“คุณชายสี่ ฮูหยินยกเลิกคำสั่งกักบริเวณของท่านแล้วเจ้าค่ะ และมอบทอง 10 ตำลึงให้ท่านเพื่อเตรียมตัวสำหรับการสอบ!”
ชุนหลานอายุราว 16-17 ปี สวมชุดสีแดง เมื่อนางยิ้ม ลักยิ้มสองข้างก็ปรากฏให้เห็น
“ช่วยขอบคุณแม่ใหญ่แทนข้าด้วย!”
ฟางหยวนรับทองมาและพูดด้วยสีหน้านิ่งเฉย
“ท่าน… ฮึ่ม!”
นางกระทืบเท้าเบา ๆ อย่างโมโหเมื่อไม่ได้รับการตอบสนองอย่างที่นางคิดเอาไว้
“ช่างน่ารัก…กระทั่งเวลาโกรธ!”
ฟางหยวนกลับเข้าไปในห้องและเริ่มเก็บของ เขายิ้มเย็น
เมื่อหยางหู่มาสร้างปัญหา เขาจงใจลากฮูหยินหวังเข้ามาในเรื่องนี้ด้วย
ไม่ว่านางจะเป็นคนเสแสร้งหรือร้ายกาจเพียงใด นางยังจำต้องรักษากริยาใจดีใจกว้างต่อหน้าคนในตระกูล
ฮูหยินหวังย่อมไม่อาจทนรับคำกล่าวหาว่าจงใจกีดกันเด็กคนหนึ่งไม่ให้เข้าสอบรับราชการได้
อย่างไรเสีย นางก็ยังมีวิธีการอื่นที่ตรงไปตรงมาและได้ผล
ตัวอย่างเช่น… มอบเงินให้เขาอย่างใจกว้างและรอให้เขาออกไปจากตระกูลหยางก่อนที่จะจงใจสร้างความลำบากให้เขาหรือกระทั่งสังหารเขา ก่อคดีที่ไร้เส้นสายปลายเหตุ!
“ข้าย่อมตายตกอย่างแน่นอนหากข้ายังเป็นเด็กหนุ่มอ่อนแอคนเดิม!”
ดวงตาของฟางหยวนนิ่งลึกไร้ก้นบึ้งและเขารู้ตัวดี
“บางทีหยางฟานอาจจะไม่เคยได้เข้าสอบราชการด้วยซ้ำ แต่ว่า ข้าจะต้องทำให้สำเร็จและสร้างชื่อให้ตัวเอง! นี่เป็นเป้าหมายที่ดี!”
พูดตามตรง นี่เป็นการทดสอบเพื่อดูว่าความปรารถนาของหยางฟานนั้นคืออะไร
เป็นการประสบความสำเร็จ หรือว่าการแก้แค้น? หรืออย่างอื่น?
“ข้าเองก็ไม่รู้ว่าจะเจอกับอะไรเหมือนกัน”
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ฟางหยวนก็หิ้วของห่อเล็ก ๆ เดินออกจากประตูบ้านตระกูลหยางภายใต้สายตามุ่งร้ายหลายคู่
ตระกูลหยางนั้นอยู่รอบนอกของมณฑลและห่างจากเมืองที่เป็นสถานที่จัดการสอบราชการระยะเดินครึ่งวัน
มีรถลากให้เรียกจ้างอยู่เช่นกัน แต่ว่า ฟางหยวนเลือกที่จะเดิน เขาเดินช้า ๆ ไปจนถึงป่าหนาทึบ
“เป็นอย่างไร? ได้เวลาที่พวกเจ้าควรจะแสดงตัวออกมาหลังจากตามข้ามานานขนาดนี้แล้วหรือไม่?”
ฟางหยวนสูดลมหายใจลึก เขาหันกลับอย่างกะทันหันและมองไปด้านหลังเขา
“คุณชายสี่สามารถตรวจพบข้าได้?”
เงาร่างสีดำเดินออกมา เป็นหยางฉิง!
