ในโถงรับแขกเหลือเพียงหลิวเอี๋ยนและฟางหยวนหลังจากแม่ทัพหนิวออกไป
หลิวเอี๋ยนพยุงฟางหยวนขึ้นแล้วก็ถอนหายใจ “ท่านฝึกปรือได้ถึงระดับนี้ทั้งที่ยังเยาว์วัยเพียงนี้ ตรงกันข้าม ข้าไม่มีอะไรเลยทั้งที่อายุเท่านี้แล้ว…”
“ท่านเจ้าเมือง ท่านประเมินข้าสูงเกินไปแล้ว!”
ฟางหยวนตอบอย่างถ่อมตัว
ฟางหยวนเคยได้ยินเรื่องนิสัยของหลิวเอี๋ยนมากก่อน เขาจึงยังรู้สึกว่าต้องระวังหลิวเอี๋ยนเอาไว้
“นี่ไม่ใช่ประเมินท่านสูงเกินไป!”
หลิวเอี๋ยนลูบเคราแพะของตัวเองและพูด “เท่าที่ข้ารู้ ในประเทศเซี่ยมีเพียงไม่กี่คนที่สามารถขึ้นมาถึงระดับอู่จงหรือนักรบศักดิ์สิทธิ์ ในประเทศเซี่ย เจ้าเป็นคนแรกที่สามารถขึ้นมาถึงทั้งสองระดับนี้ได้! ข้าคิดว่าแม้ในประเทศข้างเคียง เจ้าก็นับได้ว่าเป็นอัจฉริยะที่สามร้อยปีจะถือกำเนิดขึ้นสักผู้หนึ่ง!”
แม้หลายคนสามารถเปลี่ยนลักษณะภายนอกให้ดูเยาว์วัยได้ พลังชีวิตที่พวกเขาแผ่ออกมาก็ต่างไป อายุแท้จริงของฟางหยวนจึงไม่สามารถซ่อนเร้นจากสายตาของหลิวเอี๋ยนได้
ฟางหยวนไม่ได้คิดว่าหลิวเอี๋ยนจะยกย่องเขาสูงถึงเพียงนี้
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง หลิวเอี๋ยนก็ถาม “อาจารย์ของเจ้าคือผู้ใดกัน?”
“ข้ามาจากมณฑลชิงเหอ และอาจารย์ของข้าก็คืออาจารย์เวิ่นซิน!”
ฟางหยวนใช้ฉายาของอาจารย์ของเขา ซึ่งเป็นชื่อที่อาจารย์ของเขาใช้เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา
เมื่อได้ยินว่าฟางหยวนมาจากมณฑลชิงเหอ หลิวเอี๋ยนก็หัวเราะ “ดี! ดี! ดี! เด็กหนุ่มจากอี้ซานฝูของข้า!”
เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถาม “อาจารย์ของเจ้าไปที่ใดแล้วเล่า?”
อาจารย์ย่อมต้องน่าเกรงขามมากที่สามารถฝึกศิษย์ระดับนี้ออกมาได้
“อาจารย์ของข้าเสียชีวิตไปนานแล้ว!”
นี่ไม่ใช่ความลับ หลายคนในเมืองชิงเย่ล้วนรู้ และฟางหยวนก็ไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังความจริง
“ข้าเข้าใจแล้ว! ไม่แปลกใจเลย…”
หลิวเอี๋ยนพยักหน้า จู่ ๆ เขาก็คิดถึงบางอย่างและหลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ตัดสินใจได้ “ข้าต้องบอกเจ้าเกี่ยวกับบางอย่างแต่ข้าไม่รู้ว่าเจ้าต้องการฟังหรือไม่?”
“กรุณาด้วยขอรับ!”
ฟางหยวนโบกมือ
“การฝึกวิทยายุทธ์หรือเส้นทางการเป็นนักรบศักดิ์สิทธิ์ล้วนต้องการความพยายามและฝึกฝนอย่างหนักหลายปี พลังของคนผู้หนึ่งมีจำกัดไม่ว่าเขาจะมีพรสวรรค์เพียงใด นี่เป็นความจริงยิ่งนักเมื่อกระบวนการฝึกค่อย ๆ ยากขึ้น สำหรับเจ้า ข้าอยากแนะนำให้เลือกฝึกฝนเพียงเส้นทางเดียวถ้าเจ้าไม่ต้องการจบลงแบบพวกเรา มีเพียงเช่นนั้นที่ท่านจะประสบความสำเร็จได้!”
หลิวเอี๋ยนแนะนำ
“ขอบคุณสำหรับคำแนะนำขอรับ!”
