เมืองหยวนหยางดูเงียบสงบ ที่นี่แทบไม่ต้องมียามคอยตรวจตราเมืองตลอดทั้งวันเหมือนที่จิวหัว
ฟางฉีเห็นทหารยามผ่านตาเพียงไม่กี่คนเมือง มันดูปลอดภัยกว่าที่อื่นมาปลอดภัยถึงขั้นสามารถเดินเล่นรอบๆ
ผู้คนส่วนมากที่เดินทางมาที่นี่มักมีจุดประสงค์เดียวกันเพื่อมาศึกษาหาความรู้ที่สำนักสวรรค์ แน่นอนว่าที่นี่มีกองกำลังระดับสูงมากมายทั้งนอกและในเมือง
อย่างไรก็ตาม ณ ที่พักที่ฟางฉีกำลังพักผ่อนหย่อนใจอยู่นั้นถูกตกแต่งด้วยหินสีขาวใสคล้ายหยก เสาของโรงแรมทำจากทองสัมฤทธิ์ที่ลึกลับ ศาลาและทางเดินถูกสลักตกแต่งด้วยความปราณีต ที่นี่เต็มไปด้วยฝูงชนเข้าออกไปมา บ่งบอกได้เลยว่าโรงแรมที่นี่ไม่ธรรมดา
หลีวูย่าผู้อาวุโสที่ตกอยู่ในสถานการณ์ย่ำแย่ เขาสูญเสียแขไปข้างหนึ่งแม้ว่าจะไม่ใช่เรื่องยากที่จะทำใจแต่ก็คงต้องใช้เวลาอีกนานในการรักษาอาการบาดเจ็บ นี่เป็นเหตุผลที่พวกเขาเลือกที่พักในโรงแรมแห่งนี้
“สำนักสวรรค์แห่งนี้นั้นร่ำรวยจริงๆ” ฟางฉีพูดด้วยความประหลาดใจ “พวกเจ้าเพิ่งลงทะเบียน นี่เราสามารถอยู่ที่นี่กันได้ทันทีเลยหรือ?”
อย่างไรก็ตามผู้เยี่ยมชมเหล่านี้ไม่ใข่สาวกโดยตรงของสำนัก พวกเขาจำเป็นต้องสอบผ่านเกณฑ์ก่อน
หลี่หลันเหลียวกล่าวว่า “ที่นี่ช่างยิ่งใหญ่กว่าที่ครอบครัวของข้าได้จินตนาการไว้มาก”
“มีคนกล่าวว่าพบเห็นผู้ฝึกฝนของตระกูลซุน” ระหว่างเดินชมรอบๆ บางคนเอ่ยขึ้นราวกับว่าไม่มีใครอยู่รอบๆ “เขาว่ากันว่าพวกเขาเกิดมาพร้อมกับแก่นจิตวิญญาณสีม่วงโดยกำเนิดพวกเขาสามารถไล่ความชั่วร้ายไปทั้งหมด ข้าแปลกใจที่พวกเขาเลือกเข้าพักที่โรงแรมไต้หวังแห่งนี้ด้วย”
“นอกจากตระกูลซุนแล้วข้ายังได้ยินมาอีกว่ายังมีหนานกงเซาแห่งวังดาบอยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน”
“วังดาบ? ตระกูลหนานกง? มีคำเหล่ากล่าวต่อกันมาว่าเมืองตอนที่หนานกงเซาถือกำเนิดมีดวงดาวมากมายลงมาจากสวรรค์พร้อมกับลูกดาบกักเก็บพลังงานคอยปกป้องเค้าด้วยความสามารถที่ไม่เคยพบมาก่อนจึงทำให้เข้าได้รับความเชี่ยวชาญตั้งแต่ยังเด็ก ข้าละสงสัยว่าเหตุใดเขาจึงอยากมาที่สำนักสวรรค์”
“เจ้ายังไม่เข้าใจ” อีกคนกล่าวว่า “สำนักสวรรค์สมารถสอนให้คนเป็นคนเก่งในทุกประเภท แม้แต่หัวหน้าครอบครัวคนที่ห้าของวังดาบก็ยังเคยร่ำเรียนที่นี่ เขาเลือกที่จะเดินตามสิ่งที่บรรพบุรุษกำหนดให้”
“ดูตรงนั้นสิ! ทำไมตรงนั้นถึงเต็มไปด้วยผู้คน?” พวกเขาร้องอุทานออกมาเมื่อเห็นคนยืนกันเต็มตรงหน้าทางเข้าโรงแรม คนเยอะจนบังประตูทางเข้าเต็มไปหมด
“นั่นคือ .. หวังจี้?” มีคนตะโกนขึ้นด้วยความประหลาดใจ
ฟางฉีเดินไปถามใกล้ๆ คนตะโกนด้วยความอยากรู้ “หวังจี้นั่นมีชื่อเสียงมากหรือ?”
