“ผิดแล้ว!”
ฟางหยวนส่ายหน้า “ข้าไม่ได้ต้องการจัดการกับเขา แต่ว่า เป็นเจ้าสำนักสลายกระดูก!”
สามสำนัก สำนักกุยหลิง สำนักสลายกระดูก และสำนักพี่น้องเสื้อเหลืองล้วนมีอู่จงเป็นเจ้าสำนัก เป็นกำลังหลักให้กับการทรยศของลู่เหรินเจีย
นอกจากนี้ ลู่เหรินเจียยังมาจากสำนักสลายกระดูกด้วย!
“ด้วยวิธีนี้ พวกเราสามารถกำจัดเจ้าสำนักได้! ถ้าท่านเจ้าเมืองร่วมมือกับข้า พวกเราสามารถสร้างความเสียหายให้กับฝ่ายตรงข้าม ขัดขวางพวกมัน!”
ฟางหยวนพูดอย่างมั่นใจ
แม้ว่าหลิวเอี๋ยนจะมีอีกสามมณฑลที่เหลืออยู่ภายใต้ชื่อของเขา แต่สามมณฑลนี้อ่อนแอ โดยเฉพาะมณฑลเลี่ยหยาง หลังจากเหตุวุ่นวาย พวกเขาก็ยังไม่สามารถฟื้นตัวได้และไม่สามารถให้การสนับสนุนใดได้
ลู่เหรินเจียเป็นจ้าวแห่งการเล่นแร่แปรธาตุ และมีอิทธิพล ทั้งสองฝ่ายไม่เพียงสูสีกัน แต่เขายังเหนือกว่าด้วยซ้ำ
แต่ว่า ตอนนี้มันง่ายมากที่จะเข้าครอบครองเหนือมณฑลชิงเหอ สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว
“อืม… ลู่เหลินเจียน่าจะส่งกำลังเสริมไปที่มณฑลชิงเหอเป็นแน่ นี่เป็นโอกาสดีที่พวกเราจะโจมตี!”
หลิวเอี๋ยนพยักหน้าแต่ไม่พูดอะไร
“แน่นอนว่า… ถ้าท่านรู้สึกว่าแผนนี้อันตรายเกินไป พวกเราก็ยังสามารถมุ่งหน้าไปที่มณฑลชิงเหอเพื่อรับมือกับผู้ที่ช่วยเหลือเขา พวกเราก็จะเข้าควบคุมสถานการณ์ทั้งหมดได้เช่นกัน!”
ฟางหยวนรู้ว่าหลิวเอี๋ยนกำลังคิดอะไรและโน้มน้าวเพิ่ม
“ไม่จำเป็น!”
คิ้วสีแดงของหลิวเอี๋ยนขมวด และหลังจากนั้นครู่เดียว เขาก็ตัดสินใจได้ เขายืนขึ้นและเดินไปข้างหน้า “ถ้าข้าไม่ตัดสินใจตอนนี้ ปัญหาก็จะตามมา! ตอนนี้ ศัตรูอ่อนแอขณะที่ข้าแข็งแกร่ง ถ้าข้าไม่ฉวยโอกาสนี้ ไม่กลายเป็นข้าเปิดโอกาสให้พวกมันรวมตัวกันใหม่ได้หรอกรึ?”
เขารู้ว่าเส้นสายของจ้าวแห่งการเล่นแร่แปรธาตุนั้นลึกล้ำเพียงไหน ถ้าเขาปล่อยให้ลู่เหรินเจียมีโอกาสรวมตัวกันได้ เขาก็จบลงด้วยความพ่ายแพ้แน่แล้ว
“ถ่ายทอดคำสั่งของข้า เรียกแม่ทัพและนักรบศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมด… มาที่ห้องโถงหลัก!”
หลิวเอี๋ยนคำราม เสียงของเขาก้องไปไกล
“ห้ามช้า นี่เป็นเวลาที่ดีที่สุดที่จะเริ่มลงมือ!”