เขายังไม่เปลี่ยนเสื้อผ้า เขาเดินออกมาตรงหน้าฟางหยวนอย่างมั่นใจ หมัดกำแน่น “ให้อภัยข้าด้วย คุณชาย ข้าเพียงแค่ทำตามคำสั่งเท่านั้น!”
“เจ้ามาที่นี่เพื่อสังหารข้า?”
ฟางหยวนส่ายหน้า
หยางฉิงยิ้ม สีหน้าเริ่มทะมึนขึ้น “ท่านรู้ได้อย่างไร?”
ฟางหยวนตอบ “เฮอะ ฮูหยินหวังคงจะใจดีเกินไปแล้วถ้าสั่งให้เจ้าเพียงแค่หักแขนหรือขาของข้า นางน่ะเสียสติไปแล้วและคงไม่มียาตัวใดช่วยนางได้แล้ว!”
“ดูเหมือนว่า คนในตระกูลจะประเมินท่านผิดไปแล้ว!”
หยางฉิงพยักหน้า “คุณชายสี่ ท่านฉลาดเหมือนคุณชายใหญ่และฮูหยินสามเลย!”
เขาเดินขึ้นหน้ามาช้า ๆ ฝ่ามือเขาเริ่มรวมพลังหยินเอาไว้
เขาได้รับคำสั่งจากฮูหยินหวังและไม่สามารถทำงานนี้ผิดพลาดได้!
หยางฉิงรู้สึกร้อนใจขึ้นมาเมื่อนึกถึงสิ่งที่ฮูหยินหวังสัญญากับเขาเอาไว้
‘ข้าเองนั้นมีความหวังเหลืออยู่ไม่มากแล้ว แต่ว่า นี่สำหรับลูกชายอันเป็นดวงใจของข้า’
“ดูเหมือนว่า เจ้าจะมั่นใจมากว่าไม่มีใครอยู่แถวนี้จึงกล้าลงมือที่นี่!”
ฟางหยวนมองหยางฉิง
“ถูกต้อง!”
หยางฉิงดูจะพอใจในตัวเอง “ต่อให้ท่านตะโกนจนคอแห้ง ก็ไม่มีใครมาช่วยท่านแล้ว!”
“ทำไมคำพูดนั่นถึงฟังคุ้น ๆ?”
ฟางหยวนพูดไม่ออก “นี่เรียกว่ามั่นใจเกินไปได้หรือไม่?”
“มั่นใจเกินไป?”
หยางฉิงไม่เข้าใจว่าฟางหยวนกำลังพูดอะไร เขาแผ่รังสีฆ่าฟันออกมา
“เฮ่ย…”
ฟางหยวนผ่อนลมหายใจออก “สิ่งที่เกิดขึ้นที่นี่จะไม่ดึงดูดความสนใจของตระกูลหยาง”
เขาแตะบริเวณหว่างคิ้วของตัวเอง ทันใดนั้น หมอกก็เริ่มมารวมตัวกันที่รอบ ๆ!
พลังแห่งฟ้าและดินเริ่มรวมกันเป็นพลังหมุนวนเป็นเกลียวล้อมรอบตัวเขาไว้
พลังวิญญาณในต้าเฉียนนั้นเข้มข้นกว่าในประเทศเซี่ยมากทำให้ฟางหยวนสร้างรูปลักษณ์ภายนอกอันน่ากลัวของจ้าวแห่งฝันได้
“พลังธาตุนั้นเป็นพลังของฟ้าและดิน! สิ่งที่ข้ามีในฐานะจ้าวแห่งฝันก็คือพลังธาตุฝัน!”
ในจิตของเขา เส้นสายพลังจากฟ้าและดินบรรจบกันและหลอมรวมกับพลังเวทย์สร้างเป็นพลังธาตุฝันก่อกำเนิดซึ่งเปลี่ยนไปอยู่ในรูปพลังธาตุฝันทรงกลมคล้ายปรอท
ทันใดนั้น ฟางหยวนก็เปลี่ยนไปเป็นจ้าวแห่งฝัน!
หยางฉิงไม่อยากเชื่อตาตัวเองหลังจากเห็นการเปลี่ยนแปลงนี้
“เป็นไปไม่ได้!”
