“แหล่งพำนักลับในมณฑลเลี่ยหยาง?”
ดวงตาฟางหยวนเป็นประกายและเดินเข้าไปมองแผนที่ลับให้ชัด ๆ
“หืม? เจ้าเป็นใคร?”
มีคนยืนอยู่ข้าง ๆ ตัวพวกเขามาตลอดแต่ทั้งลู่เหรินเจียและหลิงอิ๋นนั้นไม่รู้ตัวมาก่อนเลย ทั้งคู่ตกใจมาก
“ข้าควรจะออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้!”
ขณะที่ฟางหยวนมองใบหน้าของหลิงอิ๋นที่เริ่มบิดเบี้ยวและดูเหมือนนางกำลังจะรู้ตัวขึ้นแล้ว จู่ ๆ ก็มีฟ้าแลบและฟ้าผ่าลงมา ฟางหยวนเป็นคนฉลาด ไม่ต้องการอยู่ต่อไปให้อีกฝ่ายต่อต้านเขาและดังนั้นจึงเลือกที่จะออกจากโลกแห่งความฝันไป
…
กลับมาที่โลกจริง ในคุกมณฑลชิงเหอ
“แม่นางผู้น่าสงสาร…”
ฟางหยวนลืมตาและเห็นหลิงอิ๋นที่นอนอยู่บนเตียงไม้และดูราวกับเพิ่งฝันร้ายไป ฟางหยวนเริ่มรู้สึกสงสารนาง
เขาเข้าไปในความฝันของนางหลายต่อหลายครั้งแล้วเพื่อค้นหาความลับและนี่ก็ทำให้นางหมดสติไป ถ้าเขายังทำแบบนี้ต่อ ก็อาจจะทำให้นางสับสนระหว่างโลกแห่งความฝันและโลกแห่งความจริง และถ้าเป็นเช่นนั้น นางอาจจะเสียสติได้ในภายหลัง!
“โชคดีที่ข้าได้สิ่งที่ข้าต้องการจากนางมาเกือบหมดแล้ว…”
ขณะที่เขานึกถึงรังลับของลู่เหรินเจียอยู่นั้น ฟางหยวนก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นเล็ก ๆ
นี่เป็นหนทางหนีที่จ้าวแห่งการเล่นแร่แปรธาตุเตรียมไว้ให้ตัวเองและเป็นความลับสุดยอด!
โชคไม่ดีสำหรับลู่เหรินเจีย เขาไม่คิดว่าหลิงอิ๋นจะมาตกอยู่ในมือของจ้าวแห่งความฝันคนใดไปเสียก่อน และตอนนี้ฟางหยวนก็รู้จักสถานที่นั้นแล้ว
“เช่นนั้นเขาก็เคยอยู่ในมณฑลเลี่ยหยาง… ช่างบังเอิญนัก ดูเหมือนว่าข้าจะต้องไปที่นั่นเสียหน่อยแล้ว!”
ฟางหยวนพึมพำกับตัวเองและรีบไปตามหาโจวเหวินอู่ ฟางหยวนสั่งงานเขาสองสามอย่าง
…
เมื่อเขาคิดจะทำบางอย่าง เขาก็จะลงมือทำเลย
ฟางหยวนรู้สึกว่าตัวเขาเองนั้นยิ่งมายิ่งมีส่วนร่วมในหลาย ๆ เรื่อง เขารอข่าวการสืบสวนจากคนของโจวเหวินอู่ จากนั้นเขาก็เดินทางไปเมืองหลวงของเลี่ยหยางโดยอินทรีดำหางเหล็กของเขา
“ตั้งแต่สำนักห้าผีล่มสลายไป มณฑลเลี่ยหยางก็ได้รับผลกระทบจากเรื่องนั้น แม้ว่าจะมีเรื่องวุ่นวายเล็กน้อยเกิดขึ้น ก็ไม่เคยมีสงครามเกิดขึ้นที่นั่นมาก่อน…”
ฟางหยวนลงจากหลังอินทรีที่ด้านนอกเมืองและเข้าเมืองไปคนเดียว เขาชื่นชมกับภาพที่สองข้างทาง
เพราะการค้าขายแร่ เมืองจึงดูรุ่งเรือง ไม่ได้ดูยากจนเลยสักนิด
บนถนน มีผู้ฝึกยุทธ์ที่ดูเก่งกาจหลายคน บางคนนั้นพกมีดสั้นหรือดาบไว้กับตัวมีท่าทีตื่นตัวตลอดเวลา บรรยากาศค่อนข้างตึงเครียด
“ดูเหมือนข่าวลือจะเป็นความจริง!”
