ตอนที่ 1942
ฉันเลี้ยงพี่เอง
คนทั้งโลกรู้ว่าป๋อจิ่วปรารถนาที่จะเอาฉินมั่วไปเลี้ยงที่บ้านมากที่สุด
ซึ่งก็สมหวังแล้วในเวลานี้
เธอดีใจจะแย่ “อื้อ ฉันจะเลี้ยงพี่เอง ต่อไปพี่ตามฉันกลับ The Fifth Avenue ไหม?”
“ได้” ฉินมั่วหัวเราะ “รอสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ก่อน เธอจะไปไหน เราก็ไปด้วยกัน”
ดวงตาของป๋อจิ่วสว่างไสว “อยากไปตั้งหลายที่แน่ะ คุนหลุน ภูเขาเอเวอร์เรส เขอเข่อซีหลี่ในมองโกเลีย แล้วก็ยังมีที่อื่น…”
“ไปปีละที่พอ” ฉินมั่วหยิกแก้มเธอ “ต้องอยู่บนเงื่อนไขว่า คนบางคนต้องไม่ซน”
ป๋อจิ่วหัวเราะ หล่อเท่เป็นที่สุด “ฉันเป็นเด็กดีจะตายเวลาอยู่กับคนสวย”
ฉินมั่วเลิกคิ้ว คนสวย? ยัยคนนี้ไม่วันรู้เลยว่าคนสวยตัวจริงเป็นใครกันแน่?
ป๋อจิ่วอยากพูดอีก ด้วยดีใจเหลือเกิน
แต่ยังไม่ทันได้เอ่ย ก็ถูกสูบลมหายใจไป
จูบในครั้งนี้ต่างจากเมื่อครั้งที่แล้ว อุกอาจจนขัดขืนไม่ได้
ริมฝีปากบางเย็นนิดๆ ไม่ได้อ่อนโยนอีก เหมือนต้องการจะดึงสติของเธอออกไป
กระทั่งปลายลิ้นยังมีกลิ่นมินต์ตกค้างอยู่ จนกระทั่งเมื่อเธอวาบหวามไปทั้งตัว เขาถึงยอมปล่อยไป
เขาละมือข้างหนึ่งมาส่งวีแชทกลับ เนื้อความประมาณว่า “พวกนายกำลังรบกวนฉันที่ตอบรับคำขอแต่งงานจากใครบางคนอยู่”
ได้ยินน้ำเสียงของเขาที่เย็นนิดๆ ป๋อจิ่วถึงเพิ่งรู้ตัวว่าเสื้อเชิ้ตบนตัวถูกแกะกระดุมไปแล้วหลายเม็ด หากพูดจากมุมนี้พวกนั้นก็รบกวนจริงๆ
ฉินมั่วมองเธอแวบหนึ่ง ก่อนจะกลัดกระดุมคืนให้เธอทีละเม็ด แววตาลึกซึ้งมาก
ทางด้านกรุ๊ปวีแชทเหมือนระเบิดลงตู้ม
แค่นึกดูก็รู้ว่าสถานการณ์เป็นอย่างไร
จ้าวซานพั่งออกมาประกาศคนแรก “ดีดเขาออกจากกลุ่ม!”
“เห็นด้วย!”
“เห็นด้วย +1!”
แล้วยังไง ใครแคร์?
ฉินมั่วส่งข้อความไปว่า “อิจฉาล่ะสิ?”
ก็ทำให้ความแค้นไต่ระดับขึ้นสูงสุดอีกครั้ง
แต่ยังไม่จบแค่ไหน
ประโยคถัดมาของฉินมั่วคือ “โฮชิโนะก็น่าจะอยู่ในกรุ๊ปนี้ด้วย คงไม่ต้องบอกเรื่องที่ฉันถูกขอแต่งงานกับเขาผ่านช่องทางอื่นแล้ว จ้าวซานพั่ง นายได้ทำในสิ่งที่ผู้สนับสนุนควรทำสำเร็จแล้ว”
จ้าวซานพั่ง “…”
โฮชิโนะ “…”
ยูกิชิน “…”
สมาชิกจากแต่ละทีมรู้สึกว่าตัวเองได้สัมผัสความหน้าไม่อายของฉินมั่วอีกครั้ง
สำหรับเรื่องนี้ ป๋อจิ่วคิดว่าท่านเทพขุดหลุมล่อเธอมากกว่า
ไหนบอกว่ารอให้เธอสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ก่อนไง
ตลอดราวหนึ่งเดือนนี้ ผู้คนจะเห็นคนบางคนที่เท่เหลือร้ายถือหนังสือเดินไปทั่วทุกที่
แถมมีอยู่ครั้งหนึ่งที่เด็กหัวเกรียนจากเจียงเฉิง 2 มาเจอเข้า ถึงกับตกใจเลยทีเดียว
ต้องรู้ไว้ว่าคนเก่งๆ ถึงแม้จะได้คะแนนดี แต่การรักเรียนแบบนี้ไม่เหมาะกับเจ้าตัวเลย
ถึงอย่างไรเขากับเธอต่างก็เคยกระโดดกบด้วยกัน
นี่เป็นอภิสิทธิ์ของคนที่โดดเรียนเท่านั้น!