เขาล้มลงบนพื้นและทำตัวเองเปรอะเปื้อนดิน “กระทั่งคุณชายใหญ่ก็ยังไม่สามารถขึ้นเป็นนักรบศักดิ์สิทธิ์ได้ด้วยซ้ำ… ท่าน ท่านเป็นแค่คนธรรมดา! ใช่ ท่านไม่ใช่หยางฟานแต่เป็นปิศาจที่เข้าสิงร่างของเขา! เจ้าตายแน่ หากเจ้าถูกเปิดเผยเจ้าจะถูกจับตัว!”
“เจ้าโง่!”
ฟางหยวนมองเขาและโบกมือซ้าย
ซู่ซู่!
หมอกสะกดเริ่มขยับไปข้างหน้า หยางฉิงที่อยู่บนพื้นม้วนตัวกลับหลังและถอย
“โอ้? ดูเหมือนว่าเจ้าจะแค่แสร้งทำเสียท่าสินะ!”
วิทยายุทธ์ของเขาดีมาก แม้ท่าที่กลิ้งไปจะไม่น่าดู แต่ความเร็วนั้นราวกับสายฟ้า
ถ้าฟางหยวนหลงระเริงและเดินเข้าไปหาเขา เขาก็คงจะต้องสำนึกเสียใจแล้ว
แต่ไม่ว่าวิชาตัวเบาของหยางฉิงจะดีเพียงใด เขาก็ไม่สามารถวิ่งหนีออกไปจากหมอกได้
หยางฉิงมองหมอกที่รอบตัวเขาอย่างหมดหวังก่อนที่มันจะหายไป
ฟางหยวนเดินตรงเข้าไปและมองหยางฉิงที่สีหน้าว่างเปล่า
เขาดึงหยางฉิงขึ้นมาและใช้ก้าวมายาไปจนถึงกลางป่าทึบ
“แฝงฝัน!”
หลังจากฟางหยวนเจอถ้ำแห่งหนึ่ง เขาก็สูดลมหายใจลึก แตะหว่างคิ้วของหยางฉิงและใช้ความสามารถของเขา
“นี่คือโลกแห่งความฝันของจริงของหยางฟาน ในเมื่อกฎของโลกใบนี้เป็นเช่นเดียวกับโลกจริง มันหมายความว่าสิ่งมีชีวิตย่อมมีจิตเหนือสำนึกและโลกแห่งความฝันเช่นกัน… เช่นนั้น ข้าก็สามารถเข้าสู่ความฝันของเขาได้เช่นกัน! ความฝันซ้อนฝัน!”
ทันใดนั้น ความคิดมากมายก็ไหลผ่านฟางหยวน
ด้านในถ้ำ ร่างจริงของฟางหยวนนั้นนิ่งงันไปขณะที่ขุดลงไปในจิตใจของหยางฉิงและมองหาข้อมูลที่เขาสนใจ
“เป็นความคิดมุ่งร้ายของฮูหยินหวังที่ส่งเขามาที่นี่จริง ๆ!”
“แม้ว่าเขาจะทำความผิดหลายอย่าง แต่เขาก็ดีกับบุตรของเขาอย่างที่สุด เขาต้องทำเรื่องเช่นนี้เพื่อให้บุตรของเขามีอนาคตที่ดี…”
…
ฟางหยวนตรวจดูความทรงจำทั้งหมดของเขา ความทรงจำหนึ่งสะดุดตาเขา
ในโลกแห่งความฝัน ภายในห้องลับห้องหนึ่ง ผู้อาวุโสผู้หนึ่งพูดอย่างจริงจัง “หยางฉิง เจ้าทะลวงผ่าน 4 ประตูสวรรค์ได้แล้ว ตอนนี้ได้เวลาส่งต่อเคล็ดลมปราณยิ่งใหญ่เฉียนคุมอีกส่วนที่เกี่ยวข้องกับการขึ้นเป็นอู่จงให้เจ้า เจ้าต้องจำเอาไว้…”
…
ฟางหยวนตรวจดูและจดจำความทรงจำทั้งหมดเอาไว้
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาก็ลืมตาขึ้นและยิ้ม “ดูเหมือนว่าหลังจากอู่จงจะมีระดับอื่นจริง ๆ ขอบเขตเปิดชีพจร!”