ฟางหยวนอยากจะกลอกตาเพราะหลิวเอี๋ยนกลับไม่พูดถึงเงื่อนไขของการเข้าร่วมภาคีแต่กลับแนะนำเรื่องการฝึกตนของเขาแทน
ฟางหยวนรู้ว่าหลิวเอี๋ยนปรารถนาดี แต่ฟางหยวนนั้นต่างจากอัจฉริยะผู้อื่นมากนัก คำแนะนำนี้ใช้กับเขาไม่ได้
“ข้าอยากแนะนำให้เจ้าเลือกเส้นทางของนักรบศักดิ์สิทธิ์ถ้าเจ้าตัดสินใจเลือกการฝึกตนเพียงเส้นทางเดียว!”
หลิวเอี๋ยนมองเห็นแล้วว่าฟางหยวนไม่ได้ใส่ใจกับคำแนะนำของเขานักและเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้น “นอกจากนี้ จากประสบการณ์หลายปีของข้า ข้าพบความจริงว่า หลังจากอู่จงแล้ว ก็ไม่มีทางให้เดินต่อ!”
“ไม่มีเส้นทางการฝึกฝนต่อหลังจากอู่จง?”
ฟางหยวนตัวสั่นเมื่อได้รู้ปัญหานี้
“ถูกต้อง!”
หลิวเอี๋ยนหัวเราะขื่น “เจ้าคิดว่าการฝึกฝน 12 ประตูทองสร้างขึ้นมาทำไม?”
“เพื่อช่วยผู้ฝึกยุทธ์พัฒนาพื้นฐานที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะผู้ที่ไม่มีแนวโน้มที่จะขึ้นถึงระดับสูงกว่าอย่างการใช้พลังธาตุได้!”
ฟางหยวนตอบโดยไม่ลังเลเลยสักนิด
เขามีสิทธิ์ที่จะมั่นใจในฐานะที่เป็นผู้ฝึกวิทยายุทธ์ผู้หนึ่ง
ตามการคาดเดาของเขา เส้นทางการฝึกวิทยายุทธ์นั้นคิดขึ้นมาโดยนักรบศักดิ์สิทธิ์ที่ต้องการให้เป็นประโยชน์แก่คนส่วนมาก ดังนั้น กระบวนการค่อยเป็นค่อยไปโดยผ่าน 12 ประตูทองจึงถูกสร้างขึ้น
อย่างไรเสีย เส้นทางของนักรบศักดิ์สิทธิ์ผู้หนึ่งก็เริ่มจากการเป็นศิษย์วิญญาณ แล้วค่อยกลายเป็นนักรบศักดิ์สิทธิ์ นี่เป็นก้าวใหญ่ก้าวเดียวและยากอย่างสุดแสน
วิทยายุทธ์แบ่งหนึ่งก้าวใหญ่ก้าวเดียวออกเป็น 12 ประตูทอง เป็นกระบวนการที่ต้องทำเพื่อเพิ่มระดับการฝึกฝนของผู้ฝึก ในที่สุด ผู้ฝึกตนเหล่านี้ก็จะมีพลังเวทย์เพียงพอที่จะฝ่าระดับได้สำเร็จถ้ามีความสามารถเพียงพอที่จะได้กลายเป็นนักรบศักดิ์สิทธิ์หรือจ้าวแห่งการเล่นแร่แปรธาตุ
“นั่นก็ถูก!”
หลิวเอี๋ยนพยักหน้า “แต่ว่า พลังธาตุของผู้ฝึกยุทธ์นั้นเป็นเพียงพื้นฐานและมีระดับต่ำ จะเปรียบเทียบกับพลังธาตุของนักรบศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างไร? แม้แต่เคล็ดวิชาของสำนักกุยหลิงและสำนักห้าผีก็เพียงแค่สามารถขึ้นสู่ขอบเขตของอู่จงได้แต่ไม่มีความก้าวหน้าหลังจากนั้น…”
หลิวเอี๋ยนพูดต่อ “ว่ากันว่าในอาณาจักรต้าเฉียนที่ห่างไกลนั้น วิทยายุทธ์เป็นของธรรมดา และความก้าวหน้าของการฝึกก็เร็วมาก ขอบเขตอู่จงนั้นมีการแบ่งระดับชัดเจน ไม่เหมือนที่นี่ซึ่งยังคงไม่แน่นอน…”
“ดังนั้น เทียบกันแล้ว สำหรับพวกเรานักรบศักดิ์สิทธิ์ ตราบใดที่เราฝึกฝนไปตามปกติและค่อย ๆ เพิ่มพูนพลังธาตุของพวกเราผ่านการฝึกอย่างต่อเนื่อง พวกเราก็สามารถฝ่าระดับได้สำเร็จ พวกเรายังมีบันทึกเส้นทางเบื้องหน้าที่แม้จะไม่สมบูรณ์ แต่ก็ไม่ได้ไร้เงื่อนงำอนาคตของเส้นทางนี้ไปเสียทีเดียว!”
