“ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่เป็นฝีมือของจ้าวแห่งฝัน!”
หมอกสีเขียวดูราวกับมีชีวิตและหมุนไปรอบ ๆ นิ้วของฟางหยวนไม่หยุด มันพยายามที่จะเข้าไปในช่องระหว่างคิ้วของเขา
แต่ว่า หมอกสีเขียวนั้นถูกแสงเส้นหนึ่งซึ่งเปล่งรัศมีแบบเดียวกับภูเขาห้านิ้วขวางเอาไว้ทุกครั้งที่มันเข้าไปใกล้
“เซียวมู่ผู้นั้นน่าจะถูกหมอกนี่ทำให้สับสน และดังนั้นก็พบกับฝันร้ายทุกคืน และยังอาจจะมีอันตรายอื่น…”
ฟางหยวนพึมพำ “จ้าวแห่งฝันผู้นั้นต้องการอะไรกันแน่?”
เขาก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าวจึงถึงกำแพงระหว่างสองห้อง เขาปล่อยพลังเวทย์ออกไป แทรกผ่านหมอกสีเขียว
ห้องพักแขกสลัวรางปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา
แม้ว่ามันจะไม่ได้ต่างไปจากห้องนี้ ในห้องก็เต็มไปด้วยหมอกสีเขียว บนเตียง ดวงตาของเซียวมู่ปิดแน่นและลูกตากลอกไปมาภายใต้เปลือกตา เขากำผ้าห่มแน่นแทบขาดคามือ เขาดูทรมาน
รอบ ๆ คอของเขา รอยสักปิศาจสีเขียวยิ่งมายิ่งเด่นชัดขึ้นและขยายไปถึงหน้าอกของเขา มันดูราวกับกำลังจะออกไปจากร่างของเขา
“ยิ่งเซียวมู่ได้พบกับฝันร้ายอันเจ็บปวดมากแค่ไหน รอยสักก็ยิ่งขยายใหญ่และมีพลังมากขึ้น… มันเหมือน…”
ฟางหยวนกลอกตา
ในตอนนี้เอง บรรยากาศรอบ ๆ เริ่มสั่น
เขาอึ้งไป เขามองที่มือทั้งคู่ของตน “สร้างฝัน!”
พลังภายในเส้นบางปรากฏขึ้น มันทะลวงผ่านประตูสื่อและเข้าสู่ 4 ประตูสวรรค์
“ข้าได้เคล็ดกรงเล็บอินทรีเหล็ก (ระดับ 9) กลับคืนมา?”
ฟางหยวนดีใจ “ข้าพบ…เส้นทางสู่ความปรารถนาของหยางฟานแล้ว!!!”
เพื่อที่จะออกจากโลกแห่งความฝันของผู้อื่น โดยเฉพาะจ้าวแห่งฝันที่ชั่วร้าย การฆ่าตัวตายนั้นตัดออกไปก่อนได้เลย อีกทางหนึ่งนั้น นอกจากระดับการฝึกตนของเขาจะสูงกว่าจ้าวแห่งความฝันที่ว่าแล้ว ไม่อย่างนั้นมันก็ไม่มีหนทางอื่นเช่นกัน
หนทางหนีเพียงทางเดียวก็คือ ‘คล้อยตาม’!
ด้วยการทำตามจิตใต้สำนึกของเจ้าของความฝันเดิม ก็จะสามารถออกไปจากโลกแห่งความฝันได้!
“ความสามารถในการสร้างฝันของข้ากลับมาแม้ว่าก่อนหน้านี้มันจะถูกผนึกเอาไว้ นี่แสดงว่าข้ามาถึงจุดสำคัญแล้วใช่หรือไม่?”
ฟางหยวนมองเซียวมู่ที่ยังคงฝันร้ายอยู่
“ใช่แล้ว… หยางฟานนั้นแม้ว่าในที่สุดแล้วก็ได้เป็นจ้าวแห่งฝัน! จากสถานะของเขาในตระกูล จะมีอาจารย์คอยสั่งสอนเขาได้อย่างไรกัน? นอกเสียจากจะเป็นการประสบพบเข้าโดยบังเอิญ!”
“เป็นไปได้ไหมว่า… ความบังเอิญที่เขาพบเข้าเกิดขึ้นที่นี่?”
ด้วยความคิดนี้ ฟางหยวน ที่เดิมต้องการเข้าไปแทรกแซกก็ลังเล หลังจากคิด ฟางหยวนก็กลับออกมา
…
“พี่ฟาง ท่านหลับสบายดีไหมเมื่อคืนนี้?”