เขานึกถึงรายงานจากโจวเหวินอู่และยิ้ม “สำนักห้าผี… กลับมาแล้ว!”
ตั้งแต่เกิดการต่อสู้แย่งชิงแผนที่สมบัติขึ้น เจ้าสำนักห้าผีก็เสียชีวิตไปและเหลือไว้เพียงผู้อาวุโสและศิษย์เพียงไม่กี่คน สำนักห้าผีนั้นสูญเสียอย่างใหญ่หลวง และยังถูกกดดันจากสำนักกุยหลิง ศิษย์หลายคนปิดบังชื่อแซ่และเก็บตัวเงียบ
เรื่องนี้ควรจะยังเป็นเช่นนี้ เหล่าศิษย์สามารถเลือกที่จะไปเติบโตที่อื่นหรืออยู่ที่นี่ต่อก็ได้ มันอาจจะใช้เวลาอย่างน้อยก็สิบปีถึงร้อยปีที่สำนักจะสร้างตัวขึ้นมาใหม่ได้
แต่ว่า มันต่างไปแล้วตอนนี้!
สำนักกุยหลิงเข้าไปมีส่วนร่วมในการกบฏ แม้แต่สืออวี้ถงเองก็ถูกฟางหยวนพาตัวไว้และขังเอาไว้ตั้งแต่นั้นมา
สำนักกุยหลิงนั้นถูกถอนรากถอนโคนขึ้นมาและตอนนี้ก็ไม่มีจุดยืนมั่นคงในอี้ซานฝูแล้ว
แต่ว่า มณฑลเลี่ยหยางนั้นอยู่ฝ่ายเดียวกับเจ้าเมืองอี้ซานฝูมาตลอดและยังมีข่าวลือว่าสำนักห้าผีที่เหลืออยู่หลายคนนั้นลงแรงไปมากกับการต่อสู้กับกองกำลังกบฏ
ดังนั้น ย่อมได้รับรางวัล ด้วยการสนับสนุนจากสภาเมืองใหม่ของมณฑล ศิษย์สำนักห้าผีจึงมารวมกันอีกครั้งแล้วสร้างสำนักของพวกตนขึ้นมาใหม่!
นี่ย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย!
แม้ว่าสำนักกุยหลิงจะไม่ได้เข้ามายุ่งเกี่ยว ก็ยังมีผู้อื่นที่เกี่ยวข้องกับการฉกฉวยผลประโยชน์มาจากการล่มสลายของสำนักห้าผีและคนพวกนี้ย่อมไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้และเกิดเป็นความขัดแย้งกันระหว่างสองกลุ่ม
ฟางหยวนคิดถึงกรณีที่เลวร้ายที่สุดของเรื่องนี้ สภาเมืองคงเข้ามาอ้างอำนาจเหนือสำนักเมื่อทั้งสองกลุ่มสู้กันวุ่นวาย
ก็เป็นเรื่องธรรมดามาก ๆ ที่จะใช้กำลังเพื่อให้ได้อำนาจมา
อย่างไรเสีย มณฑลเลี่ยหยางก็ต่างไปจากมณฑลชิงเหอ มณฑลเลี่ยหยางไม่ได้ถูกปกครองด้วยอู่จงดังนั้นจึงไม่สามารถใช้กำลังเพื่อกดข่มทั้งมณฑลได้ ดังนั้นสภาเมืองจึงทำได้แค่ใช้โอกาสนั้น
ทั้งสองฝ่ายล้วนรู้ว่าสภาเมืองพยายามที่จะยื่นมือเช้ามาแต่ก็ทำได้ตามน้ำไปกับแผนการของสภาพเมือง นี่คือข้อดีของการมีอำนาจมากกว่า
“เอ๋?”
