“อุหวา เสี่ยวฉิงของข้า… ข้าจะทำให้พวกมันต้องลงนรกกำจัดการมีตัวตนของพวกมันออกไปจากโลกใบนี้!”
ภายในป่า
ต้นไม้เกือบทั่วทั้งป่าถูกตัด และบนพื้น เลือดกระจายไปทั่วทุกที่
“แกว๊ก! แกว๊ก…”
เหยี่ยวฉุยเฟิงพยายามยกหัวขึ้นและร้องออกมาอย่างอ่อนแรง มันดูราวกับจะหมดลมหายใจลงซึ่งมีผลกระทบต่ออินทรีดำหางเหล็กที่อยู่อีกด้าน และมันก็ไม่มีอารมณ์จะเล่นอีกต่อไปแล้ว
“ดี!”
หลิวเอี๋ยนขมวดคิ้ว “แทนที่จะมัวเสียเวลา เหตุใดจึงไม่รีบรักษามัน จากนั้นก็เอามันไปให้ไกลจากที่นี่ ไม่อย่างนั้น มันก็จะสายเกินไปเมื่อที่นี่กลายเป็นสนามรบระหว่างอู่จงและนักรบศักดิ์สิทธิ์ และทีนี้สัตว์วิญญาณใด ๆ ที่ได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้ก็ล้วนสมควรแล้ว”
“แน่นอนสิ!”
นักพรตมู่หลี่ตัวแข็งทื่อไป และค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้น “เสี่ยวฉิง อดทนไว้นะ! พิรุณพร่ำใบไม้ผลิ จงมา!”
แสงสีเขียววาบออกจากฝ่ามือของเขา แล้วเปลี่ยนหมอกในอากาศเป็นหยดน้ำ และมันก็พรมลงบนแผลของฉุยเฟิง
“อืม?”
สิ่งที่เกิดขึ้นต่อมานั้นทำให้ฟางหยวนตกใจ
ภายใต้หยดน้ำฝนที่ปกคลุม มันเหมือนกับมีชั้นของเมฆชั้นหนึ่งเข้าปิดแผลของฉุยเฟิง เลือดหยุดไหลทันที และแผลก็ฟื้นฟู… หลังจากเคล็ดวิญญาณสำแดงเสร็จ ที่เหลืออยู่ก็เป็นเพียงสะเก็ดแผล นอกจากรอบ ๆ แผลที่ไม่มีขนแล้ว ก็ไม่มีอะไรต่างไปจากเดิมเลย
‘คาถาเวทย์ธาตุไม้… รักษา?’
เห็นผลจากการรักษานี้แล้ว ฟางหยวนก็แทบกระอัก ถ้ามีนักรบศักดิ์สิทธิ์เช่นนักพรตมู่หลี่อยู่ เช่นนั้นหมอก็ไร้ประโยชน์แล้ว
“น้องฟาง ให้อินทรีดำหางเหล็กของเจ้าคอยดูการต่อสู้อยู่กับฉุยเฟิงที่ไกล ๆ เถอะ!”
หลิวเอี๋ยนโบกมือและบอกกับคนที่เหลือ “เมื่อลู่เหรินเจียกล้าเข้ามาหาพวกเราแม้จะรู้ว่าพวกเรามีนกวิญญาณถึงสองตัว เขาย่อมมีแผนการหรือเล่ห์กลใดซ่อนอยู่ในแขนเสื้อเป็นแน่”
“เข้าใจแล้ว!”
ฟางหยวนพยักหน้า เขาออกคำสั่งผ่านเจตจำนงเวทย์เพื่อบอกให้อินทรีดำหางเหล็กบินขึ้นสูง ครู่เดียว อินทรีดำหางเหล็กก็บินสูงขึ้นไปบนฟ้า แม้ว่าแผลของฉุยเฟิงจะหายดีแล้ว มันก็ฉีกออกอีกครั้งหลังจากมันพยายามกระพือปีก และเจ้านกเหยี่ยวก็กรีดร้อง มันใช้สองเท้าวิ่งเข้าไปในป่าและหายไป
“เอาละ ข้าอยากเห็นนักว่าลู่เหรินเจียจะยังมีเล่ห์กลใดซ่อนอยู่อีก?”