ฟางหยวนเห็นด้วยทันที
หลังจากตัดสินใจแล้ว เจ้าเมืองอี้ซานฝูผู้นี้ก็ดูแน่วแน่และไม่ลังเล
“ท่านเจ้าเมือง หนิวติ้งเทียน เหลิงหนิง และเซียงจื่อหลงรายงานตัว!
“คิคิ… พี่หลิว ข้าอยากรู้ว่านกวิญญาณที่ข้างนอกนั่นมาจากไหน? มันสง่างามมาก!”
…
หลังจากนั้นครู่เดียว ผู้ฝึกยุทธ์จำนวนมากก็เข้ามาในห้องโถง พวกเขาล้วนอยู่ในระดับผู้ใช้พลังธาตุ
สามคนในนั้นสวมชุดเกราะเหล็กเย็น และมีสีหน้าร้ายกาจ ทุกการเคลื่อนไหวของพวกเขาราวกับมือสังหาร พวกเขาล้วนเป็นแม่ทัพอู่จงของกองกำลังติดอาวุธอี้ซานฝู
ชายแก่ในชุดคลุมสีขาวอีกผู้หนึ่ง แม้ว่าเขาจะดูฟั่นเฟือนไปสักนิด เขามีรูปร่างใหญ่ ใหญ่กว่าหนิวติ้งเทียนอีกเล็กน้อยด้วย
“นักรบศักดิ์สิทธิ์?”
ฟางหยวนมองคนผู้นั้นด้วยสายตาจริงจัง
จากชายแก่ผู้นี้ เขาสัมผัสได้ถึงพลังธาตุไม้ที่แตกต่างออกไป เขาให้ความรู้สึกถึงฤดูใบไม้ผลิและชีวิต
“พี่มู่ สุภาพด้วย!”
หลิวเอี๋ยนดุเขาไม่จริงจังและพูดต่อ “นกวิญญาณที่ด้านนอกนั่นเป็นของฟางหยวน น้องฟาง เจ้าอย่าได้กล้าคิดทำอะไรมันเชียวนะ!”
เขาหันกลับมาหาฟางหยวน “นี่เป็นมิตรที่ดีของข้า นักพรตมู่หลี่ เขาอาศัยอยู่อย่างสันโดษและยื่นมือเข้าช่วยเมื่อข้าเขียนจดหมายไปหาเขา… เขาชอบนกวิญญาณ และครั้งหนึ่งเขาเคยจับ ‘นกฉุนหยาง’ ที่ปกป้องยอดเขาสู่สวรรค์ได้อยู่นานหนึ่งปีหนึ่งเดือน แต่น่าเสียดาย เขาไม่ได้อะไรกลับมาเลย…”
“หลิวเอี๋ยน หยุดแฉข้าได้แล้ว!”
นักพรตมู่หลี่ลูบหนวดตัวเองก่อนจะมองมาทางฟางหยวน สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นสงสัย “อู่จง? อืม? ไม่ ไม่ถูก… นักรบศักดิ์สิทธิ์! ฝึกฝนทั้งวิทยายุทธ์และเคล็ดวิญญาณในเวลาเดียวกัน และยังอายุน้อยเพียงนี้! ปิศาจ!”
“แค่ก แค่ก!”
หลิวเอี๋ยนเกือบจะสำลักน้ำลายและไอถี่ ๆ หลายครั้ง เกรงว่าจะนี่จะทำให้เกิดการขัดแย้งภายใน
“โอ้ เป็นเจ้าสำนักฟาง!”
ส่วนแม่ทัพอีกสองคนที่ได้ยินว่าชายหนุ่มผู้นี้สามารถฝึกทั้งวิทยายุทธ์และเคล็ดวิญญาณในเวลาเดียวกัน และยังสามารถเข้าสู่ทั้งขอบเขตของพลังธาตุได้ทั้งสองด้าน พวกเขาทั้งคู่ก็ทักทายขึ้นอย่างสุภาพ
“ตามสบาย!”