“ไอดอล นายเปลี่ยนไป!” เด็กหัวเกรียนเจ็บปวดหัวใจมาก “นายเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ!”
ป๋อจิ่วคาบหญ้าหางหมาไว้ในปากพลางหัวเราะ คิดในใจว่านายมันจะไปรู้อะไร ฉันกำลังเตรียมแต่งท่านเทพเข้าบ้านต่างหาก
หลังจากแข่งชิงแชมป์เอเชีย ทีมไดมอนด์ก็ได้พักผ่อนทั้งทีม มีสัมภาษณ์ที่ต้องเข้าร่วมมาบ้าง แต่เธอไม่ไป
การพักเป็นระยะเวลานานเช่นนี้ เธอย่อมใช้โอกาสต้องอ่านหนังสือให้เต็มที่
แต่ไม่ว่าทีมไดมอนด์จะแข็งแกร่งขนาดไหน โด่งดังจากการได้ชัยชนะมาเพียงไร
พวกชาวเน็ตที่ไม่ชอบแบล็กพีช Z ก็ยังมีเยอะเหมือนเดิม
ถึงขั้นมีคนบอกว่า “ทีมไดมอนด์ไปไม่ไหวมานานแล้ว ตอนนี้ข้อเสียทุกประเภทของพวกเขาก็เห็นกันแล้ว แค่เฟิงอี้กลบไว้มิดดีเท่านั้น คนอื่นไม่รู้ก็ว่าไป แต่ภายในทีมกันเองเป็นยังไง มีแต่พวกเขาที่รู้ดีแก่ใจ…”
……………………………………..
ตอนที่ 1943
เฟิงอวิ๋น
ทีมไดมอนด์มีจุดอ่อนจริงๆ
แต่จุดอ่อนนี้ไม่ใช่แค่เรื่องบังเอิญ
เมื่อมาถึงจุดพีคสุดจุดอ่อนของทุกทีมจะปรากฏออกมา ฝั่งทีมไดมอนด์ก็ยิ่งเป็นอย่างนั้น
พวกเขาทุ่มกำลังแข่งทุกนัดราวกับเป็นสนามสุดท้าย ไม่ใช่เพียงเพราะความชอบอย่างเดียว แต่เป็นเพราะอายุของทีมเหลืออีกไม่นานแล้ว
ยังไม่ต้องคำนึงถึงอายุของอินอู๋เย่าก่อน
โดยปกติพวกที่แข่งจะอยู่ในรุ่น 18-19 ปี
จนเมื่ออายุถึง 24 สภาพของพวกเขาจะแย่ลงทุกวันๆ พูดอย่างนี้ออกจะโหดร้ายไป แต่มันเป็นเรื่องจริงที่สุด
บอกได้ว่าอายุทีมไดมอนด์จะมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่เพียงแค่อินอู๋เย่า แม้แต่หลินเฟิง อวิ๋นหู หรือฉินมั่ว เส้นทางลีกส์อาชีพของพวกเขาเหลืออีกเพียงสองปีเป็นอย่างมาก
ยิ่งไปกว่านั้น ก่อนจะแข่งชิงแชมป์เอเชีย อวิ๋นหู่และหลินเฟิงก็คิดจะออกจากวงการแล้ว
บ้านหลินกำลังประสบปัญหา ต้องพึ่งพาธุรกิจหลินกรุ๊ปเพียงอย่างเดียว
แม้หลินเฟิงจะดูแบ๊วบื้อ แต่ก็มีความรับผิดชอบมากกว่าทุกคน
เมื่อก่อนตอนที่ตระกูลหลินยังดีๆ อยู่ เขาอาจไม่ต้องใส่ใจอะไรมาก ทำตัวเป็นคุณชายจากเขตทหารได้สบายๆ แต่ตอนนี้ต่างไปจากเดิม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคนหรือเรื่องงาน หลินเฟิงล้วนแต่รู้อย่างลึกซึ้ง
