เบลล์สวย! นั่นคือความคิดแรกของศาสตราจารย์ซาลินย่าเมื่อเขาดูภาพยนตร์เรื่องนี้ เขาใกล้จะเป็นคนวัยกลางคนแล้ว ในขณะที่“ โฉมงามกับเจ้าชายอสูร” อาจทำให้วัยรุ่นหลายคนได้สัมผัสถึงหัวใจของเด็ก ๆ และทำให้พวกเขาน้ำตาไหล แต่สิ่งที่ดึงดูดความสนใจของเขาก็คือเบลล์ นางเอก
นางเอกในละครเวทีส่วนใหญ่ไม่สมจริงมาก และไม่ว่าทักษะการแสดงของพวกนางจะดีแค่ไหน ผู้ชมจะรู้ว่านางแค่แสดงบทบาทของนางบนเวทีที่จำกัดนั้น
อย่างไรก็ตามเบลล์ในภาพยนตร์นั้นแตกต่างออกไป ราวกับว่านางอาศัยอยู่ในนั้น! เด็กผู้หญิงใจดี ขี้สงสัย และกล้าหาญที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านเล็ก ๆ …
ศาสตราจารย์ซาลินย่าพบว่าเขาไม่สามารถแยกความแตกต่างระหว่างความเป็นจริงกับนิยายได้อีกต่อไป โดยเลือกที่จะเชื่อว่าเบลล์เป็นคนจริงๆที่อาศัยอยู่ที่ไหนสักแห่งในโลกนี้
อย่างไรก็ตามเมื่อศาสตราจารย์ซาลินย่าได้สติ เขาก็รู้ว่าเขาอยู่ในโรงละครไวเซนาสเช่ …และภาพยนตร์ที่เขาเพิ่งดูก็เป็นเพียงการแสดงเท่านั้น นั่นหมายความว่านักแสดงหญิงเบลล์อาจเป็นคนที่เซอร์ไวส์เซนาสเช่อาจรู้จัก!
เขารู้สึกไม่มั่นคงเล็กน้อยเมื่อคิดถึงการแสดง สิ่งที่เรียกว่า”ภาพยนตร์” เป็นรูปแบบการแสดงที่ห่างไกลจากละครเวที ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของคุณค่าทางความบันเทิง หรือคุณค่าทางสุนทรียศาสตร์ก็ตาม…
ถ้ายังดำเนินต่อไป…ไม่…ไม่…เขายังมีบริษัทห่านดำ แค่ชื่อเสียงของคณะละครและเสน่ห์ของห่านดำจะทำให้เขาแน่ใจได้ว่าโรงละครแห่งชาตินอร์แลนด์ยังคงเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง แม้ภาพยนตร์อาจดีกว่าละครเวที แต่ข้อเสียคือไม่มีใครได้เห็นนักแสดงตัวจริง
หลายคนที่ซื้อตั๋วที่โรงละครแห่งชาตินอร์แลนด์ไม่ได้ซื้อเพื่อชมการแสดง แต่ซื้อมาเพื่อชมแกลโลลี่…กระนั้นเมื่อเบลล์ในภาพยนตร์ได้สวมชุดที่งดงาม และเต้นรำกับปีศาจ ศาสตราจารย์ซาลินย่าก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าเบลล์มีเสน่ห์ไม่น้อยไปกว่าห่านดำ’
ภาพยนตร์ยังคงเล่นต่อไปจนจบ และตามด้วยดนตรีไพเราะ รายชื่อนักแสดงจะค่อยๆถูกนำเสนอต่อผู้ชม ศาสตราจารย์ซาลินยาเห็นชื่อนักแสดงที่รับบทเป็นเบลล์… อินอร์
มันเป็นชื่อที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน เขาอยู่ในธุรกิจโรงละครมาเป็นเวลาหลายปี และจำนวนนักแสดงที่เขารู้จักหรือได้ยินก็มีจำนวนมาก เป็นไปได้ไหมที่เซอร์ไวเซนาสเช่ได้พบนักแสดงหญิงที่มีพรสวรรค์อีกคน?
