“อาจารย์ฟาง โปรดระวังตัวและอย่าลืมไปเยี่ยมเยียนกันบ้าง…”
ที่บนท้องฟ้าด้านนอกอี้ซานฝู นักพรตมู่หลี่บนหลังเหยี่ยวฉุยเฟิงมองฟางหยวนเตรียมตัวจากไปอย่างไม่ค่อยยินดีนัก
สายตาที่นักพรตมู่หลี่มองฟางหยวนทำให้เขาขนลุก
แต่ว่า เขารู้ว่านักพรตมู่หลี่ไม่ใช่คนเลวและกลับยังค่อนข้างน่ารักในบางมุมอีกด้วย ฟางหยวนโบกมือและพูด “ท่านไม่ต้องส่งข้าแล้ว… ก่อนที่จะจากกัน ข้าอยากจะบอกท่านว่า แม้ว่าที่นี่จะดีมาก แต่มันก็ยังไม่สามารถเทียบกับบ้านของท่านได้หรอก กลับสู่เส้นทางเต๋าโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้และใช้ชีวิตที่เหลือของท่านให้มีความสุข!”
หลังจากที่เขาพูดจบ ฟางหยวนก็ให้อินทรีดำหางเหล็กบินออกไปโดยไม่สนใจว่านักพรตมู่หลี่จะเข้าใจนัยยะระหว่างคำพูดของเขาหรือไม่ ไม่ช้า พวกเขาก็กลายเป็นจุดดำเล็ก ๆ บนท้องฟ้า
“แม้ว่าที่นี่จะดีมาก แต่มันก็ยังเทียบไม่ได้กับบ้าน… เป็นคำพูดที่ดี!”
นักพรตมู่หลี่สั่งเหยี่ยวฉุยเฟิงบินไปรอบ ๆ ขณะพึมพำคำนั้น จากนั้นเขาก็ยิ้มขื่นและถอนหายใจ “เฮ่ย… เจ้าละทิ้งความวุ่นวายนี้ไปได้โดยง่าย แต่ข้าติดอยู่ที่นี่อีกนาน!”
…
“วู้ วู้!”
ที่บนท้องฟ้าลมแรง ฟางหยวนรู้สึกยินดีอย่างที่สุดและตะโกนออกไปร่าเริง
อย่างไร สิ่งที่เขานำกลับมาครั้งนี้นั้นก็มากเกินพอ
เขาไม่ได้ตั้งใจจะเข้าครอบครองมณฑลชิงเหอ จากสิ่งที่เขามี มันก็ค่อนข้างท้าทายแล้วกับการปกครองเมืองชิงเย่ จะไปพูดถึงระดับมณฑลได้อย่างไร?
และเขายังไม่สนใจจะตั้งสำนักของตนเองอีกด้วย
ตอนนี้ ไม่เพียงแค่ครองเมืองชิงเย่ เขายังมีสิทธิ์เลือกผู้ครองมณฑลด้วย นี่เป็นสิ่งที่น่ายินดีพอแล้ว
ส่วนตัวเขาเองนั้น ฟางหยวนได้รับของหลายอย่างจากการเดินทางครั้งนี้ ด้วยความสามารถระดับอี้ซานฝู เขาได้รับของวิเศษจำนวนหนึ่ง เช่นเดียวกับตำราแปรธาตุของลู่เหรินเจีย เขายังได้รับคำแนะนำจากหลิวเอี๋ยนถึงการเป็นนักรบศักดิ์สิทธิ์
แต่เป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ภายใต้การครอบครองของสำนักกุยหลิงที่ไม่สามารถทำให้ฟางหยวนประทับใจได้
“โลกนี้สร้างขึ้นจากจิตวิญญาณและวิชายุทธ์ วิชายุทธ์คงอยู่ก็เพราะมันมีบทบาทในด้านจิตและวิญญาณ แม้ว่าจะมีการพัฒนาไปของวิทยายุทธ์ในอาณาจักรต้าเฉียน แต่การพัฒนานั้นก็หาได้พบได้แถวนี้ไม่…”
ฟางหยวนประเมินสิ่งของที่เขาได้มารวมทั้งคำแนะนำจากหลิวเอี๋ยน คำแนะนำและบทเรียนที่เขาได้จากนักพรตมู่หลี่และตำราแปรธาตุของลู่เหรินเจีย หลังจากทั้งหมดที่เขาได้เรียนรู้และได้รับมา ฟางหยวนก็มองเห็นอนาคตของเขาหลังเป็นนักรบศักดิ์สิทธิ์ได้ชัดเจนมากขึ้น
“หลังจากศิษย์วิญญาณธรรมดาได้รับการสนับสนุนขึ้นเป็นนักรบศักดิ์สิทธิ์ ก็อาจจะพูดได้ว่าเข้าถึงขอบเขตตกผลึกพลังธาตุแล้ว!”