“เจ้าไม่รู้จักเขาหรือ?” ชายคนนั้นหันมองที่ฟางฉีราวกับว่าเขาคือคนที่หลุดออกมาจากโลกอีกใบ
“หึ .. มันแปลกหรอที่ข้าไม่รู้จักเขา” ฟางฉีถาม
ผู้ฝึกฝฝนตอบกลับด้วยน้ำเสียงเหยียดหยามว่า “พี่ชายตั้งแต่เกิดมาเจ้าคงอยู่แต่ข้างในมาตลอดสินะ เจ้าไม่รู้จักแม้แต่หวังจี้ด้วยซ้ำ”
“หากมีรายชื่อของสุดยอดอัจฉริยะ หนึ่งในสิบคนนั้นคงมีชื่อหวังจี้!”
“มันแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของเขาเมื่อสิบปีก่อน ส่วนตอนนี้เขาได้รับของดีจากวังทองซึ่งมันทำให้เขาสามารถติดหนึ่งในสามอันดับแรกเลยก็ว่าได้”
ฟางฉีกำลังจะถามเพิ่มแต่แล้วกลับมีคนดึงเสื้อคลุมของเขาเสียก่อน
เขาหันกลับไปและพบว่าหลี่หลันเหลียวกำลังมีสีหน้าที่ดูลำบากใจไม่น้อย
“หัวหน้าสมาคม .. ข้าจะบอกท่านว่าหลังจากที่เรากลับมา ..”
มันรู้สึกน่าอายไม่น้อยคล้ายกับคำถามที่ถามแฟนตัวยงของนักฟุตบอลว่าเบ็คแฮมคือใคร .. แต่ถึงยังงั้น ฟางฉีไม่รู้อะไรเกี่ยวกับพวกเขาเลย
เมื่อผู้ฝึกฝนเหล่านั้นเดินจากไป ฟางฉีจึงหันไปถามด้วยความข้องใจว่า “วังทองนั้นคืออะไร? มีชื่อเสียงมากมั้ย?”
“…” หลีหลันเหลียว ไม่เข้าใจว่าผู้ฝึกฝนคนนี้มาจากไหนทำไมเขาถึงไม่รู้จักผู้คนจากวังทอง เธอจึงให้คำอธิบายสั้นๆว่า “หวังจี้เคยได้รับการจัดอันดับให้อยู่ในอันดับที่สิบของรุ่นน้องระหว่างตระกูลใหญ่ คนที่ได้รับการจัดอันดับเหนือเขาเป็นอัจฉริยะจากตระกูลอย่างหนานกงและหยุน พวกเขาเกิดมาพร้อมกับความโชคดีแถมยังรายล้อมไปด้วยปรมาจารย์และสมบัติหายากมากมาย”
“นอกจากสมบัติอันยิ่งใหญ่แล้วหวังจี้จากวังทองเพียบพร้อมไปด้วยหัวสมองอันชาญฉลาด ทีนี่เจ้าเข้าใจหรือยัง?”
เธอกล่าวเสริมว่า “หยกในร่างกายข้านี่ก็ได้รับมาจากในวังทอง ข้าได้รับมันโดยบังเอิญ มันช่างดึงดูดความสนใจของกองกำลังใหญ่ๆ อย่างมากตระกูลหนานกงก็พยายามที่จะตามล่าข้า ..”
“สมบัติขยะแบบนี้มาจากที่นั่นน่ะนะ!?” ฟางฉีส่ายหัว “ลืมมันซะ”
ใบหน้าสวยๆ ของหลี่หลันเหลียวเปลี่ยนสีทันที เธอรู้สึกเหมือนกำลังอึดอัดราวกับจะกระอักออกมา ถ้าคนอื่นพามาได้ยินเรื่องสมบัติของเธอละก็พวกเขาคงจะตามมาด้วยสายตาละโมบ แต่ผู้ชายคนนี้พูดเหมือนกับว่าสมบัติของเธอนั้นเป็นแค่ขนะชิ้นหนึ่ง!
