Chapter 102: จุดสูงสุดของระดับ
“พลังธาตุ… มีเพียงนักรบศักดิ์สิทธิ์ อู่จง และจอมยุทธ์ระดับเทียบเท่ากันเท่านั้นที่จะสามารถปลุกความสามารถในการใช้พลังของฟ้าและดินนี้ได้…”
รถม้าวิ่งไป
ในรถม้า ฟางหยวนดูเหมือนกำลังหลับตาลงพักผ่อน แต่อันที่จริง เขาค้นพบความลับเบื้องหลังพลังธาตุของตน
“บนโลกนี้ แบ่งสายพลังออกอย่างง่าย ๆ ได้สองสาย หนึ่งคือพลังเวทย์ และอีกหนึ่งคือพลังกาย… เส้นทางของพลังเวทย์นั้นตอนเริ่มต้นยากเข็ญ เพราะขึ้นอยู่กับความสามารถของแต่ละคน มีเพียงศิษย์วิญญาณ ศิษย์สายแปรธาตุ ศิษย์แห่งฝัน หรืออื่น ๆ ที่สามารถพัฒนาพลังธาตุขึ้นมาภายใต้การแนะนำของอาจารย์ได้!”
“พลังกายนั้นตรงกันข้าม แตกต่างกันไม่มาก ข้าสามารถพูดได้ว่ามันเป็นส่วนช่วยเสริมพลังเวทย์ ใน 12 ประตูทองของการฝึกยุทธ์ ซึ่งเริ่มจาก 3 ประตูรุ่งโรจน์ ก่อนที่จะเข้าสู่ 2 ประตูสงบ และ 3 ประตูวิกฤต และสุดท้ายก็คือ 4 ประตูสวรรค์ ตามลำดับ การลำดับประตูเหล่านี้ช่วยสร้างพื้นฐานของผู้ฝึกเพื่อให้ได้มาซึ่งพลังธาตุ แต่ว่า 8 ประตูทองแรกนั้นเพียงแค่ช่วยปรับสภาพร่างกายผู้ฝึก ในขณะที่มีเพียง 4 ประตูสวรรค์เท่านั้นที่จะช่วยเพิ่มพลังธาตุของผู้ฝึกขึ้นไปทีละน้อย ดังนั้น แม้ว่าคนผู้หนึ่งจะอยู่ที่ระดับสูงสุดของประตูทองที่ 12 แล้วก็ตาม ก็อาจจะยังไม่ถึงระดับสูงสุดเต็มที่ที่จะเป็นอู่จงได้!”
“ซึ่ง ข้าแตกต่างจากพวกเขา และข้าก็เลือกที่จะฝึกไปทั้งสองเส้นทาง พลังเวทย์และพลังกาย วิทยายุทธ์นั้นในระดับต้นแล้วเป็นเพียงรูปแบบหนึ่งของการป้องกันตนเอง และยังเป็นหนทางให้ข้าสร้างพื้นฐานของตัวเอง… ประตูทองที่ 12 นั้นคือการเตรียมตัวสุดท้ายสำหรับข้าที่จะทำการทะลวงด่านสุดท้าย ซึ่งล้วนแล้วแต่ขึ้นอยู่กับระดับพลังเวทย์ของข้า!”
การเดินทางมาที่เมืองอี้ซานฝูนี้มีประโยชน์แก่ฟางหยวนมาก
แม้ว่าเขาจะเห็นกระบวนท่าของนักรบศักดิ์สิทธิ์จากที่ไกล ๆ แต่ก็สัมผัสถึงความกดดันได้ มันก็ทำให้เขามีวี่แววจะทะลวงด่านได้
นี่ไม่ใช่เป็นเพราะพรสวรรค์ของเขา แต่เป็นประสบการณ์ที่สั่งสมมา
“ดูเหมือนว่าเมื่อทักษะเหล่านี้ถึงระดับสุดท้ายแล้ว ก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับค่าประสบการณ์ที่เพิ่มขึ้น แต่ขึ้นกับการตระหนักรู้ของตนเอง และยังโอกาสบางอย่างอีกด้วย…”
ฟางหยวนเหลือบมองหน้าต่างสถานะของตนและพบว่าแถบสะสมประสบการณ์ของกรงเล็บอินทรีเหล็กของเขานั้นเต็มระดับ 11 แล้วขาดเพียงแค่จุดเดียว!
