“อี้ซานฝูช่างมีชีวิตชีวาเหลือเกิน!”
ปีใหม่มาถึง และอี้ซานฝูก็ส่งคำเชิญให้ฟางหยวน อู่จงอื่น ๆ นักรบศักดิ์สิทธิ์และผู้มีฐานะอื่น ๆ มาที่อี้ซานฝูเพื่อเฉลิมฉลอง
ขณะที่พวกเขากลับไปที่อี้ซานฝู ความรู้สึกก็ต่างไปในครั้งนี้
“ฮ่าฮ่า… พี่เซียง!”
หนิวติ้งเทียนและคนอื่น ๆ เข้าไปในคฤหาสน์เจ้าเมือง เมื่อเขาเห็นเซียงจื่อหลง ดวงตาก็เป็นประกาย “ข้าคิดถึงท่านมากนัก!”
ขณะที่พูด หนิวติ้งเทียนก็ก้าวไปข้างหน้าดึงอีกฝ่ายมากอด
“ขอบใจมากน้องหนิว!”
ใบหน้าของเซียงจื่อหลงค่อนข้างทะมึน ขณะที่เค้นรอยยิ้มออกมา “เจ้าอย่าได้ส่งเสียงดังนักในคฤหาสน์นี่ ท่านเจ้าเมืองลงโทษคนไปมากนักเมื่อเร็ว ๆ นี้…”
ถ้าทั้งคู่ไม่ได้สนิทสนมกัน เซียงจื่อหลงย่อมไม่เตือนหนิวติ้งเทียนเรื่องนี้
สีหน้าของหนิวติ้งเทียนเปลี่ยนไปและถาม “เพราะเหตุใด?”
“ท่านเจ้าเมืองต้องการแสดงอำนาจ…”
เซียงจื่อหลงส่ายหน้าและแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่ต้องการพูดต่อเมื่อเขาเห็นว่าฟางหยวนก็อยู่ด้วยเช่นกัน
“ท่านแม่ทัพเซียง!”
ฟางหยวนนั้นไม่ได้ทักทายเขาอย่างเป็นทางการนักและถามต่อ “ท่านเจ้าเมืองอยู่หรือไม่?”
“ท่านเจ้าเมืองรับแขกสำคัญอื่นอยู่ในห้องหนังสือ แขกทุกท่านรบกวนไปร่วมงานฉลองที่ห้องโถงหลังก่อนขอรับ!”
หนึ่งในสามแม่ทัพเมืองอี้ซานฝูที่เดินออกมาคนสุดท้ายทักทายฟางหยวน
“แขกสำคัญ?”
ฟางหยวนเริ่มคิดหนักแต่สีหน้ายังคงเหมือนเดิม ขณะที่เขาเข้าไปในห้องโถงหลัก เขาก็ได้รับคำทักทายจากแขกอื่นมากมาย
อย่างไรเขาก็เป็นอู่จงผู้หนึ่งและมีอนาคตอันสดใส คนจำนวนมากย่อมต้องการสร้างสัมพันธ์ที่ดีกับเขา
…
ช่างบังเอิญนัก หลิวเอี๋ยน ที่รับแขกอยู่ในห้องหนังสือก็กำลังพูดถึงฟางหยวนเช่นกัน
“เหอเหอ… องค์หญิง ข้าได้ยินว่าท่านไปที่มณฑลชิงเหอเพื่อคนของข้าผู้หนึ่ง?”