แม้ภายนอกเขาเหมือนจะไม่แยแส ทว่าอันที่จริงเขาไม่ได้เอาแต่มีความสุขกับการลงแข่ง จนไม่ใยดีความรับผิดชอบต่อทางบ้าน
เมื่อทีมไดมอนด์คว้าชัยระดับเอเชียได้ เขาก็จะเริ่มไปที่โครงการก่อสร้างด้านนอกทันที
อวิ๋นหู่นัดเขาหลายครั้ง แน่อนอนว่าไม่ได้นัดเจอกันตามลำพัง แต่เป็นการนัดเจอกันของเพื่อนๆ ในเขตทหาร หลินเฟิงยังต้องบอกปัดหลายครั้งเพราะยุ่งกับงาน
คนข้างตัวอวิ๋นหู่คงมองอะไรออก
หนึ่งในหลายคนที่นั่งในร้านน้ำชาจึงหัวเราะ “ช่วงนี้ประธานหลินยุ่งจริงๆ เอางี้ เดี๋ยวฉันโทรไปตามเขาดีกว่า จะได้คุยกันเรื่องโปรเจกต์ที่เคยคุยกันเมื่อครั้งที่แล้วด้วย” พูดแล้วก็ต่อสายตรงหน้าอวิ๋นหู่ จุดประสงค์คือเพื่อจะให้อีกฝ่ายสมหวัง
ส่วนอวิ๋นหู่ถือถ้วยชาในมือโดยไม่มองคนพูด
ทว่าชายคนนั้นพอจะเข้าใจว่าอวิ๋นหู่ทนไม่ไหวแล้ว อยากเจอคนคนหนึ่งมาก ไม่งั้นคงไม่ไว้หน้าเขาแบบนี้
หลินเฟิงรับสายช้า เสียงที่เอ่ยขึ้นยังแทรกด้วยเสียงลมพัด “เจียเหอ มีอะไร?”
“ก็ไม่ได้มีอะไร แค่อยากชวนนายมาเจอกันหน่อย พวกเราโตมาด้วยกันที่เขตทหาร ไม่ได้เจอกันมานานแล้ว ก่อนหน้านี้นายต้องลงแข่ง บอกว่าจะต้องถนอมร่างกาย ตอนนี้ได้พักแล้วก็มาเจอกันหน่อยสิ คงไม่เป็นอะไรใช่ไหม” ซ่งเสียเหอฝีปากดี “เชื่อฉันแล้วจะดีเอง ฉันมีอะไรดีๆ มานำเสนอ”
หลินเฟิงเหลือบมองนาฬิกาข้อมือ ชะงักเล็กน้อย “ก็ได้ นายอยู่ไหน?”
“ที่เดิม ร้านน้ำชาที่พวกเรามากันบ่อยๆ ไง” ซ่งเจียเหอพูดจบก็หันไปมองอวิ๋นหู่
เวลาขับรถหลินเฟิงมักพูดน้อย แถมตอนนี้ไม่ได้อยู่ในทีม นิสัยเขาจึงสุขุมขึ้นมาก พูดจาก็ไม่มากขนาดนั้นแล้ว
อย่างไรซะเวลาอยู่ในวงการธุรกิจเรื่องนี้ก็สำคัญยิ่ง
พูดน้อยผิดน้อย พูดมากผิดมาก
เพราะไม่ว่าคุณจะพูดอะไร ขอแค่ฝ่ายตรงข้ามจงใจ ย่อมหาเรื่องเราได้จากคำพูดของเรา ดังนั้นเวลาทำธุรกิจจึงต้องทำงานให้เยอะแล้วพูดให้น้อย
หากป๋อจิ่วได้มาเห็นหลินเฟิงในตอนนี้คงคิดไม่ถึงแน่นอน แต่ดูเหมือนคนเราก็เป็นอย่างนี้ นิสัยมีหลายด้าน เราจำต้องอำพรางตัวตนเอาไว้ เพื่อให้กลมกลืนอยู่ในสังคมได้ดียิ่งขึ้น
เมื่อหลินเฟิงเดินเข้าร้าน ก็เห็นอวิ๋นหู่ที่นั่งด้านซ้ายทันที ฝีเท้าชะงักโดยไม่รู้ตัว….
……………………………………