พร้อมกับการตระหนักรู้ตนเอง จุดสุดท้ายที่ขาดไปก็ถูกเติมจนเต็มในที่สุด!
ทันใดนั้น ฟางหยวนก็หลับตาลง
“เปรี๊ยะ!”
เขารู้สึกถึงเสียงแผ่ว ๆ ดังมาจากกลางกระหม่อม
แต่ว่า เสียงนั้นฟังดูไม่ได้เกิดขึ้นจริง มันเป็นการสั่นสะเทือนจากทะเลแห่งจิตเหนือสำนึกของเขา!
“โฮ่…”
ฟางหยวนผ่อนลมหายใจออกเบา ๆ ขณะที่มือกุมหน้าผากเอาไว้
จากการทะลวงผ่านเมื่อสักครู่ เขาสามารถรู้สึกได้ว่ากำลังภายในของเขานั้นพุ่งไปทั่วร่าง คราวนี้มันต่างออกไปโดยสิ้นเชิง เขาสามารถรู้สึกได้ถึงความมึนงงและบวมโตขึ้นภายในหัวราวกับมีก้อนหินถูกขว้างเข้าไปในทะเลจิตเหนือสำนึกของเขา
“ความรู้สึกที่ข้าได้รับ… น่าจะเกิดจากการที่ร่างกายของข้าไม่สามารถปรับตัวรับพลังเวทย์ที่จู่ ๆ ก็เพิ่มขึ้นได้…”
เขามองหน้าต่างสถานะของตนเองอีกครั้งและเห็นการเปลี่ยนแปลง
“ชื่อ: ฟางหยวน
พลังกาย: 8.0
พลังลมปราณ: 7.9
พลังเวทย์: 5.5
สายวิชา: ศิษย์แห่งฝัน
การฝึกตน: [ผู้ฝึกยุทธ์ (ประตูทองที่ 12)]
วิทยายุทธ์: [ฝ่ามือทรายดำ (ระดับ 5)], [กรงเล็บอินทรีเหล็ก (ระดับ 12) (ถึงขีดจำกัดแล้ว)]
ทักษะ: [การรักษา (ระดับ 3)], [การดูแลพืช (ระดับ 4)]”
ฟางหยวนรู้สึกประหลาดใจกับการเปลี่ยนแปลง “[พลังกาย] และ [พลังลมปราณ] ของข้านั้นเพิ่มขึ้นไม่มาก แต่ [พลังเวทย์] ของข้าเพิ่มขึ้นถึง 1!”
เป็นการพัฒนาที่มากกว่าที่ชาชำระจิตสามารถทำได้
แต่ว่า มันก็ยังมีผลข้างเคียงจากการเพิ่มขึ้นมากเช่นนี้ และผลข้างเคียงนั้นยังค่อนข้างน่ากลัว ดังนั้น ฟางหยวนจึงต้องทำใจให้สงบเพื่อให้ร่างกายของเขาคุ้นเคยกับการเพิ่มขึ้นของพลังเวทย์
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง พลังของเขาก็อยู่ที่จุดสูงสุด และเขาก็ตื่นตัวอย่างมาก
เขาสามารถสัมผัสได้ว่าการคิดของเขานั้นเร็วกว่าแต่ก่อนและรู้สึกพอใจมาก
“แม้ว่าข้าจะมีพลังเวทย์เทียบเท่าคนธรรมดาเมื่อตอนเริ่มแรก แต่ด้วยการฝึกฝนจากอาจารย์ของข้า ข้ามีพื้นฐานที่แน่นหนา และยังมีความช่วยเหลือจากชาชำระจิต และการทะลวงผ่านระดับวิทยายุทธ์ ตอนนี้ข้าเทียบได้เท่ากับผู้มีพรสวรรค์พวกนั้น!”
“ด้วยระดับพลังเวทย์ในตอนนี้ของข้า ข้านับเป็นผู้มีพรสวรรค์แม้ในหมู่ศิษย์วิญญาณ!”
ความคิดของเขากระจ่าง และฟางหยวนก็เหยียดร่างออก จากนั้นก็ตรวจสอบสถานะส่วนอื่น ๆ
“[กรงเล็บอินทรีเหล็ก (ระดับ 12)]— เจ้าฝึกวิชานี้สำเร็จถึงระดับสูงสุดและอยู่ในระดับเดียวกับกันผู้คิดค้นเคล็ดวิชานี้แล้ว! แต่ว่า เนื่องจากข้อด้อยของเคล็ดวิชานี้ เคล็ดวิชานี้จึงไม่สามารถพัฒนาไปถึงระดับสร้างแก่นธาตุได้!”