ฟางหยวนโบกมือ “นักพรตมู่หลี่สนใจนกวิญญาณของข้า? โชคไม่ดี เจ้าอินทรีดำของข้าตัวนี้ค่อนข้างหยิ่งยะโสและไม่ยอมรับคนนอกใด…”
“อ้ะ… เช่นนั้นก็ไม่มีทางเลือกแล้ว!”
นักพรตมู่หลี่ถอนหายใจ “ข้าเคยพยายามจับนกอินทรีวิญญาณมาตัวหนึ่ง ตอนที่ข้าพยายามกล่อมมัน มันก็อดอาหารจนตายและไม่ยอมจำนนต่อข้า…เฮ่อ…”
ถึงตอนนี้ น้ำเสียงเขาดูสำนึกเสียใจมาก
“พ่อหนุ่ม เจ้าใช้เคล็ดลับอะไรในการกล่อมเจ้าอินทรีดำตัวนี้หรือ? สอนข้าบ้าง! ข้าจะสอนคาถาสะกดธาตุไม้ให้เป็นการแลกเปลี่ยน เจ้าคิดว่ายังไง?!”
เขามองฟางหยวนอย่างคาดหวังและแทบจะพุ่งเข้าไปดึงแขนเสื้อเขาเพื่อขอร้อง
“มู่หลี่…”
หลิวเอี๋ยนอดไม่ไหว “มิใช่ว่าเจ้ามีเหยี่ยวฉุยเฟิงอยู่ตัวหนึ่งแล้วหรือ? นั่นยังไม่พอรึ?”
“เสี่ยวฉิงน่ารักมาก แต่ยิ่งมีมากยิ่งดี… พี่หลิว เจ้าไม่รู้หรอกว่าข้าอยากได้อะไร ข้าอยากสร้างกองทัพนกวิญญาณและเปลี่ยนวัดธาตุไม้ของข้าไปเป็นวัดห้าวิหค!”
มู่หลี่พูดออกมาอย่างตื่นเต้นด้วยใบหน้าซื่อ ๆ ที่แทบทำให้หลิวเอี๋ยนร้องไห้น้ำตานอง
“เอาละ ข้าเรียกพวกเจ้าทั้งหมดมารวมกันเพื่อวางแผนโจมตีเจ้าสำนักสลายกระดูก ถล่มที่นั่นและทำลายลู่เหรินเจีย!”
พร้อมกับการโบกมือของเขา ไอความตายแผ่ไปทั่วห้องโถง
ได้ยินอย่างนี้ สีหน้าล้อเล่นของนักพรตมู่หลี่ก็เปลี่ยนเป็นจริงจัง
“…นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น ตามที่น้องฟางบอกพวกเรา ลู่เหรินเจียนน่าจะเพิ่งได้รับข่าวและส่งกำลังเสริมออกไปช่วยมณฑลชิงเหอ ฐานที่มั่นของเขาก็จะอ่อนแอลงและเป็นโอกาสดีที่พวกเราจะลงมือ พวกเจ้าคิดว่าอย่างไร?”
หลิวเอี๋ยนอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นและมองแม่ทัพทั้งหลาย
“พวกเราจะปฏิบัติตามคำสั่งของท่าน!”
หนิวติ้งเทียน เซียงจื่อหลง และเหลิงหนิง ล้วนเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาจึงตอบพร้อมกับคุกเข่าลงไป
“อืม… แม้ว่าข้าจะต้องการจู่โจมจุดอ่อนของลู่เหรินเจีย สงครามจบลงเร็วเท่าไหร่ก็ดีกับเมืองเท่านั้น ข้าเห็นด้วยกับสิ่งที่ท่านฟางพูด ก็คือโจมตีสำนักสลายกระดูก… เหอเหอ อย่างไรตอนนี้พวกเราก็มีนกวิญญาณให้ใช้สอยถึงสองตัว ถ้าพวกเราจัดการดี ๆ พวกเราน่าจะโจมตีได้โดยที่พวกมันไม่ทันตั้งตัว!”