หลิวเอี๋ยนยิ้มเย็นขณะมองเซี่ยหลิงอวิ๋น
ในตอนนี้ เซี่ยหลิงอวิ๋นยืนตัวตรงอยู่ สายตาหลุบลงด้านล่าง มันดูราวกับนางไม่กล้าสูดหายใจลึกด้วยซ้ำ
ความรู้สึกที่นางได้รับจากเจ้าเมืองอี้ซานฝูนั้นต่างไปจากอู่จงเยาว์วัยผู้นั้น
เจ้าเมืองไม่เพียงแค่เคร่งเครียดแต่ยังเผยความต้องการออกมา เขาละโมบและก้าวร้าว นางไม่รู้ว่าจะพูดอะไรในบรรยากาศน่ากลัวเช่นนี้
แต่ว่า นางก็กัดฟันและพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “อี้ซานฝูอยู่ภายใต้ประเทศเซี่ย ในเมื่อที่นั่นมีอู่จง ข้าย่อมไปที่นั่นในนามของราชวงศ์เพื่อตรวจสอบดู มีอันใดผิดรึ?”
หลิวเอี๋ยนไม่รู้จะพูดอย่างไร
แม้ว่าราชวงศ์ของประเทศเซี่ยจะไม่ได้มีอำนาจมากนักตอนนี้ แต่ราชวงศ์ก็ยังคงมีความชอบธรรม และจะเป็นการดีกว่าถ้าเขาจะไม่ไปต่อต้านพวกเขา
เขายิ้มเย็นอีกครั้งและพูด “ดูจะไม่มีประโยชน์ที่จะคุยเรื่องนี้ ท่านมาที่นี่เพื่ออะไร องค์หญิง?”
“ข้ามาที่นี่เพราะเรื่องความขัดแย้ง… ข้าได้ยินมาว่าท่านใช้กำลังทหารเข้าต่อสู้กับเซี่ยหยางฝู? ท่านได้รับคำสั่งนั้นจากราชวงศ์หรือไร?”
เซี่ยหลิงอวิ๋นพูดต่อด้วยสีหน้าจริงจัง “ถ้าไม่ มันก็ไม่ใช่เรื่องถูกที่ท่านจะทำเช่นนั้น และไม่มีเหตุผลให้ท่านทำเช่นนั้น อย่าได้บีบบังคับให้ราชวงศ์ต้องร่วมมือกับอีกสองรัฐเพื่อจัดการกับท่าน!”
ไม่สำคัญแล้วว่าสถานการณ์ตอนนี้ในอี้ซานฝูจะเป็นอย่างไร เมื่อสองรัฐร่วมมือกับราชวงศ์ พวกเขาย่อมมีอำนาจมาก ดังนั้นหลิวเอี๋ยนจำต้องไตร่ตรองการกระทำของตนเอง
“อืม… เจ้าเมืองเซี่ยหยางฝูเป็นผู้สร้างความขัดแย้งนี้ขึ้นมาเอง เขาเป็นหนึ่งในผู้ที่อยู่เบื้องหลังการก่อกบฏที่นำโดยลู่เหรินเจีย ข้าผิดหรือที่จะแก้แค้นให้ตัวเอง?”
หลิวเอี๋ยนโมโห
“ท่านไม่มีหลักฐานยืนยันเช่นนั้น จะพูดเช่นนั้นได้อย่างไร?”
เซี่ยหลิงอวิ๋นส่ายหน้าและพูดต่อ “ถ้าท่านยอมหยุดสิ่งที่ท่านกำลังทำ ราชวงศ์จะช่วยไกล่เกลี่ยสถานการณ์โดยให้เซี่ยหยางฝูชดเชยให้แก่ท่าน…”
อันที่จริง นางไม่ได้มาที่นี่เพื่อขุดคุ้ยสาเหตุของเรื่องราวและเงื่อนไขสำหรับการเป็นตัวกลาง นางเพียงแต่ใช้ไม้อ่อนและไม้แข็งในเวลาเดียวกัน
แต่ว่า เซี่ยหลิงอวิ๋นก็รู้สึกเศร้าอยู่ในใจ
เหตุใดมันจึงกลายมาเป็นว่าทางราชวงศ์ต้องมาเป็นคนกลางจัดการกับความสัมพันธ์ระหว่างรัฐไปได้?