เขาได้รับข้อมูลจำนนมากจากการเข้าสู่ความฝันครั้งนี้
การทดลองเข้าสู่ฝันภายในโลกแห่งความฝันนั้นเป็นเพียงความคิดเล็ก ๆ หนึ่งที่เขามี
ความคิดอันใหญ่โตนั้นคือความรู้เกี่ยวกับวิทยายุทธ์ของหยางฉิง รวมทั้งความทรงจำของพวกเขาเพื่อที่เขาจะสามารถใช้มันได้ในเวลาต่อไป!
“ระดับที่สำคัญที่สุดของอู่จงก็คือขอบเขตรวมธาตุซึ่งต้องรวมพลังธาตุและสร้างเป็นรูปแบบภายนอกร่างกาย ในประเทศเซี่ยและประเทศอู่ มีอู่จงมากมาย รวมทั้งแม่ทัพเฟยหลง ที่ติดอยู่ที่ระดับนี้… ในต้าเฉียน นักรบศักดิ์สิทธิ์นั้นมีขอบเขตแยกธาตุ ขณะที่อู่จงมีขอบเขตเปิดชีพจร! ชีพจรนี้ไม่ใช่ชีพจรปกติ แต่ว่าเป็นชีพจรศักดิ์สิทธิ์! ในเมื่อเส้นทางการฝึกฝนของผู้ฝึกยุทธ์ถูกทำลาย พวกเขาก็ใช้พลังธาตุในการฝึกชีพจรศักดิ์สิทธิ์เพื่อฝึกตนต่อ! ทุก ๆ ชีพจรที่ถูกเปิดออก อู่จงผู้นั้นจะมีระดับพลังธาตุเพิ่มขึ้น 1 ระดับ”
‘พลังธาตุระดับ 1’ นี้เป็นวิธีการวัดเฉพาะของอาณาจักรต้าเฉียน มันอาจจะเทียบได้กับพลังสูงสุดของผู้ที่เพิ่งเข้าสู่ระดับอู่จงก็ได้!
“พลังลมปราณแข็งแกร่งที่คนผู้นี้ได้รับหลังจากทะลวงสู่อู่จงโดยใช้พลังลมปราณยิ่งใหญ่เฉียนคุนของตระกูลหยางนั้นเทียบเท่ากับพลังธาตุ 1 ระดับ! ผู้ที่เข้าสู่ระดับอู่จงโดยใช้พลังลมปราณยิ่งใหญ่เฉียนคุนนั้นแข็งแกร่งกว่าอู่จงทั่วไปสองเท่า!”
“ยังไม่แค่นี้ เคล็ดวิชานี้สามารถช่วยฝึกฝน 8 ชีพจรศักดิ์สิทธิ์ กระทั่งในอาณาจักรต้าเฉียน นี่ก็ยังนับเป็นวิชาที่ยอดเยี่ยมทีเดียว!”
ยิ่งเคล็ดวิชาดีขึ้นเท่าไหร่ ก็สามารถฝึกชีพจรศักดิ์สิทธิ์ได้มากเท่านั้น สุดท้ายแล้ว ก็จะเข้าสู่ ‘การฝึกฝนร่างศักดิ์สิทธิ์’!
มีข่าวลือว่ามันมีการเปลี่ยนแปลงที่คล้ายเป็นการกำเนิดใหม่ของผู้ฝึกยุทธ์ กระทั่งผู้อาวุโสก็เพียงแค่เคยได้ยินมาและไม่เคยเห็นด้วยตาตนเองมาก่อน
ตำนานนั้นบอกไว้ว่ายิ่งเปิดชีพจรศักดิ์สิทธิ์ได้มากเท่าไหร่ อู่จงก็ยิ่งมีพลังแข็งแกร่งมากเท่านั้น การฝึกฝนร่างศักดิ์สิทธิ์ก็จะยิ่งน่ากลัวขึ้นและเทียบได้กับร่างของเทพและปิศาจ!