“ถ้านับตามนี้ มันก็ไม่สำคัญว่าคนผู้หนึ่งจะเป็นจ้าวแห่งการเล่นแร่แปรธาตุ นักรบศักดิ์สิทธิ์ จ้าวแห่งกลไก หรือกระทั่งจ้าวแห่งฝัน มันก็เหมือนกันทั้งหมด ในช่วงการเข้าสู่โลกแห่งความฝัน และสร้างฝัน ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของระดับการตกผลึกพลังธาตุ ไม่ว่าในสายการฝึกอื่นจะเรียกว่าอย่างไร มันก็ไม่ได้ต่างกันมากนักจากแนวความคิดเดิมที่ต้องตกผลึกพลังธาตุของตนโดยการฝึกหนักต่อเนื่องและใช้ความพยายามในการฝึก!”
“นักรบศักดิ์สิทธิ์ส่วนมากในประเทศเซี่ย และกระทั่งประเทศเพื่อนบ้าน ล้วนติดอยู่ที่ขอบเขตของการตกผลึกพลังธาตุ และไม่สามารถพัฒนาต่อไปได้… หลังจากฝึกฝนอย่างหนักอยู่สองร้อยปี หลิวเอี๋ยนตอนนี้เข้าใกล้ขอบเขตถัดไป… หลอมรวมพลังธาตุและทำให้พลังธาตุบริสุทธิ์ ขั้นตอนถัดไปคือการฝ่าเข้าสู่ขอบเขตกำเนิดธาตุ! ใช้พลังธาตุของตนและทะลวงผ่านทุกจุดชีพจรลับในร่างกาย ก็จะสามารถควบคุมร่างกายได้แบบที่แขนควบคุมนิ้วมือ เผยความสามารถที่แท้จริงของร่างกายมนุษย์!”
ขณะที่เขาคิดเรื่องเหล่านี้ ฟางหยวนก็ยิ่งมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นขณะคิด “น่าเสียดาย… นักรบศักดิ์สิทธิ์ที่ขึ้นไปถึงระดับกำเนิดธาตุนั้นไม่มีแล้ว ที่เหลืออยู่ก็เป็นเพียงข้อมูลเรื่องนี้ในตำราและวิทยายุทธ์ตกทอดที่ไม่สมบูรณ์!”
แน่นอนว่าถ้าหลิวเอี๋ยนสามารถขึ้นไปถึงระดับกำเนิดธาตุได้ เขาคงเป็นสุดยอดผู้ฝึกยุทธ์ในประเทศ หรืออาจจะเป็นสุดยอดนักรบศักดิ์สิทธิ์
“เพียงแต่ว่า… การฝ่าไปที่ระดับนี้นั้นมันจะง่ายดายจริงหรือ?”
ฟางหยวนสงสัยมาก
มีนักรบศักดิ์สิทธิ์ที่มีความสามารถสูงอย่างหลิวเอี๋ยนไม่มากนักในแต่ละประเทศที่สามารถปรับพื้นฐานพลังธาตุของตนให้มั่นคงและเข้าใกล้การพัฒนาไปที่ระดับถัดไปอย่างมาก แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครสามารถฝ่าระดับไปได้เลย ทำให้ดูเหมือนว่ามันจะเป็นเรื่องที่ยากมาก
แน่นอนว่าด้วยความก้าวหน้าของหลิวเอี๋ยนและความปรารถนาจะฝ่าระดับไปที่ระดับถัดไป ผู้อื่นรอบ ๆ ย่อมกังวลมากขึ้น
มันเป็นไปได้ที่เหตุการณ์ไม่สงบครั้งนี้นั้นเกิดจากการที่มีผู้อื่นไม่ต้องการให้เกิดนักรบศักดิ์สิทธิ์ที่เชี่ยวชาญการใช้พลังธาตุอย่างสมบูรณ์มาทำลายสมดุลแห่งอำนาจในประเทศ
ถึงอย่างไร แม้ว่าหลิวเอี๋ยนจะดูเหมือนอยู่ภายใต้การควบคุมอย่างแน่นหนา เขาก็ยังเป็นปัญหาภายในอยู่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเขาเกิดความคิดไม่เหมาะไม่ควรขึ้นมานั่นจะเป็นอันตรายอย่างที่สุด
“แต่…เรื่องทั้งหมดนี้เกี่ยวอะไรกับข้ากันเล่า?”