แม้ว่านางจะรู้สึกไม่ดี แต่นางก็ไม่ต้องการเห็นความขัดแย้งภายในประเทศเซี่ย เซี่ยหลิงอวิ๋นจึงพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ท่านต้องการอะไรจากเราเพื่อให้ท่านหยุดมือ?”
“ท่านกำลังบอกให้ข้าตั้งเงื่อนไข?”
หลิวเอี๋ยนหัวเราะและพูดต่อ “ข้าย่อมยินดีตั้งเงื่อนไขอยู่แล้ว เช่นนั้น… หินหยกเพลิง 3 ชิ้น ปะการังเพลิงจากท้องทะเลลึก 1 ชิ้น ความยาวไม่น้อยกว่า 38 นิ้ว ข้ายังต้องการ ยาเม็ดสงบใจจากเลี่ยหยางอีก 10 เม็ดและหญ้าเพลิงพันปี…”
“!”
แม้ว่านางจะรู้ว่าหลิวเอี๋ยนย่อมใช้โอกาสนี้เรียกร้องของมากมายแต่เมื่อนางได้ยินสิ่งที่หลิวเอี๋ยนต้องการ นางก็ต้องสูดลมหายใจลึก
“ข้าว่าท่านมีของที่ต้องการมากเกินไปแล้ว… อีกอย่าง หินหยกเพลิงนั้นพบได้เพียงในภูเขาไฟลึกและมีเพียงอู่จงที่จำเป็นต้องใช้หินนี้ ปะการังเพลิงที่ยาวกว่า 38 นิ้วนั้นก็เป็นสมบัติของราชวงศ์เซี่ย แล้วยังหญ้าเพลิงและยาเม็ดสงบใจจากเลี่ยหยาง ก็ล้วนเป็นของวิเศษสูงค่าและยาวิญญาณ พวกมันยังเป็นสมบัติของเจ้าเมืองเซี่ยหยางฝู…”
เซี่ยหลิงอวิ๋นยิ้มประหลาดก่อนพูดต่อ “ถ้าเจ้าต้องการหนึ่งในนั้น ยังพอคุยกันได้ เจ้าคงไม่ได้จงใจทำให้เรื่องมันยากขึ้นด้วยการเรียกร้องของทั้งหมดนี้ในครั้งเดียวใช่หรือไม่?”
“หืม ถ้าเขายอมมอบของเหล่านี้ให้ข้า ข้าย่อมรับมาแต่โดยดี!”
หลิวเอี๋ยนครางฮืมและดูราวกับจะมีไฟลุกโพลงขึ้นที่เหนือคิ้วของเขา
‘หลิวเอี๋ยนผู้นี้.. อยู่ในระดับสูงสุดของของขอบเขตรวมธาตุจริง ๆ เขาอยู่ห่างจากระดับแยกธาตุเพียงก้าวเดียวแล้ว…’
ไม่มีใครรู้ว่าเซี่ยหลิงอวิ่นนั้นมีความรู้เรื่องนี้มาก
เพียงแค่ได้ยินสิ่งที่หลิวเอี๋ยนเรียกร้องจากนาง ของวิเศษสูงค่าและยังเกี่ยวข้องกับไฟ นางก็รู้ได้เลยว่าเขาเตรียมจะทะลวงผ่านขั้นสุดท้ายและต้องการของวิเศษจำนวนมากมาช่วยให้เขาผ่านมันไปได้
นางย่อมไม่ยินดีกับเงื่อนไขเหล่านี้
หรือมิเช่นนั้น หากนางยอมให้ในสิ่งที่เขาต้องการและเขาขึ้นสู่ระดับแยกธาตุได้สำเร็จ ต่อไปนางก็อยู่ในภาวะอันตรายแล้ว
แต่ว่า หากนางไม่มอบสิ่งที่เขาต้องการ ก็จะเกิดความวุ่นวายและสงคราม และหลิวเอี๋ยนก็ยังสามารถได้ของเหล่านั้นที่ต้องการมาได้ด้วยการใช้กำลัง
ไม่มีความแตกต่างมากนักกับผลที่เกิดขึ้นในทั้งสองแบบ นี่เป็นการตัดสินใจที่ยากสำหรับนาง
ถึงตอนนี้ เซี่ยหลิงอวิ๋นรู้แล้วว่าหลิวเอี๋ยนนั้นบ้าไปแล้ว เขาต้องการทุกอย่างที่จำเป็นต่อการทะลวงด่านโดยไม่สนใจว่าจะได้มาอย่างไร
…
“ท่านเจ้าเมืองและตัวแทนจากราชวงศ์มาถึงแล้ว!”
