ตอนที่ 124 สังหารหมู่
อีกาบินลงบนหลังคาอาคารซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโรงแรมนกพิราบดํา
ดวงตาสีแดงของมันจ้องมองไปที่ผู้คนในตรอกมีดด้านล่างอย่างเงียบ ๆ
‘ฉัตตะ เจ้าต้องปราบปีศาจในใจเจ้า เราไม่มีเวลาให้เสียแล้ว’
หัวหน้าผู้สืบสวนกําลังจ้องไปที่เจ้าหน้าที่สืบสวนหนุ่มตรงหน้าเขา หลังจากถูกไล่ออกจากโรงเตี้ยมใจหินพวกเขาก็กลับมาที่โบสถ์ แต่บทสวดที่เทมพลาร์ที่โบสถ์สวดนั้นไม่ได้ผลอย่างสมบูรณ์
เมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่เลวร้ายเช่นนี้ หัวหน้าผู้สืบสวนจึงพิจารณาที่จะกลับไปที่เมืองแสงศักดิ์สิทธิ์ และกลับมาจัดการปีศาจหลังจากที่พวกเขาได้รับพรจากคณะนักร้องประสานเสียงแล้ว
น่าเสียดายที่มีช่วงเวลาที่จะเปิดประตูมิติของนอร์แลนด์ การเปิดประตูมิติครั้งต่อไปของนอร์แลนด์คืออีกหนึ่งสัปดาห์
ก่อนหน้านั้นพวกเขาสามารถดําเนินการเพื่อฆ่าปีศาจตัวนั้นได้ แต่มีความเสี่ยงที่ผู้สอบสวนจะสูญเสียการควบคุม
‘มัน…อยู่ทั่วหัวของข้า ทุกคนได้ยินมันไหม? มีบางอย่างกําลังคืบคลานอยู่ในร่างกายของข้า’
‘หุบปาก! ฉัตตะ หยุดบรรยาย! ข้าอยากจะโยนเจ้าลงไปในสระลาวา!’
ผู้สอบสวนอีกคนก็พยายามอย่างที่สุดเพื่อหยุดเสียงในหัวของเขา
หลังจากที่คุฉัตตะ เขารู้สึกถึงอันตรายบางอย่างที่มาถึง น่าเสียดายที่การรับรู้ของเขาพุ่งความสนใจไปที่การต่อต้านเสียงที่บ้าคลั่งในหัวของเขาเป็นหลัก มันสายเกินไปแล้วเมื่อถึงเวลาที่เขาตรวจพบอันตรายที่เข้ามา
ลูกศร ลูกศรที่ไร้เสียงขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็วต่อหน้าต่อตาเขา เขาไม่รู้ว่าลูกศรนั้นมาจากไหน ภาพสุดท้ายที่เขาเห็นคืออักษรรูนจารึกเวทมนตร์ที่ปลายลูกศร
ลูกศรเจาะเข้าที่หน้าผากของผู้สอบสวนคนนั้น และแทงเขาเข้าที่ผนังด้านหลัง ผล กระทบของลูกศรนั้นรุนแรงมากจนเกิดรอยร้าวจํานวนมากบนพนังกําแพง
หัวหน้าผู้สอบสวนเตรียมพร้อมสําหรับการรบทันที เขาเริ่มค้นหาผ่านเงาด้วยสายตา ลูกศรที่เหมือนกันสามดอกถูกยิงเข้าหาเขา เขาโบกมือและดึงดาบออกมา เขาใช้ดาบของเขาปัดลูกธนูทั้งสามลูก
เขาสอดมืออีกข้างหนึ่งเข้าไปในเสื้อคลุมสีดําแล้วดึงไม้เท้าออกมา ด้านบนของไม้เท้าถูกฝังด้วยดวงตาของสิ่งมีชีวิตที่ไม่รู้จัก
อักษรรูนหายไปทันทีที่เขาเริ่มกวัดแกว่งไม้เท้า ในทางกลับกัน พลังจากแหล่งกําเนิดของจิตวิญญาณถูกปลดปล่อยจากปลายไม้เท้าของเขา มันกลายเป็นการโจมตีที่เฉียบคมราวกับดาบและกระแทกหลังคา
การโจมตีทําลายกระเบื้องและอิฐ ฝุ่นร่วงหล่นลงมาพร้อมกับกระเบื้องและอิฐที่แตกเป็นเสี่ยงๆ เงาดําสนิทนั้นก็หล่นลงมาเช่นกัน
คนๆ นั้นค่อยๆ เดินออกมาจากมุมซอย เมื่อนางเดินอยู่ใต้แสงจันทร์ ดวงตาของหัวหน้าผู้สอบสวนก็เบิกกว้าง
“นาง…นางเป็นทรยศ!” เสียงของเขาเต็มไปด้วยความตกใจ คนที่อยู่ใต้แสงจันทร์คือดาร์คเอลฟ์
“คนทรยศ? เจ้าคือคนที่หลอกลวงข้า! เจ้าปกปิดความจริงเกี่ยวกับการสังหารหมู่ของเผ่าพันธุ์ของข้า และทําให้ข้าต้องลําบากมาเป็นเวลาหลายปี! ตอนนี้…ถึงเวลาแล้วที่พวกเจ้าจะต้องชดใช้หนี้เลือดเหล่านั้นด้วยเลือด!”