ฟางหยวนยิ้มออกมาขณะคิด “ใครจะสนใจกับเรื่องภายนอกพวกนั้นกัน? ข้าเพียงแค่ต้องฉวยโอกาสความสงบก่อนพายุจะมานี้อยู่ในเมืองชิงเย่ ปลูกผักปลูกข้าวของข้า…”
“เมื่อข้าสามารถฝ่าระดับขึ้นเป็นผู้สร้างฝันและเข้าสู่ระดับสวรรค์มายา ข้าก็จะสามารถกลับมาและอ้างสิทธิ์เหนือผืนดินเดิมแห่งนี้!”
หลังจากเป็นจ้าวแห่งฝันซึ่งสืบทอดมาจากอาจารย์เวิ่นซิน เขาก็สามารถฝึกตนได้อย่างราบรื่นตลอดทางไปจึงถึงระดับสวรรค์สูงสุด!
ถึงระดับสวรรค์สูงสุดของจ้าวแห่งฝันนั้นจะแบ่งออกเป็นหลายระดับย่อย การผ่านระดับย่อยต้น ๆ ได้นั้นก็มอบพลังให้ผู้ฝึกเพียงพอที่จะควบคุมทั้งประเทศได้!
“อย่างไร เส้นทางของจ้าวแห่งฝันก็คือการเตรียมความพร้อมให้มากพอก่อนที่จะลงมือ ยิ่งข้าฝึกมากเท่าไหร่ ข้าก็จะยิ่งมีพลังมากเท่านั้น ข้าอาจจะขึ้นไปอยู่ในระดับเดียวกับจ้าวแห่งกลไกก็เป็นได้!”
“พูดโดยทั่วไปแล้ว ระดับผู้แฝงฝันและผู้สร้างฝันของจ้าวแห่งฝันนั้นก็สามารถเทียบได้กับระดับรวมธาตุของนักรบศักดิ์สิทธิ์ ระดับสวรรค์มายานั้นก็อาจจะเทียบได้กับระดับกำเนิดธาตุ ส่วนระดับสูงสุดของสวรรค์สูงสุดและแม้แต่ระดับให้กำเนิดดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้นั้น ระดับเหล่านี้ย่อมสูงกว่าระดับกำเนิดธาตุ ส่วนที่จะทำอย่างไรให้ไปถึงได้นั้น ข้าเองก็ไม่รู้เช่นกัน…”
“ผู้สร้างฝัน ตามมาด้วยระดับสวรรค์มายา และระดับย่อยแยกอื่น ๆ ของจ้าวแห่งฝัน นี่เป็นทิศทางที่ข้าจะมุ่งหน้าไปต่อ!”
ขณะที่เขาจมอยู่ในห้วงความคิด อินทรีดำหางเหล็กก็ร้องออกมาเสียงดังอย่างยินดี
ฟางหยวนถูกปลุกขึ้นมาจากห้วงความคิดและมองเห็นเขาชิงหลิงอยู่ในครรลองสายตารวมทั้งเมืองที่คุ้นตาเป็นอย่างยิ่ง
“เมืองชิงเย่?!”
เขาตบคอเจ้าอินทรีเบา ๆ และมันก็ร่อนลง
“วู้ วู้!”
ท่ามกลางกระแสลมแรงที่กดลงมาและอินทรีดำหางเหล็กที่ดีเก่งกาจทรงพลังปรากฏตัวขึ้น ความสงบในเมืองก็พังทลายลงเกิดความตระหนกขึ้นมาทันที
“นายท่านมาแล้ว!”
จากนั้น คนบนหลังม้ากลุ่มหนึ่งก็ตรงเข้ามาหาฟางหยวน ผู้ที่นำมาคือโจวเหวินอู่ เขาโค้งตัวลงและพูด “คารวะนายท่าน!”
“อื้ม ดูเหมือนเจ้าจะทำได้ดีทีเดียวในฐานะเจ้าเมืองนี้!”