ในห้องโถงหลัก แขกทั้งหมดก็ได้ยินการมาถึงของคนทั้งคู่ พวกเขาหยุดสิ่งที่กระทำอยู่และมองไปที่ทั้งสองคนที่เพิ่งมาถึง
“เหอเหอ… ปีใหม่ การเริ่มต้นใหม่ วันนี้เป็นวันแรกของปีใหม่และด้วยความเมตตาจากราชวงศ์ พวกเราต้องดื่มกินกันให้เต็มที่!”
หลิวเอี๋ยนนั่งอยู่ในตำแหน่งของตนเอง พูดและยกจอกเหล้าขึ้น
“เพื่อท่านเจ้าเมือง! เพื่อประเทศเซี่ย!”
จากนั้นแขกทุกคนก็ยกจอกขึ้นดื่มจนหมด
ขณะที่ทุกคนดื่ม ฟางหยวนฉวยโอกาสนี้มองหลิวเอี๋ยนและเซี่ยหลิงอวิ๋น ใบหน้าของทั้งคู่นั้นดูปกติ และไม่ได้ดูมีความสุขหรือโมโห ไม่มีใครรู้ว่าการพูดคุยของทั้งคู่นั้นเป็นไปในทางไหน คนทั้งคู่รักษาท่าทีของเจ้าภาพเอาไว้
‘นางคิดว่านางสามารถปิดบังทุกคนได้แต่นางไม่สามารถปิดบังข้าได้… แม่นางผู้นี้ดูจะเจอปัญหาบางอย่างเข้าแล้ว… ดูเหมือนจะเกิดเรื่องมากมายขึ้นในประเทศเซี่ยแล้ว…’
ฟางหยวนถอนหายใจอยู่ลึก ๆ และเหลือบมองหลิวเอี๋ยนเร็ว ๆ ครั้งหนึ่ง
เขาสามารถสัมผัสได้ว่าเปลวไฟของหลิวเอี๋ยนนั้นแข็งแกร่งมากขึ้น พลังเวทย์ไฟของเขาลุกโพลงและดูไร้ปรานี
‘การฝึกตนของหลิวเอี๋ยนก้าวหน้าไปอีกครั้งแล้ว ดูเหมือนว่านี่เป็นสิ่งที่ลู่เหรินเจียทิ้งเอาไว้หลังจากที่ตายไป…’
แม้ว่าจ้าวแห่งการเล่นแร่แปรธาตุจะตายตกไปแล้ว แม้ว่าฟางหยวนจะเอาตำราที่เกี่ยวข้องกับการแปรธาตุไปจากเขาแล้ว หลิวเอี๋ยนก็ยังเก็บพืชวิญญาณและเม็ดยาวิญญาณที่ได้ทำขึ้นไว้ก่อนแล้วเอาไว้สำหรับตัวเองและไม่ได้แบ่งมาให้ฟางหยวนเลยสักนิด
ดูเหมือนว่าด้วยความช่วยเหลือจากเม็ดยาวิญญาณพวกนั้น การฝึกฝนของหลิวเอี๋ยนก็ก้าวหน้าไปอีกและดูราวจะสามารถทะลวงสู่ระดับแยกธาตุได้ในทุกเมื่อ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเหตุใดเขาจึงผยองขึ้นถึงเพียงนี้
อย่าไรเสีย ถ้าเขาสามารถขึ้นสู่ขอบเขตแยกธาตุได้ เขาก็จะนับเป็นอันดับหนึ่งท่ามกลางนักรบศักดิ์สิทธิ์อื่นทั้งมวลในประเทศเซี่ย และอาจจะในประเทศข้างเคียงด้วยเช่นกัน!