ระบบยังจำแนกว่าเคล็ดกรงเล็บอินทรีเหล็กนั้นถึงขีดจำกัดแล้วและไม่สามารถพัฒนาต่อไปได้
นี่หมายความว่า หากฟางหยวนยังอยากจะทะลวงผ่านลำดับถัดไปของวิทยายุทธ์ เขาต้องเปลี่ยนไปฝึกเคล็ดอื่นเช่นตำราฝึกจิตซวนหยิน ตำราฝึกจิตของสำนักกุยหลิง หรือเคล็ดวิชาระดับสูงอื่น ๆ
“ระบบนี้ช่างไร้ประโยชน์… มันไม่สามารถปรับปรุงหรือปรับเปลี่ยนเคล็ดวิชาของข้าได้เลยหรือ?”
ฟางหยวนพึมพำและลูบ ๆ คางไปมา “ไม่… ความสามารถของระบบดูเหมือนจะมาจากระดับความสามารถในการตีความของข้า…”
วิทยายุทธ์ของโลกใบนี้มีต้นกำเนิดมาจากที่ไหน?
วิทยายุทธ์ล้วนคิดค้นขึ้นมาโดยมนุษย์ แน่นอนสิ! ในเมื่อมีคนผู้สามารถคิดค้นเคล็ดวิชาระดับอู่จงได้ ฟางหยวนก็เชื่อว่าเขาก็สามารถทำได้เช่นกัน
จอมยุทธ์ผู้เก่งกาจอย่างแท้จริงย่อมสามารถเพิ่มระดับเคล็ดกรงเล็บอินทรีเหล็กของเขาขึ้นไปเป็นระดับที่ 13 ระดับที่ 14 หรืออาจจะระดับที่ 15 ได้!
แน่นอนว่า ด้วยระดับความสามารถในการตีความและยังประสบการณ์ของเขาตอนนี้ โอกาสที่เขาจะเสียสติไปจากการพยายามเพิ่มระดับวิทยายุทธ์นั้นสูงมาก เพราะว่าเขาฝึกฝนโดยไม่มีความช่วยเหลืออื่น
“แม้ว่าข้าจะเข้าไปในโลกแห่งความฝันเพื่อทดลอง ด้วยระดับการฝึกฝนของข้าในฐานะศิษย์แห่งฝัน ข้าก็เกรงว่าข้าจะไม่สามารถแม้แต่จะกระตุ้นกำลังภายในได้อย่างเหมาะสมด้วยซ้ำ อย่าว่าแต่พลังธาตุเลย!”
การตายในโลกแห่งความฝันนั้นไม่ได้เป็นการตายที่แท้จริง ดังนั้น เขาจึงสามารถปรับสภาพแวดล้อมแบบต่าง ๆ เพื่อทดลองดูได้
ถ้าเขามีความสามารถเพียงพอ เขายังสามารถสร้างประเทศเซี่ยขึ้นมาในโลกแห่งความฝันได้!
ด้วยความสะดวกนี้ เจ้าแห่งฝันระดับสูงหลายคนจึงมักจะพัฒนาเคล็ดวิชายุทธ์ของเขาให้เหนือกว่าระดับสูงสุดเดิม นอกจากนี้ ยังสามารถปรับวิทยายุทธ์ให้ผู้ฝึกยุทธ์อื่น ๆ ได้อีกด้วย แน่นอนว่าความช่วยเหลือนี้มีราคา
ด้วยระดับการฝึกตนปัจจุบันของฟางหยวน เขาไม่สามารถทำเช่นนั้นได้สักระดับ
“แต่ว่า… นี่ก็นับเป็นการฝึกฝนอีกรูปแบบหนึ่ง อย่างน้อยมันก็สะดวกมากกว่าที่จะสร้างร่างจริงของข้าขึ้นมาใหม่ในโลกแห่งความฝันและทำให้มันมีกำลังภายใน…”
ความสามารถของผู้ฝึกยุทธ์ในการเข้าใจสภาพร่างกายของตนเองนั้นค่อนข้างมีประโยชน์
แต่ว่า ถ้าฟางหยวนมีความสามารถในการสร้างทุกอย่างในโลกแห่งความฝันและปล่อยให้ตัวเองเสียสติไปจากการฝึกเคล็ดกรงเล็บอินทรีเหล็กไปเป็นระดับที่ 13 สักหลายพันครั้งในโลกแห่งความฝัน เขาก็จะสามารถฝ่าระดับการฝึกฝนขึ้นไปเป็นจ้าวแห่งฝันได้และในที่สุดก็จะสามารถสร้างพลังธาตุฝันได้
แต่ว่า ประสิทธิภาพของวิธีนี้ที่จะช่วยปรับวิชายุทธ์ของเขานั้นยังคงต้องค่อย ๆ ตรองผลดีผลเสียดูก่อน
“แต่ว่า ถ้าวิธีนี้นั้นเป็นจุดมุ่งหมายหลักของการฝึกเป็นจ้าวแห่งฝัน มันก็คงต้องทำ ข้าจะจำมันไว้!”