ดาร์คเอลฟ์ที่ปรากฏตัวนั้นไม่ใช่ใครอื่นนอกจากหัวหน้าของนกพิราบดํา นางไม่ได้คาดคิดว่านางจะได้พบกับศัตรูของนาง…ในปัจจุบัน…ขณะที่กําลังทําภารกิจเฝ้าติดตามโจชัว ภารกิจที่เจ้านายของนางมอบให้นาง
“เราตามหาเจ้าอยู่! คนทรยศ…”
หัวหน้าผู้สอบสวนไม่แสดงความรู้สึกใดๆ ต่อดาร์คเอลฟ์อีกต่อไป เขายกไม้เท้าขึ้น เป็นไม้เท้าที่สูงเท่าผู้ชาย แล้วกระแทกกับพื้น ในเวลานี้เสียงร้องอันแหลมคมของสิ่งมีชีวิตบางชนิดก็ดังขึ้นจากพื้นที่ปูด้วยหิน
พื้นที่ดาร์คเอลฟ์ยืนอยู่เริ่มสั่นสะเทือน หนวดที่สร้างขึ้นจากพลังที่ไม่รู้จักได้แหวกพื้นดินและคว้าขาของนางไว้
ดวงตาของสิ่งมีชีวิตที่ไม่รู้จักฝังอยู่ที่ด้านบนสุดของไม้เท้าเริ่มลืมตาขึ้น การโจมตีเร็วจนมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า พุ่งเข้าหาดาร์คเอลฟ์ การโจมตีนั้นตัดร่างของนางออกเป็นชิ้น ๆ กลายเป็นขนสีดําสนิทที่ค่อยๆ ตกลงสู่พื้น
“เจ้าลืมไปแล้วหรือไงว่าใครเป็นคนสอนเทคนิคการต่อสู้ทั้งหมดให้เจ้า?”
เสียงเย็นเยียบดังขึ้นจากด้านหลังหัวหน้าผู้สอบสวน กริชส่องแสงสีเขียวเข้มแทงเข้าที่หลังของเขา วินาที่ดาร์คเอลฟ์ก็ปรากฏตัวขึ้นข้างหลังเขา
แต่ในไม่ช้าดาร์คเอลฟ์ก็ตระหนักว่ามีบางอย่างผิดปกติ นางสัมผัสได้ว่าสิ่งที่กริชของนางเจาะเข้าไปนั้นไม่ใช่เนื้อมนุษย์…มันดูเหมือนสิ่งมีชีวิตที่อ่อนนุ่มบางอย่าง
“เทคนิคและสติปัญญาทั้งหมดของเราได้รับมอบจากพระเจ้า…”
หัวของหัวหน้าสอบสวนหันกลับมา นั่นคือการหมุนที่เป็นไปไม่ได้สําหรับคอของมนุษย์ ดาร์คเอลฟ์เงยหน้าขึ้นมองด้วยความไม่เชื่อ
“ครั้งหนึ่งเจ้าเคยมีโอกาสได้รับปัญญาอันไร้สิ้นสุดของพระองค์ แต่เจ้าตัดสินใจทรยศเราอย่างโง่เขลา ไม่น่าแปลกใจเลย…เผ่าพันธุ์ที่ต่ำต้อยอย่างเจ้าไม่มีทางเข้าใจแน่ชัดว่าพระปรีชาญาณของพระองค์ยิ่งใหญ่เพียงใด แต่…ข้าจะให้เจ้าได้เห็นพระปรีชาญาณอันยิ่งใหญ่ของพระองค์อีกครั้งก่อนจะตาย”