จู่ ๆ ฟางหยวนก็เห็นคนคุ้นเคย และตามคนผู้นั้นไปในทันที
“การต่อสู้ระหว่างสำนักห้าผี สำนักเพลิงอนันต์ และพรรคแม่น้ำใหญ่นั้นเป็นข่าวใหญ่ที่มณฑลเลี่ยหยางนี่ การร่วมมือกันของพี่น้องจากภูเขาหัววัว หมู่บ้านลมทมิฬ และยังพี่น้องสิบแปดขุนเขานั้นก็โดดเด่นเช่นกัน!”
ผู้พูดเป็นผู้ชายร่างสูงแปดฉื่อและแบกขวานเล่มยักษ์ ทำให้ผู้คนรู้สึกกลัว
“นั่นไม่ใช่หวังฝูกุ้ย ที่ข้าพบในเมืองเฉาหยาง ที่เป็นหัวหน้าภูเขาหัววัวหรอกรึ?”
ฟางหยวนกลั้นหัวเราะเอาไว้ “ดี เจ้าคนทึ่มนี่ก็มาที่นี้แล้วเช่นกัน”
“เอ๋? เจ้าคือน้องฟางมิใช่หรือ?”
เมื่อหวังฝูกุ้ยเห็นฟางหยวน ดวงตาก็เป็นประกายขึ้นและเดินมาหาฟางหยวน จากนั้นก็ทักทายฟางหยวนเสียงดัง
“ฮ่าฮ่า… ข้าล่ะคิดถึงเจ้าจริง ๆ ตั้งแต่ที่เราแยกกันครั้งก่อน!”
“ใจเย็น ใจเย็น!”
ฟางหยวนปัดมือใหญ่ของหวังฝูกุ้ยที่โอบไหล่เขาอยู่ออก “พวกเจ้าทุกคนทำอะไรกันอยู่?”
“เหอเหอ… ข้าจะแนะนำเจ้าให้พี่น้องจากภูเขาหัววัว ข้ามาที่นี่กับพวกเขาเพื่อฉวยโอกาสนี้ปักหลักมั่นคงในมณฑลเลี่ยหยางนี่และสร้างชื่อเสียงให้โด่งดัง!”
หวังฝูกุ้ยตบอกตัวเองอย่างมั่นใจเป็นที่สุดและแนะนำชายร่างล่ำสันอีกหลายคนต่อฟางหยวน
ฟางหยวนมองผู้ชายตัวโตเหล่านี้และคิดว่าได้ว่าเหตุใดผู้คนจึงหลีกเลี่ยงพวกเขา จากนั้นก็ส่ายหน้าเงียบ ๆ
คนกลุ่มนี้ดึงดูดความสนใจอย่างมากขณะเดินไปตามถนนที่จอแจ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีคนธรรมดาสักคนไปรวมอยู่ในกลุ่มด้วย ฟางหยวนสามารถสัมผัสได้เลยว่ามีสายตาหลายคู่เหลือบมองเขาอยู่ตอนนี้ และรู้สึกทนไม่ไหวอีกต่อไป
“ข้าขอให้พวกเจ้าพยายามอย่างเต็มที่ ข้าต้องขอตัวก่อนแล้ว…”
ฟางหยวนโบกมือและอยากจากไปจนแทบรอไม่ไหวแล้ว
แต่ว่าหวังฝูกุ้ยดึงฟางหยวนเอาไว้แล้วกระซิบ “เมื่อเร็ว ๆ นี้มีอู่จงอายุเยาว์ผู้หนึ่งในอี้ซานฝูมีชื่อเสียงขึ้นมา เขามาจากมณฑลชิงเหอและอายุของเขาก็ไม่มากนัก แล้วก็เขายังมีความสามารถทางการแพทย์สูงด้วย เจ้าคือคนผู้นั้นใช่หรือไม่ น้องฟาง?”