ไม่ต้องพูดถึงการเอาชัยเหนือเซี่ยหยางฝู มีคนไม่มากที่จะสามารถหยุดหลิวเอี๋ยนไว้ได้หากเขาเลือกที่จะยึดครองทั้งประเทศเซี่ยและขึ้นปกครองเอง
หลังจากงานเลี้ยง คนรับใช้ผู้หนึ่งก็มาหาฟางหยวนและกระซิบบอกเขาว่าเจ้าเมืองต้องการพบเขา
ฟางหยวนถอนหายใจเงียบ ๆ และคิดว่ามันต้องไม่ใช่เรื่องดี แต่ว่าเขาก็ยังคงตามนางไปที่ห้องหนังสือ
“ข้ามาแล้ว!”
ภายใต้แสงสว่าง หลิวเอี๋ยนยืนเอามือไพล่หลัง หันหลังให้ฟางหยวน เขากำลังชื่นชมภาพเขียนที่แขวนเอาไว้ที่ผนัง
“ยินดีที่ได้พบ ท่านเจ้าเมือง!”
ขณะที่ฟางหยวนขยับเข้าไปใกล้หลิวเอี๋ยนมากขึ้น เขาก็สัมผัสได้ถึงความกดดันรุนแรงที่แผ่ออกจากตัวหลิวเอี๋ยน มันเหมือนกับว่าพลังเวทย์ของหลิวเอี๋ยนกำลังจะพลุ่งพล่านขึ้นมา
“ข้าพบว่าพลังกาย พลังลมปราณ และพลังเวทย์ของเจ้าเปลี่ยนแปลงไปมาก ดูเหมือนเจ้าจะก้าวหน้าขึ้นเยอะและข้าก็ได้แต่ละอายตัวเองแล้ว”
ในเมื่อฟางหยวนขยับขึ้นเป็นผู้สร้างฝัน เขาย่อมมีความก้าวหน้าก้าวใหญ่ในขอบเขตรวมพลังธาตุ ดังนั้น ลมปราณของเขาจึงต่างออกไป
ถ้าหลิวเอี๋ยนที่อยู่ในห้องนี้ตอนนี้ไม่ได้มีความก้าวหน้าใดในการฝึกตน เช่นนั้นคงไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าฟางหยวนมีการพัฒนาไปก้าวใหญ่ ฟางหยวนสัมผัสได้ถึงความจริงจังนี้และตอบ “ข้าเพียงฝึกคาถาสะกดเพิ่มเท่านั้น… ท่านเจ้าเมือง ท่านช่างตาแหลมยิ่ง!”
“อืม!”
หลิวเอี๋ยนพยักหน้า
เขาไม่คิดว่าฟางหยวนจะสามารถขึ้นสู่ขอบเขตรวมธาตุได้ในเวลาอันสั้น และฟางหยวนตอนนี้ก็อยู่ห่างจากเขาไม่มากแล้ว
ฟางหยวนนั้นยังฝึกคาถาสะกดประหลาดบางอย่าง และดังนั้นจึงมีการเปลี่ยนแปลงในลมปราณ เขาจึงยอมรับสิ่งที่ฟางหยวนพูดได้
“ท่านเรียกข้าเข้าพบด้วยเหตุใด ท่านเจ้าเมือง?”
ฟางหยวนโค้งตัวน้อย ๆ และถาม
“เจ้าไม่คิดว่าหลังจากลู่เหรินเจียถูกสังหาร พวกเราก็ไม่ได้สนิทสนมกันเหมือนก่อนหน้า?”