ทันที่ที่ดาร์คเอลฟ์กับหัวหน้าผู้สอบสวนเผชิญหน้ากัน นางรู้สึกราวกับว่านางทุบหัวของนางลงบนระฆังขนาดยักษ์ของหอระฆัง ความเจ็บปวดที่หัวของนางถูกฉีกออกเป็นชิ้น ๆ เกินทานทน วินาทีถัดมานางเห็นภาพกลินและเริ่มได้ยินเสียงพึมพํา
ด้วยความที่อีกฝ่ายเป็นผู้สอบสวนของศาลนอกรีต นางรู้ว่านี่คืออะไร นางละสายตาจากหัวหน้าผู้สอบสวนทันที ดึงกริชของนางออกแล้วถอยกลับไปหลายก้าว แต่จิตใจที่วุ่นวายของนาง ทําให้นางไม่สามารถสงบสติอารมณ์ได้
“นี่คือเหตุผลที่เอลฟ์ถึงต่ำต้อย…” หัวหน้าผู้สอบสวนยกไม้เท้าขึ้นอีกครั้ง แต่ก่อนที่เขาจะกระแทกพื้นด้วยไม้เท้าของเขา…
เสียงกระดิ่งเล็ก ๆ เริ่มก้องกังวานไปทั่วตรอก เสียงเหล่านั้นคล้ายกับเสียงภัยพิบัติ
มือของหัวหน้าผู้สอบสวนคนนั้น มือที่เขาถือไม้เท้าอยู่ จู่ๆก็เหี่ยวแห้งในทันที ไม่มีวี่แววของพลังชีวิตอยู่ในมือของเขาอีกต่อไป
กลิ่นอายแห่งความตายค่อยๆ แผ่ซ่านไปทั่วทั้งตรอก ดาร์คเอลฟ์เงยหน้าขึ้นด้วยความไม่เชื่อนางพบว่ามีร่างที่สวมเสื้อคลุมโทรมยืนอยู่ข้างหน้านาง ผ่านเสื้อคลุม นางสามารถบอกได้ว่าอะไรอยู่ข้างหน้านาง…ไม่มีเนื้อมีแต่กระดูกเท่านั้น
ผู้ขโมยวิญญาณ!
ดาร์คเอลฟ์จําสิ่งมีชีวิตอันเดธที่น่าหวาดหวั่นนี้ได้
วิญญาณในดวงตาของผู้ขโมยวิญญาณหันไปหาหัวหน้าผู้สอบสวน เสียงที่เจาะหูแต่มืดมนดัง ออกมาจากปากโครงกระดูกของเขา
“จงมอบวิญญาณของนาง…ให้กับดยุค!”
ผู้ขโมยวิญญาณสั่นกระดิ่งในมืออีกครั้ง หัวหน้าผู้สอบสวนต้องการเอามือที่เหี่ยวแห้งกลับคืนมา แต่วิญญาณที่เต็มไปด้วยความอาฆาตแค้นจํานวนมากพุ่งเข้าหาเขาและร้องโหยหวน
หากเป็นเมื่อก่อน วิญญาณเหล่านั้นจะไม่สามารถทําร้ายจิตใจเขาได้ แต่ตอนนี้แม้จะไม่มีการโจมตีจากวิญญาณเหล่านั้น สภาวะจิตใจของเขาเองก็ใกล้จะพังทลายแล้วเพราะเสียงบ้าๆ เหล่านั้นในหัวของเขา
ทันทีที่เขาถูกคลื่นวิญญาณกลืนกิน นั่นหมายความว่าเขาจะไม่สามารถรักษาสติของเขาได้อีกต่อไป
ดาร์คเอลฟ์หยิบธนูและลูกศรของนางออกมาในทันที นางเลิ้งไปที่ผู้สอบสวนสองคน ระงับความเจ็บปวดในใจ ดึงสายธนูและยิงลูกศรไปที่หน้าผากของพวกเขา