ถ้าเป็นคนอื่นถามฟางหยวนเช่นนี้ เขาย่อมตอบว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญที่มีชื่อแซ่เดียวกัน
แต่ว่า หวังฝูกุ้ยก่อนหน้านี้เคยเห็นฟางหยวนเอาชนะกุยอู่เฉิง และนั่นก็ทำให้หวังฝูกุ้ยจดจำไว้ได้อย่างแม่นยำ ดังนั้นหวังฝูกุ้ยจึงคิดว่าคนผู้นั้นย่อมเป็นฟางหยวน
“ใช่ คนผู้นั้นคือข้าเอง…”
ฟางหยวนตอบเบา ๆ
เขารู้อยู่แล้วว่าหวังฝูกุ้ยนั้นดูหยาบกระด้างแต่ระแวดระวัง เขาไม่ใช่คนวู่วามอย่างที่เห็นภายนอก หรือไม่อย่างนั้นหวังฝูกุ้ยก็คงเผยตัวตนของฟางหยวนสู่สาธารณะไปแล้ว
“เหอเหอ… ไม่ต้องห่วง น้องฟาง ปากของข้าหนักมาก ข้าจะไม่บอกใครเรื่องก่อนหน้านี้!”
หวังฝูกุ้ยหัวเราะและรู้ประโยชน์ของการเก็บความลับดี
แม้ว่าฟางหยวนจะไม่เชิงปิดบังตัวตนระหว่างการมาเยือนครั้งนี้ เขาก็ไม่ต้องการปัญหาที่ไม่จำเป็นต้องเผชิญเช่นกัน
“เป็นหนี้ท่านแล้ว!”
ฟางหยวนโบกมือให้เขาและพูดต่อ “หวังฝูกุ้ย ท่านรู้หรือไม่ว่าสำนักห้าผีอยู่ที่ไหนแล้วตอนนี้? ท่านช่วยพาข้าไปที่นั่นหน่อยสิ!”
“ไม่มีปัญหา!”
หวังฝูกุ้ยตบหน้าอกตัวเองอย่างมั่นใจและรับคำร้องขออย่างยินดี ดวงตาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น
ตอนนี้มีจอมยุทธ์มาจัดการกับศัตรู กลุ่มของพวกเขารู้ว่าชัยชนะย่อมอยู่ฝ่ายตัวเองแล้วอย่างแน่นอน
“สำนักห้าผีก่อนหน้านี้มีอารามใหญ่อยู่ในเมือง และยังมีดินแดนศักดิ์สิทธิ์อีกหลายที่ แต่ว่า ตั้งแต่เจ้าสำนักห้าผีถูกสังหาร อารามก็ถูกสำนักกุยหลิงยึดไป และดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก็ถูกแบ่งกันไปโดยกลุ่มผู้มีอำนาจหลายกลุ่ม! แม้ว่าคนที่เหลือของสำนักห้าผีจะมารวมตัวกันแล้ว แต่ก็ยากที่จะไปนำทรัพย์สินที่ถูกยึดไปกลับมาและยังต้องหาที่อื่นสร้างสำนักขึ้นมาใหม่…”
หวังฝูกุ้ยนำทางไปและพูดไม่หยุดปาก “ถ้าน้องฟางไม่เจอข้าเสียก่อน ก็ไม่มีใครรู้แล้วว่าพวกมันอยู่ที่ไหนตอนนี้…”
“เฮ้ หวังฝูกุ้ย เจ้ามิใช่กำลังจะไปจัดการกับพรรคแม่น้ำใหญ่หรอกหรือ?”
ข้าง ๆ เขา หนึ่งในลูกน้องที่รู้สึกสับสนตะโกนถามเขา
“หลบไป!”
หวังฝูกุ้ยสะบัดชายผู้นั้นกระเด็นไปและจากนั้นก็คุยกับฟางหยวนต่อ “เจ้าก็เห็นแล้ว นี่คือหนึ่งในเรื่องที่พี่น้องของข้าต้องการจัดการและเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องใหญ่ที่สุดในภูเขาหัววัวทั้งหมด แต่มันก็แค่พรรคเล็ก ๆ เท่านั้น ข้าจะออกไปจัดการกับพวกมันภายหลัง!”
“ทำไมเล่า? พรรคแม่น้ำใหญ่ท้าทายท่านอีกแล้ว?”