หลิวเอี๋ยนหัวเราะอย่างเบิกบานราวกับรู้สึกยินดีอย่างมาก
อีกด้านหนึ่ง ฟางหยวนนั้นมีความมั่นใจน้อยกว่าและย่นคิ้ว พร้อมกับการโบกมือ หมอกชั้นหนึ่งก็ปรากฏขึ้นแต่ก็ไม่ชัดเจนนักเมื่อมันอยู่ในป่า
“หมอก?”
หลิวเอี๋ยนและนักพรตมู่หลี่ล้วนเป็นนักรบวิญญาณและรู้ว่าคือสิ่งที่ฟางหยวนทำขึ้น แต่ถึงจะใช้เจตจำนงค์เวทย์ พวกเขาก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไรพิเศษเกี่ยวกับหมอกนี่และทั้งคู่ก็ประหลาดใจ
“พวกมันอยู่ที่นั่น!”
ตอนที่นักพรตมู่หลี่กำลังสงสัยและต้องการถามนั้น หลิวเอี๋ยนก็พูดออกมา
ที่ในป่า ปรากฏเงาร่างสามเงา ที่อยู่ด้านหน้านั้นคือลู่เหรินเจีย เจ้าสำนักสลายกระดูกและเจ้าสำนักพี่น้องเสื้อเหลืองนั้นอยู่ซ้ายและขวาตามลำดับ และเพราะว่าทั้งคู่ตามเขาอยู่ด้านหลัง มันย่อมเป็นการบ่งบอกว่าพวกเขาเป็นผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา
พวกเขาไม่ได้นำผู้ฝึกยุทธ์อื่นที่อยู่ต่ำกว่าระดับพลังธาตุมาเพราะรู้ว่าในการต่อสู้ พวกนั้นไม่สามารถช่วยอะไรได้และยังเป็นภาระให้พวกเขาด้วย
“คิคิ… จิ้งจอกเฒ่าแซ่ลู่ เจ้ากล้าเข้ามาหาพวกข้าพร้อมกับอู่จงเพียงสองคนรึ? เจ้าอยากให้ข้าสังหารเจ้าใช่หรือไม่?”
หลิวเอี๋ยนมองสีหน้าของลู่เหรินเจียและบอกได้ว่าเขาอยู่ในสภาวะตื่นตัวอย่างที่สุด แต่ภายนอกแล้ว เขาดูราวกับกำลังล้อเล่นอย่างนั้น
“อืม!”
ลู่เหรินเจียส่งเสียงออกมาขณะกวาดตามองตั้งแต่แม่ทัพแห่งอี้ซานฝู ไปถึงนักพรตมู่หลี่และจบลงที่จับจ้องอยู่ที่ฟางหยวน
“เจ้าคือ… อู่จงคนใหม่จากมณฑลชิงเหอ?”
เขาเป็นเพียงคนแปลกหน้าผู้เดียวที่ตรงนี้และยังอายุน้อยที่สุดด้วย ดังนั้นลู่เหรินเจียย่อมจำไม่ผิด
“ถูกต้อง ข้ายังเป็นคนจับตัวศิษย์ของเจ้า หลิงอิ๋น ด้วย!”
เขารู้สึกไม่ค่อยดีและก้าวถอยจากกลุ่มออกไปหลายก้าว สายตาจับจ้องอยู่ที่ลู่เหรินเจีย
“ดี! ดีมาก!”
ลู่เหรินเจียหัวเราะออกมาอย่างไม่คาดคิด “ข้าส่งปิศาจโลหิตและสองพี่น้องตี้ชิวไปที่มณฑลชิงเหอ เจ้าคิดว่าคงรับใช้พวกนั้นและผู้คุ้มกันไร้ประโยชน์จะยังอยู่รอดอีกหรือไม่?”