ถ้าเขาเป็นคนอื่นเธอคงคิดว่าเขาแกล้งแสร้งไม่รู้เรื่องเป็นแน่ แต่หลังจากได้เห็นฟางฉีทำลายรอยวลักจิตวิญญาณลูกดาบอมตะของวังดาบแห่งสวรรค์ไปแล้ว เธอก็ได้ล่วงรู้ว่าเขาพูดความจริงแน เธอจึงไม่ได้สงสัยอะไร
ขณะเดียวกันฟางฉีหันกลับมาและบ่นพึมพำว่า “จากรูปลักษณ์ของผู้คนที่กำลังเดินทางไปยังสำนักสวรรค์ พวกเขาดูทรงพลังมาก เสี่ยวเย้ของข้าจะถูกรังแกมั้ยนะ”
ลืมมันไปซะ ข้าค่อยคิดถึงตอนนั้นละกัน ฟางฉีพูดขึ้นว่า “พวกเจ้าอยู่นี่ ข้าจะไปซื้อร้าน!”
…
ขณะเดียวกันที่ขอบทะเลสวรรค์อห่งนี้มีซากเรือจิตวิญญาณลอยเกยอยู่
ผู้ฝึกฝนหลายคนในชุดคลุมสีขาวพร้อมด้วยลวดลอยเมฆบนเสื้อร่อนลงมาจากท้องฟ้า
ผู้นำคือชายชราหน้าตามืดมนเขามีผมและเครายาวขาวพลิ้ว
“นี่คือเรือจิตวิญญาณของตระกูลหลี่” ผู้ฝึกฝนรายงาน “ดูเหมือนว่ามีคนบล็อคมันด้วยดาบ ข้าคิดว่าน่าจะเกิดจากลูกดาบ”
“คนของตระกูลหลี่อยู่ที่ไหน!?” ชายชราถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา “หนานกงจิวเหวินอยู่ไหน!? ร่างของเขาอยู่ที่ไหน!?”
“เราไม่พบร่างใดๆ รอบๆ ที่นี่เลย”
ผู้ฝึกฝนอีกคนรายงาน “มีเพียงแก่นรัศมีจิตวิญญาณที่ละเกะละกะรอบๆ อากาศ เราคาดว่ามันน่าจะเกิดจากผลกระทบของการต่อสู้”
“เจ้าคิดว่าข้าจะหาเจ้าไม่พบเพียงเพราะทำลายศพน่ะหรือ!?” ชายชราผมขาวตะโกน “ไม่ว่าพวกเจ้าจะไปที่ไหน ครอบครัวหนานกงของข้าจะต้องได้หยกจิตวิญญาณนั่นไม่ช้าก็เร็วแน่นอน!”
ประกายในแววตาของเขาดูเฉียบคมในไม่ช้าเขาก็ได้สร้างผนึกจิตวิญญาณที่ลึกลับด้วยมือทั้งสอง
แก่นแท้จากจิตวิญญาณเคลื่อนที่ไปบนท้องฟ้า มันค่อยๆ ทำให้รัศมีจิตวิญญาณในอากาศยืดตัวขึ้น
ฉากลึกลับปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า หนานกงจิวเหวินถูกล้อมรอบด้วขชายหนุ่มที่สวมชุดคลุมสีฟ้าขาวพร้อมกับผู้ฝึกฝนอีกร้อยคนจากวังดาบ
“ดาบอมตะ!? ชายคนนี้เป็นใคร? มันเป็นใครใยจึงรู้จักดาบอมตะ!?”
จากนั้นทุกคนก็เห็นร่างนัั้นทำท่าทางเยาะเย้ยโดยใช้นิ้วเกี่ยวดาบขึ้น อย่างไรก็ตามร่างกายของหนานกงจิวเหวินถูกกลืนกินด้วยพลังอันน่ากลัวของดาบที่ปรากฏกายเป็นมังกร ชั่วพริบตาดาบอมตะได้ทำลายทุกอย่างมลายสิ้น!
“อั๊ก!” ใบหน้าอันชั่วร้ายของชายชราผมขาวเต็มไปด้วยเลือดที่กระอักออกมา ภาพบนท้องฟ้าหายไปทันที
“ดี! ดี! ดี!” ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวราวกับถูกผีสิ่ง “ดี! มันกล้าที่จะสังหารอาจารย์ของประจำตระกูลหนานกง ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใครนับจากนี้เจ้าจะต้องถูกตามล่าและสังหารโดยดาบแห่งวังดาบสวรรค์ของข้า!”