ศาสตราจารย์ซาลินย่าไม่สามารถนั่งเฉยต่อไปได้อีก เขาจดจำชื่อได้ในขณะที่เขาลุกขึ้นยืน แต่พบว่าแกลโลลี่ซึ่งอยู่ข้างๆเขาไม่เต็มใจที่จะลุกจากที่นั่งของนาง
“ เจ้าออกไปก่อนก็ได้ ไม่ต้องรอข้า นั่นคือคำสั่ง “แกลโลลี่กล่าว
“ เอ่อ…เข้าใจแล้ว”
การเดินทางของศาสตราจารย์ซาลินย่าครั้งนี้ไม่ใช่เพื่อความปลอดภัยของลูกสาวดยุค เขารู้ว่าความสามารถของเขานั้นห่างไกลเกินกว่าที่จะเป็นผู้คุ้มกันของนาง และเขาก็ทำได้ดีที่สุดก็แค่คนนำเที่ยว
ศาสตราจารย์ซาลินย่าจึงรีบออกจากห้อง ทิ้งให้แกลโลลี่นั่งเงียบ ๆ คนเดียวในที่นั่งของนางเป็นเวลานาน
“ แค่ร้องออกมาถ้าเจ้าต้องการ” จู่ๆแกลโลลี่ก็พูดขึ้น
ในไม่ช้าเสียงสะอื้นก็ดังขึ้นด้านหลังแกลโลลี่ ขณะที่มีเงาพร่ามัวปรากฏอยู่ข้างหลังนาง
“คุณหนู ทำไมปีศาจตัวนั้นถึงตายล่ะ…”
ดูเหมือนว่าเสียงสะอื้นจะมาจากเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ
“ นั่นเป็นเทคนิคที่นักเขียนบททุกคนใช้กันมากที่สุด พวกเขานำเสนอฉากโรแมนติกที่สุดให้เจ้าก่อนที่พวกเขาจะฉีกมันอย่างไร้ความปราณี นั่นเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดในการทำให้ผู้ชมร้องไห้ ยิ่งสิ่งนั้นสวยงามมากเท่าไหร่มันก็ยิ่งน่าปวดใจมากขึ้นเท่านั้นเมื่อมันถูกทำลาย”แกลโลลี่กล่าวด้วยเสียงกระซิบเบา ๆ
นางได้รับการฝึกฝนการเต้นตั้งแต่ยังเด็ก และได้แสดงบนเวทีนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ด้วยประสบการณ์การแสดงละครเวทีหลายปีภายใต้ประสบการณ์ของนาง นางได้เห็นเทคนิคต่างๆที่นักเขียนบทละครใช้ในสคริปต์ของพวกเขามานานแล้ว นางเลิกร้องไห้ในขณะที่อ่านบท ไปจนถึงการผลักดันให้ผู้ชมน้ำตาไหลไปกับการแสดงของนางโดยไม่รู้สึกเสียใจใด ๆ
นางคิดว่านางจะไม่รู้สึกถึงอารมณ์ใด ๆ จากการแสดงแล้วในชีวิตนี้ แต่นางกลับไม่คาดหวังว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะให้นางเกิดความรู้สึกแบบเดียวกับที่นางรู้สึกตอนแสดงละครเวทีครั้งแรก
แกลโลลี่เช็ดน้ำตาออกจากมุมตา
นอกเหนือจากความรู้สึกสะเทือนใจแล้ว ภาพยนตร์ยังดึงดูดความสนใจของนาง
นางไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับการแสดงที่นำเสนอเหมือนกับภาพยนตร์เรื่องนี้ ขอบเขตของการแสดงไม่ได้จำกัดอยู่ที่เวทีเล็ก ๆ และตัวละครทั้งหมดไม่ได้สวมเครื่องแต่งกายที่เฉพาะเจาะจง
รูปแบบการแสดงนี้ทำให้นักแสดงกลายเป็นตัวละครในเรื่อง!
สิ่งนี้ … ถูกสร้างขึ้นมาได้ยังไง? ใช้วิธีอะไร?! และการสลับภาพเกิดขึ้นได้ยังไง…คำถามมากมายลอยอยู่ในใจของแกลโลลี่และคำถามทั้งหมดก็จบลงที่คำถามเดียว ใครเป็นผู้สร้างภาพยนตร์เรื่องนี้
แล้วอินอร์ที่เล่นเป็นเบลล์คือใคร? ไม่…ซีนาร์ทป็นคนรับบทปีศาจงั้นหรอ? ไม่ ต้องมีคนอื่นอยู่เบื้องหลังภาพยนตร์เรื่องนี้
แกลโลลี่นั่งอยู่ในที่นั่งของนางอย่างเงียบ ๆ ในที่สุดชื่อหนึ่งก็ปรากฏขึ้นหลังจากรายชื่อนักแสดงที่หนาแน่น
“ ผู้กำกับ:โจชัว
“ ผู้อำนวยการสร้าง: โจชัว
“ ช่างกล้อง:โจชัว
“ นักออกแบบเครื่องแต่งกาย: โจชัว…”
ชื่อที่เหมือนกันหลายชื่อเต็มหน้าจอเครดิต
“ นั่นแหละ …” แกลโลลี่พูด
“ คุณหนู ข้าไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งที่ท่านจะติดต่อกับผู้ชายคนนี้”
เงาที่เลือนรางด้านหลังแกลโลลี่หยุดสะอื้น และพูดกับนางด้วยน้ำเสียงที่จริงจังมากแทน
“ทำไม?”แกลโลลี่ถาม
“นั่น..นั่นเพราะเจ้าชายปีศาจดูเหมือนจะเป็นปีศาจแห่งบาป สัตว์ประหลาดที่มีแค่นายของข้าถึงเรียกมาได้”
“ ทำไมเจ้าถึงคิดว่าปีศาจต้องเป็นศัตรูกับเราเสมอล่ะ?”