อาหารเช้าในโรงพักแรมนั้นหรูหรา มีทั้งขนมปัง ขนมอบ ขนมอื่น ๆ ฟางหยวนตักโจ๊กมาถ้วยหนึ่งและเริ่มกินช้า ๆ
เซียวมู่มีใต้ตาดำคล้ำเป็นวง เขานั่งลงตรงข้ามและอยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ลังเล จนในที่สุดเขาก็ทนไม่ไหวและถามออกไป
“อ้ะ? ข้ารึ?”
ฟางหยวนอึ้งไป “ไม่เลวเลย หลับสบายไม่ฝันอะไร ทำไมรึ?”
“ไม่มีอะไร!”
ใบหน้าของเซียวมู่บิดเบี้ยวไป กลัว เศร้า อิจฉา… ทุกความรู้สึกผสมปนเปและปรากฏขึ้นบนใบหน้าชัดเจน
ฟางหยวนจ้องมองเซียวมู่ที่ใบหน้าขึ้นสีและรีบกลับขึ้นไปห้องของตนหลังจากโบกมือลาฟางหยวน
“น่าสนใจ! น่าสนใจจริง ๆ!”
ฟางหยวนคิดขณะมองเซียวมู่
ตราประทับของจ้าวแห่งฝันนั้นไม่ปรากฏขึ้นแบบรอยประทับอื่น ๆ แต่ว่าซ่อนความลับมากมายเอาไว้
มันยากที่จะบอกว่าการได้รับประทับมา สำหรับคนธรรมดาแล้วมันคือคำอวยพรหรือคำสาป
…
อาคารกลางสนามสอบ
กว่าสิบห้องถูกเปิดออก ผู้คุมสอบจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังมองกระดาษคำตอบตรงหน้าพวกเขาอย่างละเอียดรอบคอบ
ในฐานะหัวหน้าผู้คุมสอบ ท่านข้าหลวงนั้นไม่ได้รับมอบหมายงานมากนัก ทั้งหมดที่เขาต้องทำก็คือดูแลการให้คะแนนกระดาษคำตอบแต่ละชุดและจัดลำดับคะแนนหลังจากนั้น
หากอันดับแรกและอันดับถัด ๆ มานั้นทำได้ดีเท่ากันในการสอบอย่างไม่มีความแตกต่างในด้านคะแนน เรื่องเบื้องหลังของทั้งคู่ก็จะเอามานับเป็นคะแนนไปด้วย มันมีค่าพอที่จะต่อสู้เพื่อให้ได้มา
ดังนั้นบรรยากาศจึงไม่เคร่งเครียดเท่าไหร่
ท่านข้าหลวงนั้นเองก็เป็นผลผลิตจากการสอบและเช่นกันเขารู้ดีว่ากระดาษคำตอบบาง ๆ นี้สามารถกำหนดสถานะของคนธรรมดาผู้หนึ่ง และเช่นกัน จึงไม่กล้าละเลยหน้าที่ของตน
“ท่านข้าหลวง! กระดาษคำตอบที่ยอดเยี่ยมจากห้องที่สองขอรับ!”
ผู้ช่วยคนหนึ่งวิ่งตรงเข้ามาและยื่นกระดาษคำตอบชุดหนึ่งให้
“หืม?”
ข้าหลวงผู้นั้นมองกระดาษคำตอบและพยักหน้า โดยที่ยังไม่อ่านคำตอบ ตัวอักษรก็ดูสวยงามและสง่า มีการลากพู่กันต่อเนื่องกันเล็กน้อยที่ตรงกลาง ๆ ของคำตอบที่ทำลายความเรียบร้อยของกระดาษคำตอบไป
แต่ว่า เมื่อคิดถึงอายุที่ยังเยาว์ของบัณฑิตแล้ว มันก็ยากที่จะพานพบ
หลังจากอ่านคำตอบ เขาก็รู้สึกพึงพอใจและไม่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับหลักการและการคำนวณของคำตอบ อย่างเดียวที่ยังเป็นปัญหาก็คือคะแนนที่ผู้ตรวจจะให้ตามความเหมาะสม แต่ว่า เขาก็คงไม่ได้รับคะแนนต่ำเป็นแน่
เขาอดไม่ได้จนต้องให้ความเห็นออกมา “ดี… เขาน่าจะเป็นอันดับที่หนึ่งแล้ว!”
เขารีบสั่งคนไปนำมีดเล็กมาตัดเปิดผนึกที่ปิดชื่อของผู้เข้าสอบเอาไว้ทันที “เซียวมู่? หืม? เขาน่าจะเป็นอันดับหนึ่งแน่แล้วหากไม่เกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้น!”
“เซียวมู่!?”
