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาหรือ”
“จินตู๋อีนี่… ก็ช่างทำให้ผู้คนแปลกใจซะเหลือเกิน”
ไม่ว่าผู้แข็งแกร่งคนใดที่ได้รู้อันดับสุดท้ายของศึกถกมรรคแคว้นเมฆา ต่างก็รู้สึกประหลาดใจและงงงัน ไม่อยากจะเชื่อ
อย่างไรเสียใครเลยจะคาดคิด ว่าชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งไร้ชื่อเสียงก่อนศึกถกมรรคแคว้นเมฆาจะเริ่มขึ้น หลังจากศึกถกมรรคแคว้นเมฆา อานุภาพกลับสยบผู้คน ชิงอันดันหนึ่งมาได้
“พวกเจ้าสังเกตเห็นหรือไม่ จินตู๋อีนี่นับตั้งแต่เข้าร่วมการคัดเลือกถกมรรคจนบัดนี้ ไม่เพียงไม่เคยพ่ายแพ้สักครั้ง ซ้ำยังไต่ขึ้นอันดันหนึ่งตลอด”
“การคัดเลือกรอบแรก เขาสร้างสถิติชนะเก้าสิบเก้าครั้งรวด กลายเป็นม้ามืดที่เด่นสะดุดตาที่สุดในหมู่อันดับหนึ่งทั้งสิบ”
“การคัดเลือกรอบสอง เขาเป็นคนแรกที่ทะลวงเจดีย์หลอมมรรคว่างเปล่าเก้าชั้น พวกลู่ตู๋ปู้ยังถูกเขาทิ้งไว้ข้างหลัง”
“และในการคัดเลือกรอบสุดท้าย เขายิ่งทะยานโดดเด่น ใช้ท่วงท่าไร้ทัดเทียมสยบพวกลู่ตู๋ปู้ อู่หวงอย่างต่อเนื่อง คว้าอันดันหนึ่งมาได้ในคราวเดียว!”
หลังจากข่าวเกี่ยวกับหลินสวินได้รับการรวบรวมและเรียบเรียง ผู้คนค้นพบความจริงข้อหนึ่งด้วยความตกใจ
ในศึกถกมรรคแคว้นเมฆาที่อาณาเขตกว้างใหญ่ครั้งนี้ จินตู๋อีที่หลินสวินปลอมตัวอยู่ถึงกับสร้างวีรกรรมมากมายซึ่งสามารถสะท้านทั่วหล้า
“เขามาจากไหนกันแน่ และเป็นศิษย์ของสัตว์ประหลาดเฒ่าคนใดกัน”
“จินตู๋อี จินตู๋อี… เขาแข็งแกร่งปานใดกันแน่”
“เร็วเข้า รวบรวมข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวกับคนผู้นี้เต็มกำลัง”
ในช่วงเวลาต่อมา ทุกแห่งหนทั่วแคว้นเมฆาล้วนกำลังถกถึงเรื่องหลินสวิน
น่าเสียดาย จนสุดท้ายก็ไม่มีใครล่วงรู้ตัวตนที่แท้จริงของเขา
ประการแรกหลินสวินไม่ได้ปรากฏตัวโดยใช้ฐานะที่แท้จริง สองคือมีชุดนักพรตสมประสงค์ปิดบังพลัง จึงไม่มีใครคาดคิดว่าชายหนุ่มเช่นนี้ชื่อสะท้านทั่วโลกหล้าในฟ้าดารานานแล้ว ตั้งแต่ตอนที่แหล่งสถานคุนหลุนปิดม่านเมื่อหลายปีก่อน!