ทันใดนั้นแกลโลลี่ก็เกิดคำถามที่น่าจะเป็นการดูหมิ่นศาสนาในเมสซา แต่นางไม่ได้เป็นพลเมืองของเมสซา นางเป็นพลเมืองของฟารัคซี่ซึ่งเป็นประเทศแห่งศิลปะ และนางจะไม่ทำตามความเชื่อของประเทศอื่น ๆ
“เพราะ…”
“ เป็นเพราะสิ่งที่เรียกว่าคำสอน ปีศาจมีประวัติการทำสงครามยาวนานหลายศตวรรษกับศาสนจักร และ ดินแดนเหมันต์แต่แม้กระทั่งประเทศของเราก็ทำสงครามกับเมสซาเมื่อสองสามร้อยปีก่อน ในท้ายที่สุดเราก็คืนดีกันและกลายเป็นพันธมิตรกัน”
เมื่อสัมผัสได้ถึงความเงียบจากคนที่อยู่ข้างหลังนาง แกลโลลี่ก็ถอนหายใจ
“ พูดง่ายๆก็คือ ถ้าเจ้าแทนที่ชาวบ้านในภาพยนตร์ด้วยเหล่านักรบแห่งเมสซา ไม่เพียงแต่พวกเขาจะฆ่าปีศาจเท่านั้น พวกเขายังประณามเบลล์ว่าเป็นแม่มดและคบหากับปีศาจด้วย หากเจ้ามีโอกาสที่จะช่วยให้พวกเขาหลบหนีเจ้าจะช่วยพวกเขาหรือไม่?”
“ ข้า…ข้า…”
นั่นอาจเป็นความเสียใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของทุกคนที่ชมภาพยนตร์เรื่องนี้ พวกเขาทั้งหมดมีความต้องการที่เตือนเจ้าชายปีศาจว่าชาวบ้านที่โง่เขลากำลังมา เพื่อที่เขาจะได้หลบหนีไป นางเองก็ไม่มีข้อยกเว้น
“ ข้าไม่รู้ว่าจะตอบยังไง”แกลโลลี่รู้สึกได้ถึงความลังเลในน้ำเสียงของนาง
ในอดีต หากนางต้องเผชิญหน้ากับปีศาจ แกลโลลี่เองย่อมลังเลแน่ แม้ว่านี่จะเป็นเพียงการยกตัวอย่าง แต่นางก็ควรจะให้คำตอบที่หนักแน่น แต่นางกลับไม่ได้ตอบ
บางทีนั่นอาจเป็นจุดประสงค์ที่แท้จริงของหนัง
“กลับกันเถอะ.หากเจ้ายังไม่พอใจ ข้าสามารถมาที่นี่ได้อีกครั้งในวันพรุ่งนี้ แต่ตั๋วจะไม่ได้ได้มาง่ายๆเหมือนวันนี้”
แกลโลลี่ยกชุดหนัก ๆ ของนาง ขณะที่นางลุกขึ้นยืน แต่ในขณะที่นางเริ่มเดินขึ้นบันไดจู่ๆนางก็หยุด
“ นอกจากนี้ยังมีคำถามสุดท้าย เจ้าคิดว่าอะไรน่าสนใจกว่ากันระหว่างการแสดงของข้าหรือภาพยนตร์เรื่องนี้?”
“ฮึ…”
“ พูดตามตรง” แกลโลลี่พูดพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้าของนาง
“ ภาพยนตร์เรื่องนี้…คุณหนู…ข้า…ข้ารู้สึกง่วงนอนมาตลอดระหว่างดูการแสดงบนเวที…มันก็..เป็นเวลาประมาณ..หนึ่งปีแล้ว”
เสียงที่อยู่ข้างหลังแกลโลลี่เบาลงก่อนจะสั่นคลอน
อย่างไรก็ตามรอยยิ้มบนใบหน้าของแกลโลลี่ไม่ได้เปลี่ยนไป