นักพรบมู่หลี่เสนอความคิด
“ข้าก็คิดเช่นเดียวกัน! อย่ามัวช้าเลย รีบไปกันเดี๋ยวนี้! มู่หลี่ เรียกฉุยเฟิงของเจ้ามาด้วย!”
หลิวเอี๋ยนเป็นชุดเป็นชุดคลุมยาวที่มีประกายของพลังเวทย์และไปที่โรงเรือนด้านหลังห้องโถง
“เหอเหอ… ได้!”
นักพรตมู่หลี่ยิ้ม ดึงเอาขลุ่ยไผ่เลาหนึ่งออกมาและเป่าแรง ๆ เสียงหวีดแหลมดังไปไกล
“แกว๊ก!”
นกสีเขียวตัวใหญ่พุ่งลงมาจากชั้นเมฆราวกับลูกศร
“แกว๊ก! แกว๊ก!”
เห็นเช่นนี้ อินทรีดำหางเหล็กที่เดิมกินเนื้อย่างอยู่ก็อดใจไม่ได้อีกต่อไป มันกระพือปีกและสร้างลมพัดเข้าใส่ทหารของอี้ซานฝู มันบินขึ้นและไล่ตามฉุยเฟิงไป
“หุหุ!”
ในหมู่โรงเรือน ทรายและฝุ่นคละคลุ้งไปทั่ว ที่ตรงกลางเป็นนกวิญญาณสองตัวจ้องมองกันและกัน ราวกับกำลังท้าทายอีกฝ่าย
“นกดี! นกวิญญาณที่ดี!”
นักพรตมู่หลี่ดีใจมากแทบจะน้ำลายไหล
ฟางหยวนจับสังเกตเหยี่ยวฉุยเฟิง
มันรูปร่างเพรียวบางและขนเป็นสีเขียวประกาย หัวของมันค่อนข้างเล็กเมื่อเทียบกับอินทรีดำหางเหล็กและลมหายใจสั้นกว่า
ถ้าอินทรีดำหางเหล็กเทียบได้กับผู้ฝึกยุทธ์ระดับ 4 ประตูสวรรค์ เช่นนั้นเหยี่ยวฉุยเฟิงก็เป็นจอมยุทธ์ระดับกำลังภายใน
แม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ ฟางหยวนก็ยังเห็นเงาของความไม่ยอมแพ้ในดวงตาของมัน มันไม่ได้หวาดกลัวอินทรีดำหางเหล็กเลย
“ข้า หนิวติ้งเทียนและท่านฟางจะไปด้วยกัน เซียงจื่อหลง เหลิงหนิง เจ้าสองคนขี่เหยี่ยวฉุยเฟิงไป ออกเดินทางทันที!”
ฟางหยวนกระโดดขึ้นหลังอินทรีดำหางเหล็ก ปลอบมันให้ยอมรับพวกหลิวเอี๋ยนไปด้วย เขารู้สึกภูมิใจขณะโบกมือ
“แกว๊ก! แกว๊ก!”
“แกว๊ก!”