ขณะที่โลกภายนอกอึกทึกครึกโครม พวกหลินสวิน ลู่ตู๋ปู้ อู่หวง เซี่ยอวี่ฮวา หวังถู ทั้งสิบคนก็ได้รับคำเชิญจากคนใหญ่คนโตอย่างพวกก้วนซวี
ภายในห้องโถงเก่าแก่แห่งหนึ่งของสำนักว่างเปล่า
บรรยากาศเคร่งขรึม
ก้วนซวีเอ่ยปากเสียงขรึม “งานชุมนุมถกมรรคที่หกเรือนมรรคใหญ่ร่วมมือกันจัดขึ้นจะเปิดม่านในอีกครึ่งปีให้หลัง”
“ถึงตอนนั้นพวกเจ้าสิบคนจะเป็นตัวแทนโลกฝึกปราณแคว้นเมฆา มุ่งหน้าสู่เรือนมรรคโลกาสวรรค์แห่งแคว้นกลางมรรค เข้าร่วมชุมนุมครั้งนี้ด้วยกัน”
“นี่คือป้ายประจำตัวสิบป้าย พวกเจ้าแต่ละคนเก็บไว้ให้ดี”
กล่าวพลางก้วนซวีโบกแขนเสื้อคราหนึ่ง แสงเคลื่อนสิบสายพุ่งโฉบ และร่วงลงบนมือของพวกหลินสวินทีละสาย
หลินสวินหยิบมาดู ป้ายนี้สร้างขึ้นจากหยกเทพโลกาสวรรค์อันลึกลับ บนนั้นประทับสัญลักษณ์ภาพหินเอาไว้
“หวังว่าพวกเจ้าจะไม่หลงระเริงเพราะเรื่องนี้ ควรรู้ว่าศึกถกมรรคในครั้งนี้จำกัดอยู่แค่ในแคว้นเมฆาของพวกเราเท่านั้น และผู้ที่สามารถเข้าร่วมงานชุมนุมถกมรรคได้ ล้วนเป็นบุคคลแห่งยุคชั้นยอดทั่วหล้า!”
น้ำเสียงของก้วนซวีดุจระฆังกังวาน ทำการตักเตือน
พวกหลินสวินต่างพยักหน้า
พวกเขาเองก็รู้ดี การคัดเลือกในศึกถกมรรคแคว้นเมฆา ก็เกิดขึ้นภายในแคว้นอื่นๆ ของโลกใหญ่หงเหมิงเช่นกัน
สิบอันดับแรกของแต่ละแคว้นเหมือนเช่นพวกเขา ล้วนมีคุณสมบัติเข้าร่วมงานชุมนุมถกมรรคทั้งสิ้น
นอกจากนี้ผู้สืบทอดและศิษย์ของหกเรือนมรรคใหญ่ สิบเผ่านักรบใหญ่ในแคว้นกลางมรรค รวมถึงพวกปีศาจจากโลกอื่นๆ ในฟ้าดารา ต่างล้วนจะมาเข้าร่วมงานชุมนุมถกมรรคครั้งนี้เช่นกัน
สามารถคาดเดาได้ว่ายามการถกมรรคเปิดม่านขึ้น ผู้แข็งแกร่งที่สามารถเข้าร่วมได้ แต่ละคนจะต้องแกร่งกล้าและวิปริตยิ่งยวดอย่างแน่นอน!
……
และในวันนั้นเอง ผู้แข็งแกร่งที่เข้าร่วมการคัดเลือกถกมรรคแคว้นเมฆา ต่างทยอยจากไปภายใต้การนำทางของผู้อาวุโสในตระกูล หรือสำนักต่างๆ
หลินสวินเองก็จากไปในวันนั้นเช่นกัน ออกเดินทางเพียงลำพัง
เขาได้นัดหมายกับเหิงเซียวไว้แล้ว หลังจากกลับสู่สำนักยุทธ์เสวียนจี ก็จะเริ่มตระเตรียมเรื่องมุ่งหน้าไปเผ่าจักรพรรดิตระกูลเจียง
สวบ!