เขาเพิ่มเรื่องนี้เข้าไปในรายการสิ่งที่ต้องทำในใจเงียบ ๆ และดึงม่านเปิดออก แสงอาทิตย์จ้าแสบตาทำให้เขาต้องหรี่ตาลง
“ข้านั่งสมาธิไปนานเท่าไหร่? พวกเราอยู่ที่ไหนแล้วตอนนี้?”
ฟางหยวนมองคนขับรถม้าและถามเขา
“นายท่าน!”
คนขับรถม้ามาจากสมาคมการค้าเมฆาขาวและเป็นหนึ่งในคนของอวี้ซินโหลว ดังนั้น เขาจึงไม่หยาบคายต่อฟางหยวน และตอบเขาอย่างสุภาพ “ท่านนั่งสมาธิอยู่ครึ่งวัน พวกเราตอนนี้อยู่ในมณฑลชิงเหอแล้ว และอีกสองวัน พวกเราก็จะไปถึงเมืองชิงเย่!”
“ดีมาก เรียกหวงฝูเหรินเหอกับอวี้ซินโหลวเข้ามาที่นี่!”
ฟางหยวนออกจากตัวรถม้าและถามคนผู้หนึ่งที่อยู่ในชุดสีเขียวที่ขี่ม้าอยู่ให้ลงจากม้า จากนั้นฟางหยวนก็ขึ้นม้าแทน ม้าตัวนี้เชื่อฟังมากพอให้เขาฝึกวิชาขี่ม้าของตนได้
“นายท่าน!”
ไม่นานนัก อวี้ซินโหลวและหวงฝูเหรินเหอก็เข้ามา คิ้วของอวี้ซินโหลวขมวดแน่นใบหน้าโศกเศร้า
“โอ้? จากสีหน้าของเจ้า ดูเหมือนเจ้าจะได้รับข่าวสถานการณ์ตอนนี้ในเมืองอี้ซานฝูแล้วสินะ!”
ดวงตาของฟางหยวนเบิกโตขึ้น
แม้ว่าเขาจะตัดสินใจไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองนั้น เขาก็ยังคงส่งคนหลายคนไปดูสถานการณ์ปัจจุบัน และมันก็คุ้ม
“ม้าเร็วคนหนึ่งจากสมาคมการค้าของข้าเพิ่งนำข่าวมาถึง สถานการณ์ตอนนี้ในเมืองอี้ซานฝูค่อนข้างเลวร้าย…”
เมื่อพูดเรื่องนี้ ดวงตาของอวี้ซินโหลวก็แดงเรื่อ “มันเป็นหายนะในวันฉลองวันเกิด ไฟไหม้ลามไปทั่วทั้งเมือง คร่าชีวิตชาวเมืองผู้บริสุทธิ์ที่อาศัยที่นั่นไปมากมาย ตอนนี้ มีชาวเมืองจำนวนมากพยายามหนีออกจากเมือง ม้าเร็วของข้าพบเพื่อนเก่าหลายคนที่หนีออกมาเช่นกัน เมืองอี้ซานฝูตอนนี้เป็นสนามรบไปแล้ว!”
“อะไรนะ?”
ฟางหยวนประหลาดใจและถาม “ลู่เหรินเจียมีพลังถึงเพียงนั้น?”
“ท่านนึกภาพไม่ออกหรอกว่าจ้าวแห่งการเล่นแร่แปรธาตุเช่นลู่เหรินเจียนั้นมีเส้นสายการติดต่อเพียงไหน!”