พร้อมกับเสียงร้องสองครั้งจากเจ้านกอินทรี เหยี่ยวฉุยเฟิงก็ไล่ตามอินทรีดำหางเหล็กขึ้นไปบนฟ้า และมันทั้งคู่ก็หายลับไปกับขอบฟ้า
…
มณฑลซางฉุย เขากระดูกขาว
นี่เป็นสถานที่ตั้งของสำนักสลายกระดูก อู่จงรุ่นแรกของสำนักสลายกระดูกพบดินแดนศักดิ์สิทธิ์นี้เข้าโดยบังเอิญและเปลี่ยนให้ที่นี่เป็นฐานที่มั่นของพวกมัน สำนักสลายกระดูกตั้งอยู่มากว่า 500 ปีแล้ว
ด้วยรากฐานเช่นนี้ จึงมีอู่จงมากมายกำเนิดจากสำนักสลายกระดูกอย่างต่อเนื่องมาหลายปี เจ้าสำนักสลายกระดูกนั้นมีเคล็ดฝ่ามือหลอมกระดูกที่สะเทือนภูเขาและยังเป็นที่รู้จักมากกว่าสืออวี้ถง
สำนักสลายกระดูกตอนนี้กำลังวุ่นวาย
ที่เชิงเขา มีทหารมากมายมาตั้งค่ายอยู่ และยังได้ยินพวกมันตะโกนออกคำสั่งอยู่ในค่าย
ตั้งแต่การก่อกบฏของลู่เหรินเจีย สำนักสลายกระดูกก็สนับสนุนเขาอย่างภักดีที่สุด ดังนั้นลู่เหรินเจียจึงตัดสินใจจัดตั้งฐานหลักของฝ่ายกบฏของเขาไว้ที่นี่เป็นการท้าทายอี้ซานฝู
อย่างไร สำนักสลายกระดูกก็สงบเย็น มีไอพลังเวทย์อยู่ทั่วไป
ลู่เหรินเจียนั่งขัดสมาธิอยู่บนเบาะ ตรงหน้าเขาเป็นเตาหลอมยาสูงเท่าตัวคน ถ่านสีดำลุกโพลงอยู่ใต้เตาหลอมก่อเกิดเปลวไฟสีเขียวอย่างสม่ำเสมอลามเลียอยู่ที่ฐานเตา
ขณะมองไปที่เปลวไฟ สีหน้าลู่เหรินเจียก็ดูกังวล
“อาจารย์ลู่ ท่านกังวลเรื่องศิษย์ของท่านใช่หรือไม่?”
ชายชุดขาวผู้หนึ่งเดินเข้าห้องมา เขาเป็นชายวัยกลางคนจอนผมสีขาว เขาถือพัดจีบเอาไว้ในมือและดูอ่อนโยน จากรูปลักษณ์ของเขา คงไม่มีใครเชื่อมโยงเขาเข้ากับเจ้าสำนักสลายกระดูกผู้โหดเหี้ยมอย่างที่เล่าลือกันได้
“นั่นก็ใช่…”
ลู่เหรินเจียไม่ได้ลุกขึ้น เขาชี้ไปที่เบาะข้าง ๆ เป็นเชิงต้อนรับให้เจ้าสำนักสลายกระดูกนั่งลง ก่อนจะถอนหายใจ “ใครจะคาดเดาได้ว่าจะเกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้กับศิษย์ที่ข้าปกป้องไว้กัน? ข้าต้องรับผิดชอบกับการหายตัวไปของหลิงอิ๋นและความวุ่นวายในสำนักกุยหลิง
“เฮ้… สืออวี้ถงก็แค่หยกไร้ค่า นอกจากหน้าตา วิทยายุทธ์ของนางก็ด้อยนัก และยังถูกลักพาตัวโดยอู่จงรุ่นเยาว์ นางทำให้พวกเราอับอายแล้ว!”
เจ้าสำนักสลายกระดูกยังคงไม่รู้ว่าฟางหยวนฝึกทั้งวิทยายุทธ์และเคล็ดวิญญาณในเวลาเดียวกัน และเต็มไปด้วยความไม่พอใจในตัวสืออวี้ถง เขาปลอบลู่เหรินเจียและพูด “อาจารย์ลู่ ท่านไม่ต้องกังวล ไม่ใช่ท่านส่งเทียนซานกับตี้ชิวสองพี่น้อง รวมทั้งปิศาจโลหิตไปช่วยพวกเขาที่เมืองชิงเหอหรอกรึ? ด้วยพวกเขาทั้งสามคน อู่จงผู้หนึ่งจะทำอันใดได้?”