เหนือเวิ้งฟ้า ยานสมบัติลำหนึ่งทะยานเหินกลางห้วงอากาศ บรรทุกหลินสวินมุ่งหน้าไปยังทิศที่ตั้งของสำนักยุทธ์เสวียนจี
บนยานสมบัติหลินสวินนั่งขัดสมาธิทำสงบจิต กำลังหยั่งรู้และย่อยประสบการณ์ทั้งหมดที่ได้รับจากการเข้าร่วมศึกถกมรรคแคว้นเมฆาในครั้งนี้
‘ตอนนี้ระยะห่างจากระดับมกุฎราชันอริยะขั้นปลายเหลืออีกเพียงนิดเดียวเท่านั้น การควบคุมเขตแดนมรรคบรรลุถึงขั้นสำเร็จส่วนใหญ่แล้ว…’
หลินสวินครุ่นคิด
ศึกถกมรรคครั้งนี้ คู่ต่อสู้ที่พอสมน้ำสมเนื้อมีนับนิ้วได้ แต่กลับทำให้หลินสวินได้รับประโยชน์ไม่น้อย
การหลอมพลังต้นกำเนิดวีถียุทธ์ ทำให้เขาควบรวมกายมรรคเพลิงแดงออกมา ครอบครอง ‘เนตรผลาญเผา’ ได้
การกินลูกกลอนศุภโชคต้นพิสุทธิ์ ก็ทำให้ปราณของเขาพัฒนาขึ้นช่วงใหญ่ ใกล้จะทะลวงระดับมกุฎราชันอริยะขั้นปลาย
ที่หายากที่สุดคือ การเข้าร่วมการต่อสู้คัดเลือกหนแล้วหนเล่า ทำให้เขาได้สัมผัสพลังเขตแดนมรรคหลากหลาย ได้ทำความเข้าใจและหยั่งรู้มากมาย
และทำให้เขาได้สั่งสมประสบการณ์ล้ำค่า สำหรับปรับแก้เขตแดนมรรคแห่งตนให้สมบูรณ์แบบ
ครุ่นคิดเนิ่นนาน หลินสวินก็ตัดสินใจว่าจะเร่งทำเวลาก่อนเข้าร่วมงานชุมนุมถกมรรค ทำการทะลวงระดับปราณในคราเดียว พร้อมกันนั้นก็จะทำให้เขตแดนมรรคไปถึงขั้นสมบูรณ์!
ตูม!
ทันใดนั้นยานขนส่งอวกาศสั่นโคลงรุนแรง คล้ายกับชนโขดหินอย่างไรอย่างนั้น
หลินสวินที่รู้สึกไม่เข้าทีอยู่ก่อนแล้วพุ่งออกจากยานสมบัติทันที ยืนนิ่งกลางอากาศ แวบเดียวก็เห็นบนหนทางเบื้องหน้ามีเงาร่างกลุ่มหนึ่งยืนตระหง่านอยู่
ผู้นำเป็นชายวัยกลางคนองอาจชุดม่วงคนหนึ่ง นัยน์ตาราวกับอสนี อานุภาพน่าสะพรึง แผ่กลิ่นอายกร้าวแกร่งอันเป็นของระดับกึ่งจักรพรรดิออกมา
ข้างกายเขารายล้อมด้วยคนกลุ่มหนึ่ง คนไม่น้อยถึงกับเป็นกึ่งจักรพรรดิ!
หนึ่งในนั้นยังมีเงาร่างของคนผู้หนึ่งที่หลินสวินคุ้นตาเป็นที่สุด เฮ่อเหลียนฉีนั่นเอง
“เจ้าหนุ่ม รู้หรือไม่ว่าพวกเรามาหาเจ้าทำไม”
ชายวัยกลางคนชุดม่วงเอ่ยปากเย็นชา
หลินสวินสีหน้าเรียบเฉย เก็บยานขนส่งอวกาศลวกๆ จากนั้นค่อยกล่าวว่า “พอจะเดาออกอยู่บ้าง”
ขนาดเฮ่อเหลียนฉียังปรากฏตัวด้วย มีหรือเขาจะไม่เข้าใจว่าต่อไปจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น
หนำซ้ำตอนที่ออกจากสำนักยุทธ์ว่างเปล่า เขาก็เดาได้แล้วว่าหลังจากศึกถกมรรคแคว้นเมฆาปิดม่าน จะต้องมีคนเคลื่อนไหวหมายเล่นงานตนแน่ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะมาไวเช่นนี้
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าเตือนเจ้าว่าอย่าได้ต่อต้านเป็นดีที่สุด ตามพวกเรามาแต่โดยดี”
ชายวัยกลางคนชุดม่วงสีหน้าราบเรียบ
ขณะพูด ทุกคนข้างกายเขากระจายตัวออกเป็นรูปพัด ใช้อานุภาพของการปิดล้อมมาบีบคั้นกดดันหลินสวิน
นัยน์ตาดำของหลินสวินลึกล้ำ เรียบเฉยสุกใส สงบนิ่งไม่ไหวติง
ในศึกถกมรรค เขาอาจต้องเก็บซ่อนรากฐานพลังและความแข็งแกร่งส่วนหนึ่ง เพื่อเลี่ยงไม่ให้สะดุดตาเกินไป ก่อให้เกิดคลื่นลมที่ไม่จำเป็น
เช่นนั้นเวลานี้ ในสถานที่เวิ้งว้างห่างไกลแห่งนี้ เขาก็เหมือนมังกรคืนสมุทร ไม่จำเป็นต้องปิดบังฝีมือของตนอีกต่อไป!
——