หลิวเอี๋ยนพูดพร้อมยิ้มประหลาด “ไม่เพียงแต่เจ้า แต่ยังคนของข้าด้วย ตอนนี้ข้าเพียงใกล้ชิดแต่กับนักพรตมู่หลี่…”
ขณะที่เขาพูด ฟางหยวนก็ตื่นตัวขึ้นและประหลาดใจ
‘ข้าไม่คิดเลยว่าหลิวเอี๋ยนเชื่อถือนักพรตมู่หลี่ที่สุด… ช่างเถิด ภายในแล้วเขาเป็นคนร้ายกาจมากผู้หนึ่งที่แสร้งทำตนเป็นคนดี เขาจะเข้ากันได้กับนักรบศักดิ์สิทธิ์สักกี่คนเชียว?’
ฟางหยวนรู้สึกอิจฉานักพรตมู่หลี่ขึ้นมาและเริ่มคาดเดาเกี่ยวกับตัวเขา
“ข้าตั้งใจจะโจมตีเซี่ยหยางฝู และดังนั้นข้าจึงต้องการความช่วยเหลือของเจ้าอีกครั้ง!”
หลิวเอี๋ยนไม่ได้รอฟังความเห็นของฟางหยวน เขาร่ายสิ่งที่ต้องการออกมาตรง ๆ
“ข้าไม่มีความสามารถพอ ข้าเกรงว่า…”
ฟางหยวนส่ายหน้า และไม่รับข้อเรียกร้องของหลิวเอี๋ยน
เขาไม่ได้บ้าพอที่จะติดตามหลิวเอี๋ยนและขัดแย้งกับทั้งประเทศเซี่ย
ถ้าหลิวเอี๋ยนทะลวงด่านสู่ขอบเขตแยกธาตุได้เขาก็ยังต้องคิดดูก่อน
“หืม?”
หลิวเอี๋ยนขมวดคิ้วและหันกลับมา ฟางหยวนสัมผัสได้ทันทีถึงแรงกดดันมหาศาลที่พุ่งใส่เขา
“ข้าอาศัยอยู่ตัวคนเดียวและชอบอยู่อย่างสันโดษมากกว่า ถ้าท่านไม่มีอะไรแล้ว ข้าก็ขอตัวก่อน!”
ฟางหยวนไม่ได้มีท่าทีหวาดกลัวแม้สักนิด
เขาเป็นนักรบศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในขอบเขตรวมธาตุระดับสูง แม้ว่าเขาจะไม่สามารถเอาชนะหลิวเอี๋ยนได้ แต่ก็ยังสามารถหนีพ้นจากเงื้อมมือเขาได้!
อินทรีดำหางเหล็กของเขาก็บินวนอยู่ด้านบนเตรียมพร้อมเรียบร้อยแล้วด้วย!
ในเมื่อเขาเตรียมเส้นทางหลบหนีเอาไว้แล้ว เขาก็ไม่มีอะไรให้ต้องหวาดเกรง
“ถ้าเจ้ายอมช่วยข้า หลังจากสงคราม ข้าจะให้เจ้ารับตำแหน่งเจ้าเมืองนั้น!”
หลิวเอี๋ยนยังรู้ว่าการใช้อำนาจในฐานะเจ้าเมืองเพื่อบังคับฟางหยวนนั้นเป็นวิธีที่ไม่ได้ผลที่สุด ดังนั้นจึงยื่นข้อเสนอขึ้นมา
“หืม?”
ฟางหยวนอึ้งไปและพูด “ท่านเจ้าเมือง ท่านไม่ได้อยากจะปกครองเซี่ยหยางฝู เหตุใดจึงยังต้องการลงมือ?”
“อาจจะพูดได้ว่าแม้มีคนเป็นพันต้องการหยุดข้าเอาไว้ ข้าก็ยิ่งกล้าทำ!”
หลิวเอี๋ยนตอบอย่างแน่วแน่