“เรื่องพวกนี้ เจ้าควรจะได้รับการบอกกล่าวโดยอาจารย์ของท่าน แต่เพราะเขาจากไปแล้ว ข้าจึงทำได้เพียงรับเรื่องนี้มาและบอกเจ้าด้วยตนเอง”
ฟางหยวนรับฟังอย่างตั้งใจและสีหน้าก็แย่ลงเรื่อย ๆ
“ไร้เส้นทางการฝึกวิทยายุทธ์ ตำราวิชาของนักรบศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่สมบูรณ์… ข้าไม่คิดเลยว่าอี้ซานฝูและกระทั่งประเทศเซี่ยจะเป็นดินแดนยากไร้สำหรับผู้ฝึกตนเช่นนี้!”
“ข้าอยากรู้ว่าอาณาจักรต้าเฉียนจะน่าสนใจกว่าเพียงใดเทียบกับที่นี่”
เขาขอบคุณหลิวเอี๋ยนขณะที่ในใจครุ่นคิดเรื่องนี้
อย่างไร แม้ว่าอาจารย์เวิ๋นซินจะทิ้งมรดกทั้งหมดอธิบายเส้นทางการเป็นจ้าวแห่งฝัน ฟางหยวนก็ยังคงไร้เงื่อนงำสถานการณ์ในประเทศเซี่ย และการเปลี่ยนแปลงเมื่อเร็ว ๆ นี้ในโลกของผู้ฝึกตน
‘ข้าไม่จำเป็นต้องกังวลที่จะมุ่งหน้าไปตามเส้นทางการเป็นจ้าวแห่งฝัน!’
ฟางหยวนก็เพิ่งตระหนักถึงคุณค่าของมรดกในมือเขา
เทียบกับนักรบศักดิ์สิทธิ์ผู้อื่นที่มีเพียงสิ่งสืบทอดที่ไม่สมบูรณ์ ฟางหยวนรู้สึกว่าเขาสามารถประสบความสำเร็จได้มากกว่านักรบศักดิ์สิทธิ์ผู้อื่นและย่อมไม่เดินเข้าสู่ทางตัน
ฟางหยวนรู้สึกว่าเพียงแค่ใช้เวลาและความพยายาม เขาก็จะก้าวข้ามระดับของหลิวเอี๋ยนและลู่เหรินเจียไปได้
“เป็นอย่างไร? เจ้าคิดอย่างไร?”
หลิวเอี๋ยนมองฟางหยวนและทำหน้าตาบึ้งตึง
“ไม่… ข้ายังสับสนกับข้อมูลที่มากเกินไปพวกนี้!”
ฟางหยวนส่ายหน้า “นอกจากนี้ ข้ายังไม่รู้สถานการณ์ของโลกแห่งการฝึกตนในอาณาจักรต้าเฉียนเลย”
“มีข่าวลือว่าเส้นทางของผู้ฝึกยุทธ์นั้นได้รับการพัฒนาไปมากในอาณาจักรต้าเฉียนที่ห่างไกล พวกเขาค้นพบเส้นทางการฝึนตนหลังจากเป็นอู่จงแล้ว ไม่เหมือนพวกเราที่นี่ แม้ว่าพวกเราจะค้นพบเส้นทางต่อแล้ว พวกเราก็จะเก็บมันเอาไว้เพื่อตัวเองอย่างไม่เผื่อแผ่…”
“มีนักรบศักดิ์สิทธิ์มากมายที่ได้รับสืบทอดวิชาอันน่าเกรงขาม พูดได้ว่า เทียบกับพวกเราแล้ว สามารถเป็นหนึ่งรับมือสิบ หรืออาจจะรับมือพวกเราได้เกินร้อยคน…”
หลิวเอี๋ยนเหม่อไปไกลและถอนหายใจ “น่าเสียดายที่อาณาจักรต้าเฉียนนั้นไกลนักและเส้นทางยังอันตรายมาก อาจจะพูดได้ว่าแม้แต่อู่จงหรือนักรบวิญญาณก็ไม่อาจไปถึงที่นั่นได้โดยง่าย!”
‘ต้าเฉียน? ข้าจะไปดูที่นั่นเมื่อข้าได้เป็นจ้าวแห่งฝันแล้ว!’
ฟางหยวนตัดสินใจเงียบ ๆ
ฟางหยวนเคยได้ยินชื่ออาณาจักรต้าเฉียนมาก่อน อาจารย์เวิ่นซินมาจากต้าเฉียนสู่ประเทศเซี่ยเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาบางอย่าง
“ข้าซาบซึ้งกับคำแนะนำของท่านยิ่งนัก!”
เขาถาม “ข้าสงสัยว่าเหตุใดท่านจึงบอกเรื่องราวแก่ข้ามากมายนัก?”