ฟางหยวนมองผู้คุ้มกันที่ตามโจวเหวินอู่มาแล้วระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่น
อันที่จริงแล้ว เหล่าคนคุ้มกันพวกนี้ล้วนโชคดีมาก
ตอนที่ฟางหยวนสั่งให้โจวเหวินอู่ชิงเมืองชิงเย่ เขาไม่ได้ตั้งใจจะสร้างความลำบากให้เลย ถ้าลู่เหรินเจียไม่สั่งให้ปิศาจโลหิตและพวกถอนตัวกลับ ผู้คุ้มกันเหล่านี้คงจะย่ำแย่แน่แล้ว
แน่นอนว่า นี่เป็นความเสี่ยงที่โจวเหวินอู่ต้องรับเอาไว้
อย่างน้อยที่สุด ด้วยการสนับสนุนของฟางหยวนและอี้ซานฝู โจวเหวินอู่ก็สามารถรวบรวมอำนาจของตนขึ้นเป็นเจ้าเมืองชิงเย่ได้อย่างราบรื่น
“นายท่าน สำนักกุยหลิงทั้งหมดที่เหลืออยู่ล้วนถูกขับออกไปจากเมืองแล้วขอรับ!”
ขณะเดินตรงไปยังที่ว่าการเมืองที่ได้รับการซ่อมแซมและปรับปรุงใหม่ โจวเหวินอู่ก็สั่งให้คนรับใช้ทิ้งพวกเขาเอาไว้ขณะที่อวี้ซินโหลวและเขารายงานข่าวล่าสุดของเมืองให้ฟางหยวนฟัง
ครั้งสุดท้ายที่ฟางหยวนมาที่นี่ก็มาอย่างลับ ๆ ล่อ ๆ เพื่อทำภารกิจลักพาตัว ตอนนี้เขาสามารถเดินไปมาอย่างผึ่งผายราวกับเป็นเจ้าของสถานที่ได้แล้ว
“พวกมันถูกกำจัดไปหมดแล้ว? ยอดเยี่ยมมาก!”
ฟางหยวนทิ้งหลิงอิ๋นลงและสั่งอวี้ซินโหลวให้เตรียมตัวขณะที่เขาพลิกตัวนางขึ้น
จากนั้นเขาก็นึกขึ้นได้ เจ้าสำนักกุยหลิงที่อยู่ในการคุมตัวของเขาก็ยังเป็นอีกหนึ่งปัญหาที่เขาต้องดูแล
เห็นเช่นนี้ โจวเหวินอู่ก็พูดขึ้นอีกครั้ง “หัวหน้าตระกูลหลิน หลินเปิ่นชูและครอบครัวของเขา 72 ชีวิตถูกขังเอาไว้ พวกเรารอคำสั่งจากท่านอยู่!”
“โอ้? หลินเปิ่นชูก็ถูกจับตัวเหรอ?”
ฟางหยวนประหลาดใจเล็กน้อยกับข่าวนี้ สำหรับฟางหยวน เขายังไม่ได้ตัดสินใจว่าหลินเปิ่นชูนั้นเป็นพวกชอบความเจ็บปวดหรือว่าแค่เลือดเย็น มันก็ค่อนข้างน่าดีใจที่อุปสรรคชิ้นสำคัญของเขาถูกกำจัดไปอย่างรวดเร็วเช่นนี้
“แล้วก็…”
โจวเหวินอู่เริ่มหน้าแดงขึ้นอย่างกระอักกระอ่วนขณะรายงาน “หลิวเหลยเยว่ก็ถูกขังเอาไว้เช่นกัน ท่านต้องการพบนางหรือไม่?”
“เอิ่ม?”
ฟางหยวนมองเขาและถาม “เจ้าจับตัวผู้ฝึกยุทธ์ระดับกำลังภายในได้สำเร็จ? ใครช่วยเจ้า?”
“นายท่าน ท่านรู้!”
โจวเหวินอู่คิดถึงความซับซ้อนของเรื่องราวระหว่างหลินเหลยเยว่และฟางหยวนและรู้สึกไม่สะดวกอย่างมาก เหงื่อผุดเป็นเม็ดที่บนหน้าผากขณะเปิดเผยออกมา “คุณหนูหลินถูกคนของนาง คนจากสำนักกุยหลิง ทรยศ!”