หวงฝูเหรินเหอยิ้มประหลาดและพูด “จากทั้ง 6 มณฑลในปกครองของอี้ซานฝู มี 3 เสียงที่แน่ชัดแล้วว่าสนับสนุนลู่เหรินเจีย แม้แต่หนึ่งในแม่ทัพของอี้ซานฝูเองก็ถูกโน้มน้าวให้เข้ากับฝ่ายลู่เหรินเจียและยังคงปิดไว้เป็นความลับ เมื่อถึงเวลาอันเหมาะสม ฝ่ายของท่านเจ้าเมืองก็คงพ่ายแพ้แล้ว!”
“ถึงอย่างไร ข้าก็ไม่เชื่อว่าเจ้าเมืองจะพ่ายแพ้ในถิ่นของตัวเอง มันไม่สำคัญว่าคนของเขาจะตายหรือเป็น แล้วก็ จะมีประโยชน์อะไรจากการสู้กันระหว่างผู้นำสองฝ่าย? แล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับอู่จง?”
ฟางหยวนย่นคิ้วและถาม
แน่นอนว่า เขาเพียงแค่สนใจในหลิวเอี๋ยนและลู่เหรินเจีย
“ข้อมูลนั้นเปิดเผยออกมาไม่มาก และไม่มีใครรู้ความจริง มีแต่ข่าวลือไปทั่ว…”
อวี้ซินโหลวส่ายหน้าและพูด “ข้าได้ยินมาว่าเจ้าเมืองผู้นี้นั้นยังยั้งมือไว้ แม้ว่าชีวิตเขากำลังจะถึงจุดจบ เขาก็ยังคงยั้งมือไว้ เพราะตั้งใจที่จะจับกุมทุกคนที่เป็นศัตรูกับเขาให้ได้ แต่ว่า เขาก็ไม่ได้คาดคิดว่าลู่เหรินเจียจะลงมือเด็ดขาด… นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยังมีกำลังเสริมจากภายนอก ผลสุดท้ายย่อมนำไปสู้การเสียหายยับเยินของทั้งสองฝ่าย แต่ตราบใดที่ผู้นำของทั้งสองฝ่ายยังมีชีวิต ข้าเกรงว่าสงครามคงจะไม่จบ!”
ตอนที่เขาพูด ใบหน้าก็ยิ่งเผยความวิตกกังวล
สงครามในเมืองนั้นก่อให้เกิดความทุกข์ทรมานมากมายและความวุ่นวาย ผู้ที่เสียหายที่สุดย่อมเป็นพลเมือง
การหนีไปมณฑลชิงเหอไม่ได้หมายความว่าจะปลอดภัยจากไฟสงคราม
“อืม… การล่มสลายของทั้งสองฝ่าย… จ้าวแห่งการเล่นแร่แปรธาตุผู้นี้เก่งกาจอย่างคิดไม่ถึง!”
หลิวเอี๋ยนนั้นมีวิทยายุทธ์สูงสุดในทั้งอี้ซานฝูก็จริง แต่ว่าลู่เหรินเจีย ที่เป็นเพียงจ้าวแห่งการเล่นแร่แปรธาตุกลับสามารถรับมือกับเขาได้ถึงระดับนี้ ทำให้ฟางหยวนต้องตะลึงไป จากนั้นฟางหยวนก็ถาม “แล้วสืออวี้ถงเล่า?”
อวี้ซินโหลวส่ายหน้าและพูด “สำนักกุยหลิงเป็นหนึ่งในสามสำนักที่ทรยศ แต่ข้าก็ไม่ยินข่าวเกี่ยวกับสืออวี้ถงบางทีนางอาจจะหนีออกมาได้สำเร็จ!”
ฟางหยวนเองก็คาดเช่นนั้น
ด้วยความเจ้าเล่ห์ของสืออวี้ถง มันคงแปลกถ้านางไม่สามารถหนีออกมาได้
“ดูเหมือนว่า… โลกนี้กำลังจะวุ่นวายมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว!”
เขามองไปตามทางเบื้องหน้าจนสุดสายตาแล้วถอนใจ “ส่งคำสั่งลงไปให้ทุกคนเร่งเท้ากว่านี้! ไม่อย่างนั้น พวกเราจะตกอยู่ในความวุ่นวายถ้าสำนักกุยหลิงตัดสินใจรวมกำลังคนเพื่อเข้าร่วมการต่อสู้นี้”