แม้ว่าเขาจะส่งคำสั่งเรียกพวกเขากลับมาแล้ว เขาก็ยังจงใจใช้ข่าวนี้ทำให้จิตใจของอู่จงน้อยผู้นี้เกิดความวิตกขึ้น เพราะฟางหยวนเก็บงำพลังเวทย์ทั้งหมดเอาไว้ ลู่เหรินเจียจึงมองเห็นเขาเป็นแค่อู่จงธรรมดาผู้หนึ่ง
หลิวเอี๋ยนมองสบตามู่หลี่อยู่ครู่หนึ่ง ทั้งคู่ล้วนสงสัยในสิ่งที่ลู่เหรินเจียพูด แต่ทั้งคู่ไม่กล้าเผยความจริงออกมา
“อยากทำอะไรกับคนของข้าก็เชิญเลย…”
ฟางหยวนโบกมือ “แต่ถ้าพวกเขาต้องการช่วยหลิงอิ๋น พวกเขาต้องผ่านการป้องกันของตำหนักเจ้าเมืองให้ได้ก่อน!”
“ถูกต้องแล้ว!”
หลิวเอี๋ยนก้าวออกมาด้วยอีกคน “หลิงอิ๋นถูกกุมตัวเอาไว้ในคุกน้ำของข้า เหอเหอ… อาจารย์ลู่นั้นเป็นผู้น่านับถือผู้หนึ่งและไม่เคยรู้จักสถานที่เช่นนั้น แต่ไม่เป็นไร เจ้าจะได้เข้าไปอยู่กับนางในไม่ช้าแล้ว”
“ดีมาก ดูเหมือนว่าพวกเจ้าทุกคนจะท้าทายข้าและสมควรตาย!”
สีหน้าของลู่เหรินเจียเปลี่ยนไปและดูมั่นใจยิ่งขึ้น
“รีบลงมือ!”
ในฐานะนักรบศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาสามารถที่สัมผัสถึงเลือดลมที่พลุ่งพล่านและความรู้สึกไม่ปลอดภัยในใจตนเองได้ หลิวเอี๋ยนตะโกนออกมาและเคลื่อนไหวก่อนเป็นคนแรก
“ระดับที่หกแห่งฟ้า ฟังคำสั่งของฟ้า… เพลิงสวรรค์ผลาญปฐพี!”
“ซู่!”
ลำแสงหกเส้นพุ่งออกจากร่างของเขาและเปลี่ยนเป็นรูปลักษณ์ภายนอกของตนเองที่กลางอากาศ พวกมันส่องสว่างไปทั่วท้องฟ้าและตกลงมาด้านล่างทันที!
พลังระดับนี้ทำให้ลู่เหรินเจียตกใจ และเขาก็ทำได้แค่ถอยออกมาเท่านั้น
“ตอนนี้!”
อู่จงและนักรบศักดิ์สิทธิ์ล้วนมีพรสวรรค์ ดังนั้นพวกเขาจะพลาดโอกาสโจมตีดี ๆ เช่นนี้ได้อย่างไร?
ขณะที่ศัตรูถอยให้วุ่นวาย ฟางหยวนและหนิวติ้งเทียน รวมทั้งแม่ทัพของอี้ซานฝูอีกสองคนก็พุ่งไปข้างหน้า
“เฮอะ! ธาตุไม้แห่งฟ้าและดิน อำนวยพร! พันธนาการ!”
แม้ว่านักพรตมู่หลี่จะไม่ได้ขยับเดินหน้าไป ทั้งสองมือก็ถือยันต์นักพรตเอาไว้สะบัดทิ้งไปด้านหน้า แผ่นหนึ่งกลายเป็นประกายสีเขียวชั้นหนึ่งอำนวยพรให้อู่จงที่ด้านหน้า ให้มีพลังมากขึ้น
ขณะที่อีกแผ่นหนึ่งนั้นมุดลงดินและหายไป
“ติ๊ง! ติ๊ง!”
ข้าง ๆ ลู่เหรินเจียและพวกนั้นมีเถาวัลย์สีเขียวมีหนามโผล่ขึ้นมาจากพื้น เถาวัลย์เหล่านี้บิดตัวไปมาและมัดเข้าหากัน เหมือนกรงกรงหนึ่ง
“เคล็ดสุดยอด ทลาย!”
ด้วยไฟจากด้านบน อู่จงลงมือจากด้านหน้า และเถาวัลย์หนาจากด้านหลัง ลู่เหรินเจียมีเหงื่อเย็นเยียบซึมออกมา เขาดึงเอาเตาหลอมยาอันหนึ่งออกมาโยนไปข้างหน้า
“ครืน!”