นักพรตเฟยซยงที่เดิมจิบชาอยู่อย่างไม่รีบร้อนถาม “เซียวมู่จากตระกูลเซียว?”
“ถูกต้อง!”
ข้าหลวงพยักหน้าเมื่อเห็นว่านักรบศักดิ์สิทธิ์ให้ความสนใจ เขานึกเรื่องบางอย่างออก “เมื่อครู่ท่านจับตามองบัณฑิตผู้หนึ่งอย่างมาในสนามสอบ เป็นคนเดียวกันหรือไม่?”
“ถูกต้อง… ข้าก็ไม่เห็นความผิดปกติอะไรนะ!”
นักพรตเฟยซยงส่ายหน้าช้า ๆ
“นี่…”
ข้าหลวงรู้สึกสงสัยและวางกระดาษคำตอบไปด้านข้าง
ไม่พบปัญหาไม่ได้หมายความว่าไม่มีปัญหา การได้เป็นผู้มีคะแนนสูงสุดนั้นต้องมีเส้นสายบางอย่าง แต่ว่า คำตอบของเขานั้นดีเกินไปและท่านข้าหลวงไม่ต้องการลงโทษเขา
“ท่านข้าหลวง กระดาษคำตอบที่ยอดเยี่ยมจากห้อง 1 ขอรับ!”
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ก็มีผู้ช่วยอีกคนเดินตรงมาในมือถือกระดาษคำตอบเอาไว้
“ผู้คุมสอบห้องที่ 1 คือขุนนางเผิงใช่หรือไม่? เขาค่อนข้างหัวโบราณ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะได้รับคำชมจากเขา เอามาให้ข้าดู!”
ข้าหลวงรู้สึกสงสัยมากและเปิดกระดาษคำตอบออกดู
“อืม ตัวอักษรไม่เลว เป็นระเบียบเรียบร้อย แต่ละเส้นแฝงความยิ่งใหญ่ แต่ตัวอักษรของเซียวมู่ดูจะดีกว่าเล็กน้อย…”
ความประทับใจแรกของเขาก็คือกระดาษคำตอบนี้ไม่ได้โดดเด่นนัก เขาอ่านคำตอบ สองหน้าแรกไม่มีสิ่งใดผิด วิธีการให้เหตุผลของผู้ตอบนั้นกระจ่างและเข้าใจง่าย
“อืม ไม่เลว? นี่ไม่เลวเลย!”
เขาอ่านซ้ำไปซ้ำมา เขาอดจะออกปากชื่นชมไม่ได้ “ดี ต่อให้เป็นผู้มีประสบการณ์ก็ยังอาจจะให้คำตอบที่ดีเช่นนี้ไม่ได้!”
“โอ้?”
นักพรตเฟยซยงสนใจและเดินเข้าไปดู
“การเขียนนี้แสดงความเป็นผู้ใหญ่และที่โดดเด่นที่สุดก็คือเปี่ยมไปด้วยประสบการณ์ นี่ไม่น่าเชื่อจริง ๆ!”
ข้าหลวงถอนหายใจและดึงกระดาษคำตอบของเซียวมู่ออกมา
เมื่อเทียบกระดาษคำตอบทั้งสองแล้ว ข้าหลวงมองเห็นความแตกต่างในวิธีการ ขณะที่ตัวอักษรของเซียวมู่นั้นดี แต่ก็ขาดความเป็นตัวเอง มันเหมือนนักรบเดียวดายที่เก่งกาจโดยตัวเอง แต่ว่า เมื่อเขาพบกับกองทัพที่ดูธรรมดาแต่ทั้งเข้มงวดและยุติธรรม นักรบเดียวดายย่อมพ่ายแพ้
“ท่านคิดว่าคำตอบไหนดีกว่ากัน?”
นักพรตเฟยซยงลูบหนวด “ตามกระดาษคำตอบของพวกเขาแล้ว ข้าบอกได้แค่ว่าทั้งคู่ล้วนเหนือธรรมดา ข้าสนใจในตัวคนทั้งคู่เลย!”
“อัจฉริยะทั้งสองนี้เป็นของราชสำนัก อย่าได้คิดจะรับเขาเข้าฝึกตน!”
ข้าหลวงออกปากดุ
“การจะหาผู้ที่มีพรสวรรค์ในการฝึกตนไฉนจะง่ายเพียงนั้น…”
นักพรตเฟยซยงส่ายหน้า “พวกเขาต้องสะสมกรรมดี ตอนนี้ก็ได้เวลาไปดูนิสัยของพวกเขาแล้ว!”