“ขอบเขตเปิดชีพจรของผู้ฝึกยุทธ์นั้นคล้ายกับขอบเขตแยกธาตุของนักรบศักดิ์สิทธิ์และระดับสวรรค์มายาของจ้าวแห่งฝัน! ไม่มีใครรู้ว่าระดับการฝึกฝนร่างศักดิ์สิทธิ์นั้นเทียบได้กับอะไร…”
ฟางหยวนนั้นมีความรู้สึกว่าไม่ว่าจะฝึกตนเส้นทางใด ที่สุดปลายทางแล้วก็น่าหวาดเกรงเป็นอย่างยิ่ง
“น่าเสียดาย… ความทรงจำของหยางฉิงมีเพียงเคล็ดลมปราณยิ่งใหญ่เพื่อเปิดชีพจรศักดิ์สิทธิ์และไม่มีส่วนของการฝึกฝนร่างศักดิ์สิทธิ์!”
ก็เป็นเรื่องปกติ ยิ่งเคล็ดวิชาระดับสูงเท่าไหร่ ก็ยิ่งเป็นความลับมากเท่านั้น
ฟางหยวนคิดว่าระดับสุดท้ายของเคล็ดลมปราณยิ่งใหญ่เฉียนคุนนั้นน่าจะรู้กันเฉพาะผู้อาวุโสของตระกูลหรืออาจจะรู้เพียงแค่หัวหน้าตระกูลก็ได้
“ถ้าข้าอยากลองในครั้งหน้า เพื่อให้ได้เคล็ดวิชาทั้งหมดมา ข้าอาจจะต้องจ่ายในราคาน่าขนลุกทีเดียว…”
ฟางหยวนคำนวณไม่ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าตำรานั้นถูกแพร่ไปทั่วทั้งอาณาจักรต้าเฉียน
“แน่นอนว่า สิ่งสำคัญที่สุดตอนนี้ก็คือข้าต้องรีบพัฒนาวิทยายุทธ์ของข้า!”
เขามองหยางฉิงที่หมดสติ และจากนั้นก็กดมือขวาใส่เขา
หยางฉิงกระตุกอยู่บนพื้น และหลังจากนั้นไม่นานก็หยุดหายใจไป
“โชคดีที่ข้าออกมาเร็ว ไม่อย่างนั้นข้าจะพลาดการสอบครั้งนี้!”
ฟางหยวนเดินออกมาจากถ้ำ จากนั้นก็ตวัดฝ่ามือครั้งหนึ่ง
ซ่า!
แสงแห่งพลังไม่มากนักปรากฏขึ้นบนฝ่ามือของเขาและแทรกเข้าไปในก้อนหิน
ไม่นานหลังจากนั้น รอยแตกก็ปรากฏขึ้น ผนังทั้งแถบถล่มลงมาแล้วฝังถ้ำนั้นเอาไว้
แม้ว่าเขาจะไม่ยอมรับในสิ่งที่เขาทำลงไปอยู่แล้ว แต่ก็ดีกว่าถ้าปัญหาจะน้อยลงไป
เมื่อไม่มีการรบกวนจากหยางฉิง การเดินทางที่เหลือของฟางหยวนก็ราบรื่น เขาไปถึงมณฑลในตอนบ่าย
แสงสีทองของพระอาทิตย์สาดลงบนสิ่งก่อสร้างสูงลิ่วตรงหน้าและสะท้อนประกายสีทองบนกำแพง
ประตูเปิดอยู่และมีคนผ่านไปมาส่งเสียงวุ่นวาย
“คนส่วนมากเป็นผู้ฝึกยุทธ์ (ประตูทองที่ 6) ที่มีพลังภายใน?”
ดวงตาฟางหยวนส่องประกาย
เพียงแค่จุดนี้อย่างเดียวก็บอกได้แล้วว่าเมืองนี้เหนือกว่าอี้ซานฝูของเขาเสียอีก