ฟางหยวนถามพร้อมรอยยิ้มฝืด
“ก็ไม่เชิง…”
จากนั้นหวังฝูกุ้ยก็พูดด้วยเสียงอันดัง “มีใครที่นี่ไม่รู้จักเบื้องลึกของพรรคแม่น้ำใหญ่บ้าง? พวกมันก็แค่โจรสลัดกลุ่มหนึ่งเท่านั้น! ก่อนหน้านี้พวกเราทำการค้าอยู่บนแผ่นดินขณะที่พวกมันอยู่ในท้องทะเล พวกเราไม่เกี่ยวข้องกัน แต่ว่าพวกมันก็จัดการแย่งชิงการค้าของพวกเราไปเมื่อพวกมันกลับขึ้นบกมา พวกเราทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว!”
กลุ่มของพวกเขาพูดคุยและหัวเราะ เสียงของพวกเขาค่อนข้างดังและคนผ่านไปมาก็คอยหลีกเลี่ยง
ไม่นาน พวกเขาก็มาถึงอาคารหลังหนึ่ง
“นี่มิใช่… สำนักยุทธ์หรือ?”
ฟางหยวนปาดเหงื่อและถาม “หวังฝูกุ้ย เจ้าแน่ใจหรือว่าเจ้าพาข้ามาถูกที่?”
“เป็นที่นี่แน่นอน ข้ามั่นใจ!”
หวังฝูกุ้ยชี้ไปและพูด “ข้าได้ยินมาว่าตั้งแต่ที่นี่ถูกยึดไปโดยสำนักแห่งหนึ่ง ที่นี่ก็ดำเนินงานโดยศิษย์ผู้หนึ่ง… เจ้าดู สำนักยุทธ์ธรรมดาจำต้องมีผู้เก่งกาจเช่นนี้คอยเฝ้าประตูหรือ?”
“นั่นก็จริง!”
ฟางหยวนเดินไปข้างหน้าอีกสองสามก้าวและมองไปที่ศิษย์ที่มีท่าทางเคร่งเครียดที่ยืนเฝ้าทางเข้าสำนักอยู่ เขาใช้พลังเวทย์และสามารถสัมผัสได้ว่าศิษย์ผู้นี้มีพลังที่คล้ายกับเคล็ดฝึกจิตซวนหยินไหลเวียนอยู่ในร่าง
ศิษย์ธรรมดาย่อมไม่รู้ความลับเบื้องหลังเคล็ดฝึกจิตซวนหยิน แต่ว่า สำนักห้าผีนั้นเชี่ยวชาญวิชามารและง่ายที่จะจำแนก
ฟางหยวน ที่ศึกษาเคล็ดฝึกจิตซวนหยินอยู่ในโลกแห่งความฝันหลายปีและยังผสานเคล็ดวิชาเข้ากับเคล็ดกรงเล็บอินทรีเหล็กจนใช้มันทะลวงขึ้นสู่อู่จงได้ เช่นนั้น หยินของเขาย่อมมีพลังและยังนับเป็นเอกในเคล็ดฝึกจิตซวนหยินได้ย่อมจำพลังเช่นนี้ไม่ผิดแน่นอน
“หยุดอยู่ตรงนั้นนะ! เจ้าเป็นใคร? สำนักยุทธ์ของพวกเราปิดตัวมาหลายเดือนและตอนนี้ก็เป็นอารามของสำนักห้าผี เจ้ากำลังพยายามทำอะไร?”
ศิษย์สองคนเห็นกลุ่มคนน่าหนวกหูนี้ก่อนแล้วและกล้ามเนื้อเริ่มเกร็งแข็ง แต่ก็ยังก้าวออกมาตะโกนใส่กลุ่มนี้
“อาศัยพวกเจ้าทั้งคู่?”
ฟางหยวนหรี่ตาและพูดต่อ “ยังไม่มีคุณสมบัติพอ เรียกหัวหน้าของเจ้าออกมาเดี๋ยวนี้!”
“ปัง!
เขาปล่อยพลังออกไปเล็กน้อยและศิษย์ทั้งสองคนก็รู้สึกถึงพลังหยินเย็นเยียบได้ในทันที พวกมันกลัวจนนิ่งไป