ภาพของเตาหลอมยาเล็ก ๆ ปรากฏขึ้น และขยายใหญ่ขึ้นภายใต้เปลวไฟสีแดงสด มันกลายเป็นหม้อหลอมยาที่รองรับฟ้าและดินและยังเต็มไปด้วยเปลวไฟสีเขียว จากนั้นมันก็เปลี่ยนเป็นลูกไฟเล็ก ๆ แตกกระจายออกไปทุกทิศทาง
เถาวัลย์ลุกไหม้เมื่อสัมผัสเข้ากับลูกไฟเล็ก ๆ เหล่านี้และขยับไม่ได้อีกต่อไป
หลังจากกระบวนท่านี้ เตาหลอมยาใบน้อยก็เริ่มปรากฏรอยร้าว ซึ่งทำให้หัวใจของลู่เหรินเจียแทบสลาย
“ดูเหมือนว่านี่จะเป็นอาวุธเวทย์ชนิดหนึ่ง หรืออาจจะมีการใช้งานจำกัด! ตามข้ามา!”
ฟางหยวนหรี่ตาและเอียงคอ ขณะที่ลูกไฟสีเขียวพุ่งตรงมายังผมของเขา มันกระทบเข้ากับต้นไม้โบราณที่ด้านหลังเขาและระเบิดออกไปเป็นเปลวไฟและกลายเป็นคบเพลิงอันใหญ่
“ซื้อเวลาให้ข้า!”
ลู่เหรินเจียมีท่าทางดุร้ายขึ้น ดึงเอาแผนที่ค่ายกลเวทย์ออกมาแล้วตะโกน
“ได้!”
เจ้าสำนักสลายกระดูกมองเจ้าสำนักพี่น้องเสื้อเหลือง
พวกมันเป็นอู่จงที่มีประสบการณ์ แม้ว่าจะไม่สามารถรับมือกับศัตรูได้ แต่ยังสามารถถ่วงเวลาได้ พวกมันก้าวเท้าขึ้นหน้าไปหลายก้าวขวางฟางหยวนและคนที่เหลือเอาไว้
‘ตอนนี้!’
ไม่มีใครรู้ว่าทำไมจู่ ๆ ฟางหยวนก็ยิ้มออกมาท่าทางสนุกสนาน “คาถาสะกด!”
“ซู่!”
หมอกจาง ๆ บนเขาหนาตัวขึ้นล้อมรอบบริเวณนี้ ปกคลุมลู่เหรินเจียและพวกเอาไว้
“เอ๋?”
“นี่มัน…”
อันที่จริงแล้ว การใช้คาถาสะกดนั้นอย่างมากก็ทำให้ผู้ฝึกยุทธ์ระดับประตูทองที่ 4 หลับลึกไปเท่านั้น ส่วนอู่จงและนักรบศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาสามารถตื่นขึ้นมาได้โดยง่ายเมื่อเพ่งพลังธาตุของตน
แต่ว่า การต่อสู้จริงจังโดยไม่พะวงถึงชีวิตนั้นเป็นจุดอ่อนที่สุดของทุกคน
“ฆ่า!”
“ตายซะ!”
…
มองเจ้าสำนักสลายกระดูกและเจ้าสำนักพี่น้องเสื้อเหลืองที่ตกตะลึงอยู่ หนิวติ้งเทียนและอู่จงคนอื่นก็ไม่ลังเลที่จะใช้วิชาที่แข็งแกร่งที่สุดของตนเองออกไป
“หมัดวัวปิศาจ!”
หนิวติ้งเทียนตะโกนออกมาขณะที่เขาเปลี่ยนเป็นตัวใหญ่กว่าเดิมกล้ามเนื้อหนาขึ้น ราวกับเป็นยักษ์ตัวเล็ก ๆ
เขาทะลวงผ่านขึ้นระดับอู่จงมาโดยใช้วิชาพลังภายนอกและกลายเป็นปิศาจคลั่งระหว่างการต่อสู้ ขณะที่หมัดของเขาพุ่งออกไป มันก็เหมือนกับค้อนใหญ่และหนักสองอัน
“ครืน!”