“ฮ่าฮ่า… เป็นคำถามที่ดี”
ดวงตาของหลิวเอี๋ยนสว่างวาบขึ้น “ข้าบอกเรื่องนี้แก่เจ้าเพราะว่าเจ้าคือส่วนหนึ่งของอี้ซานฝู! เจ้าดีกว่าคนนอกพวกนั้น ลู่เหรินเจีย!”
ฟางหยวนไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เมื่อคิดว่าเจ้าเมืองช่างแข็งขันในว่าเชื่อนี้ยิ่งนัก
“ในเมื่อเจ้ามาจากมณฑลชิงเหอ ข้าเชื่อว่าเจ้าสำนักกุยหลิง สืออวี้ถง ก็อยู่ในมือของเจ้าด้วย?”
หลิวเอี๋ยนหลับตาลงและจู่ ๆ ก็พูดออกมา “หลิงอิ๋นผู้นั้นเจ้าเล่ห์และเพิ่งปรากฏตัวขึ้นในมณฑลชิงเหอ ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะลงมือรวดเร็วและจับพวกนางได้ในครั้งเดียว!”
“พวกนางสมรู้ร่วมคิดกันจะสังหารข้า ข้าทำได้เพียงชิงลงมือก่อน…”
ฟางหยวนหัวเราะขื่น ๆ “นั่นเป็นเหตุผลให้ข้ามาขอความคุ้มครองจากท่านเจ้าเมือง!”
“หืมมม?”
หลิวเอี๋ยนหัวเราะ “ฮ่าฮ่า… ดี ตีตรงจุดทันที! ข้าชอบคนเปิดเผยและจริงใจ!”
อาจจะเพราะความประทับใจแรกหรือผลจากการเป็นจ้าวแห่งฝัน หลิวเอี๋ยนเริ่มชอบฟางหยวนขึ้นมาแล้ว
ผู้อาวุโสฮั่นและผู้อาวุโสเปี้ยนคงตายตาไม่หลับถ้าได้ยินหลิวเอี๋ยนประเมินฟางหยวนเช่นนี้
“เจ้าต้องการให้ข้าทำอะไร? ส่งกองทัพไปสนับสนุนเจ้าที่มณฑลชิงเหอ?”
หลิวเอี๋ยนมองฟางหยวนอย่างขำ ๆ
“แน่นอนว่าไม่!”
ฟางหยวนส่ายหน้า
พอหลิวเอี๋ยนดูจะชอบใจเขา การพูดไร้สาระก็มาทันที
ถ้าหลิวเอี๋ยนพร้อมจะส่งกองทัพไปหลังจากได้ยินคำขอของฟางหยวน สมองของเขาคงได้รับการกระทบกระเทือนแล้ว
ไม่มีคนไร้เดียงสาใดจะสามารถรั้งตำแหน่งเจ้าเมืองไว้ได้หรอก
เพราะอย่างนั้น ฟางหยวนจึงต้องมีของหรือพูดบางอย่างที่ทำให้หลิวเอี๋ยนหวั่นไหวได้
หลิงอิ๋นนั้นเป็นเพียงการส่งสัญญาณเล็ก ๆ
“ส่งกองทัพไปดูจะเสียเวลาและเปลืองแรงเกินไป นอกจากนี้ ข้าเองก็ไม่ได้หวังให้ท่านเจ้าเมืองช่วยข้าขึ้นครองทั้งมณฑล”
ฟางหยวนกะพริบตา “ข้าอยากรู้ว่าท่านอยากจะจบสงครามลงอย่างรวดเร็วหรือไม่?”
“หืมมมม? ว่ามา!”
หลิวเอี๋ยนยืดตัวขึ้นเมื่อได้ยิน เขาย่อมต้องสนใจแน่นอน
“ข้าเพิ่งจับตัวสืออวี้ถงและหลิงอิ๋ได้เมื่อไม่นานมานี้เอง ลู่เหลินเจียน่าจะยังไม่ได้รับข่าวเร็วถึงเพียงนี้!”
ตอนที่กำลังเดินทาง ฟางหยวนนั้นคิดไว้แล้วว่าจะพูดอะไร “สำนักกุยหลิงตอนนี้ไร้ผู้นำ เพื่อที่จะดำรงสมาพันธ์เอาไว้ เขาย่อมต้องส่งผู้มีอำนาจ อาจจะเป็นตัวเขาเอง ไปแก้ไขสถานการณ์ นี่จะทำให้เขาเป็นเป้าหมายที่ง่ายแก่การลอบฆ่า แม้ว่าพวกเราจะสังหารเขาไม่ได้ แต่ก็สามารถทำให้เขาบาดเจ็บสาหัสได้!”
“ใช้สัตว์วิญญาณ? เขาจะไม่ทันระวัง?”
หลิวเอี๋ยนตาเป็นประกาย