“เล่ารายละเอียดให้ข้าฟัง…”
ฟางหยวนยกถ้วยชาขึ้น ใบหน้าไร้ความรู้สึก
“เรื่องเป็นแบบนี้ขอรับ…”
โจวเหวินอู่ปลอบตัวเองให้สงบลงแล้วรายงานทุกอย่างที่เขารู้อย่างละเอียด สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเรื่องปกติมาก เมื่อเขาจัดการกับตระกูลหลินทั้งตระกูลได้ หลิวเหลยเยว่ย่อมต้องมาช่วยพวกเขา
เมื่อข่าวชัยชนะของหลิวเอี๋ยนมาถึง กองกำลังที่เหลืออยู่ของสำนักกุยหลิงก็กำลังขวัญพังทลายและยอมแพ้ ศิษย์และผู้อาวุโสหลายคนสิ้นหวังในการเอาชีวิตรอดและทรยศหลินเหลยเยว่ ส่งตัวนางออกมาหวังว่าจะได้รับการยกเว้นโทษ
“นางอยู่ที่ไหน?”
ฟางหยวนคิดอยู่เงียบ ๆ ครู่หนึ่งก่อนถาม
“ตอนนี้นางถูกขังเดี่ยวในคุก เช่นเดียวกับผู้ดูแลหลินและครอบครัวของเขา!”
โจวเหวินอู่ยืดตัวตรงขณะรายงานการตัดสินใจของเขา
อันที่จริง ถ้าโจวเหวินอู่ไม่ได้คิดถึงเรื่องระหว่างฟางหยวนกับตระกูลหลิน เขาคงจะกำจัดทั้งตระกูลไปแล้ว เขาไม่ลืมว่าคนพวกนี้ทรยศครอบครัวเขาและนำเอาทรัพย์สินของตระกูลเขาไประหว่างเหตุหายนะจากซ่งจง
“ไปกันเถอะ อย่างไรพวกเราก็รู้จักกัน พวกเราควรจะไปเยี่ยมเยียนพวกเขาสักนิด!”
ฟางหยวนยืนขึ้นอย่างไม่เต็มใจนักและเดินไปที่คุกพร้อมโจวเหวินอู่
นักโทษถูกขังแยกเอาไว้ในแต่ละห้องขังตามสถานะของพวกเขา อย่างเช่น ผู้ที่มีสถานะชัดเจนก็อยู่ในห้องขังเดี่ยวและย่อมไม่ได้รับการปฏิบัติเหมือนนักโทษร้ายแรง
อันที่จริง นอกจากขาดอิสระแล้ว การใช้ชีวิตในห้องขังก็เกือบจะเทียบเท่ากับการพักในโรงพักแรมเลยทีเดียว
หลังจากเปิดประตูเหล็กหลายบาน โจวเหวินอู่ก็นำฟางหยวนเข้าไปในคุก
ผ่านซี่กรงที่ทำจากเหล็กชั้นดี ฟางหยวนมองเห็นเงาร่างบอบบางของหลินเหลยเยว่
หลินเหลยเยว่ซูบผอมไปมากอย่างเห็นได้ชัดในระยะเวลาเพียงไม่นาน ขาของนางถูกล่ามเอาไว้ด้วยโซ่เหล็กที่ทำจากเหล็กพันปี แม้ว่านางจะฟื้นฟูพลังแล้ว ก็ยังเป็นไปไม่ได้ที่นางจะหนีออกมา
“น้องฟาง… ไม่สิ! นายท่านฟาง นี่เป็นความเข้าใจผิดแล้ว!”
จากอีกด้าน หลิวเปิ่นชูโผล่หัวอวบ ๆ ของตนออกมาแล้วร้องขอความช่วยเหลือ “ได้โปรดคิดถึงความสัมพันธ์เก่าของพวกเราและไว้ชีวิตตระกูลของข้า!”
“ฟางหยวน?”
เสียงของบิดาดังมาทำให้หลินเหลยเยว่ตื่นจากภวังค์และกลับสู่ความเป็นจริง นางหันมาเผชิญหน้าชายตรงหน้าด้วยสีหน้าซับซ้อน
เดิมนางต้องการแก้แค้นฟางหยวน แต่นางกลับพ่ายแพ้ต่อคนของเขาโดยง่าย นางจำต้องยอมรับว่าเขาเหนือกว่านางมานานแล้ว ชีวิตของทั้งตระกูลของนางจะยืนยาวหรือไม่ตอนนี้ก็ขึ้นอยู่กับเขา