เจ้าสำนักสลายกระดูกได้สติขึ้นมา แต่ตอนที่เขารู้ตัว เขาก็เห็นหมัดของหนิวติ้งเทียนอยู่ที่ปลายจมูกแล้ว
“อั๊ก! ฝ่ามือหลอมกระดูก!”
เขาใช้พลังธาตุทั้งหมดใส่ไว้ในฝ่ามือขวาที่ดูไร้ต้านทาน
“ผัวะ!”
เมื่อหมัดและฝ่ามือกระทบกัน ทั้งคู่ก็ตกตะลึง
“เป็นเจ้าบ้าที่แข็งแกร่งและร้ายกาจ!”
เจ้าสำนักสลายกระดูกก้าวเท้าถอยไปก้าวหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าเขากำลังเสียเปรียบ และคิดกับตัวเอง “เป็นไปได้ไหมว่าเป็นเพราะหมอกนั่น และพวกมันตั้งใจจะสังหารข้า?”
ฝ่ามือหลอมกระดูกของเขานั้นเป็นวิชาเฉพาะที่ใช้รับมือกับวิชากำลังภายนอก และยังเป็นคู่ปรับของหนิวติ้งเทียน
แต่ว่า เพราะว่าเสียเปรียบในกระบวนท่าแรก ทุกกระบวนท่าต่อมาจึงทำให้เขาตกอยู่ในสถานการณ์เสียเปรียบมากขึ้นไปอีก
“ท่าเท้าสะกดมังกร!”
ขณะที่หนิวติ้งเทียนกดดันเขา เซียงจื่อหลงก็ตามมาทางด้านบน ขาทั้งคู่ของเขาพุ่งออกมาและมีพลังคมกริบราวกับดาบ มันแทบจะเทียบได้กับอาวุธวิเศษ!
“ตายซะ!”
เจ้าสำนักสลายกระดูกถอยร่นอย่างต่อเนื่องโดยไม่รู้เลยว่าได้ทิ้งเจ้าสำนักพี่น้องเสื้อเหลืองเอาไว้
“ผลึกน้ำแข็ง!”
เหลิงหนิงที่ดูเหมือนผู้หญิงแต่ก็มีกล้ามเนื้อ บอกได้ยากว่าเขาเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงกันแน่ กระบวนท่าเปิดฉากของเขารุนแรง มีน้ำค้างแข็งอยู่บนมือของเขา มันผุดขึ้นมาอย่างไม่คาดคิด ทันใดนั้น เขาก็กระโจนไปอยู่ตรงหน้าเจ้าสำนักพี่น้องเสื้อเหลือง
เจ้าสำนักพี่น้องเสื้อเหลืองนั้นเชี่ยวชาญวิชากลไกแต่ก็วิทยายุทธ์นั้นไม่นับว่าแข็งแกร่งเมื่อเทียบกับเจ้าสำนักสลายกระดูก เพราะว่าเขายังคงมึนงงอยู่หลังจากถูกลอบโจมตีด้วยหมอก เขาทำได้เพียงแค่พุ่งหลบกระบี่ที่แทงเข้ามาบริเวณหน้าอก แต่ก็ยังปรากฏรอยกรีดแทงบนร่างของเขาอยู่ดี
“วิ่ง!”
ด้วยบาดแผลบนร่างและโอกาสที่จะถูกสังหาร เขาจึงไม่ลังเลที่จะหนี
ถ้าเขาไม่ไป เขาอาจจะตายตกอยู่ที่นี่!
ในฐานะอู่จง เขาเชื่อในสัญชาตญาณของตนเอง
โชคร้าย สัญชาตญาณของเขานั้นกลายเป็นจุดอ่อนที่สุดเมื่อต้องเผชิญกับจ้าวแห่งฝันที่มีความสามารถในการสร้างความสับสน
เหลิงหนิงนั้นไม่ใช่คนเดียวที่โจมตีใส่เจ้าสำนักพี่น้องเสื้อเหลือง!
ในขณะที่เจ้าสำนักพยายามหลบหนี ฟางหยวนก็พุ่งมาตรงหน้าราวกับอินทรียักษ์ และตวัดกรงเล็บเข้าใส่จุดตายของเขา!