ความสงสัยแวบผ่านดวงตาของเขา
เขาไม่รู้ว่ากระดาษคำตอบนี้เป็นของใคร แต่ว่า เขารู้ว่าเซียวมู่นั้นมีธรรมชาตินิสัยที่ดี
เขาเตรียมใจรอพบว่าใครคือเจ้าของกระดาษคำตอบนี้
“ฮ่าฮ่า… ค้นหาเด็กรุ่นเยาว์ที่มีพรสวรรค์ให้กับประเทศนี่เป็นหน้าที่สำคัญในชีวิตของคนผู้หนึ่งเลย!”
ข้าหลวงหัวเราะและเริ่มตัดเปิดผนึก
ผู้ช่วยทั้งสองคนและกระทั่งนักพรตเฟยซยงต่างเอนตัวเข้ามามองใกล้ ๆ
…
สามวันผ่านไปราวพริบตาเดียว
ฟางหยวนและเซียวมู่มาถึงสนามสอบและหาร้านน้ำชานั่งพักขณะรอฟังข่าว
“พี่เซียวยอดเยี่ยมมาก ท่านต้องได้อันดับที่หนึ่งเป็นแน่!”
ฟางหยวนยิ้มและพูดเมื่อเห็นเซียวมู่ดูกระวนกระวาย
ผู้อื่นที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ ทั้งคู่ล้วนเป็นบัณฑิตเช่นกันและยิ้มให้เมื่อได้ยิน
“ชมเชยเกินไปแล้ว!”
เซียวมู่ยิ้ม ยิ้มของเขานั้นแย่ยิ่งกว่าร้องไห้เสียอีก
เขากระวนกระวาย ไม่เพียงเพราะลำดับในการสอบ แต่เพราะฟางหยวนด้วย
เพราะว่า หลายคืนที่ผ่านมา ความตั้งใจพยายามทำร้ายฟางหยวนนั้นไร้ผล นี่ทำให้เขารู้สึกสงสัยและดังนั้นจึงมีทีท่าไม่เป็นธรรมชาตินักเมื่ออยู่ต่อหน้าฟางหยวน
“ผลออกมาแล้ว!”
หลังจากประกาศสามครั้ง ประตูสนามสอบก็เปิดออกและผู้ช่วยหลายคนออกมา แบกแผ่นป้ายชื่อเอาไว้
ผู้เข้าสอบหลายคนพุ่งเข้าไปและออกันอยู่ตรงหน้ากำแพง
“ฮ่าฮ่า… ข้าทำได้แล้ว!”
“มันช่างน่าเศร้าที่ผมข้าเปลี่ยนเป็นสีเทาไปเรียบร้อยแล้วตอนที่ในที่สุดข้าก็มีโอกาสมีสถานะทางสังคมดีขึ้น…”
“ข้าจะกลับมาใหม่หลังจากนี้หนึ่งปี!”
มีทั้งผู้ที่สอบผ่านและสอบไม่ผ่าน ฟางหยวนสัมผัสได้ถึงความสุข ความเศร้า ความเสียใจ และความรู้อื่นสึกแบบอื่นที่ผสมปนเป
“พวกเขาเสียสติไปแล้วถึงแม้ว่านี่จะไม่ใช่การสอบที่แท้จริงของราชสำนักที่ผู้ที่สอบผ่านจะได้เป็นข้าราชสำนัก แต่พวกเขาทำท่าราวกับสอบเข้าราชสำนักผ่านจริง ๆ อย่างนั้น?”
เขาถอนหายใจและมองรายชื่อและเห็นชื่อเซียวมู่อยู่ลำดับที่สอง เขาหันไปแสดงความยินดีกับเซียวมู่ทันที “เซียวมู่ ยินดีด้วย!”
“อ๋า?”
เซียวมู่อึ้งไป สายตาของเขาไม่ดีเท่าฟางหยวนและยังไม่ทันรู้ว่าตนเองไม่เพียงแค่สอบผ่านแต่ยังได้ลำดับที่สองเมื่อคนรู้จักพากันมายินดีกับเขา เขายิ้มและพูด “ข้าจะเลี้ยงน้ำชาพวกเจ้าทั้งหมด!”
“พี่เซียวดูจะยินดีมาก?”
ฟางหยวนถาม “ทำไมท่านถึงไม่ได้ที่หนึ่งเล่า?”
“พี่หยางพูดเป็นเล่นไป ผ่านก็คือผ่าน ไม่ว่าจะมีคะแนนสูงหรือต่ำ ทุกคนก็เริ่มที่จุดเดียวกัน จะแตกต่างกันตรงไหน?”
เซียวมู่เค้นหัวเราะออกมา “ผู้เข้าสอบคนใดที่ได้ลำดับที่หนึ่งรึ?”
“เขาอยู่ตรงหน้าท่านนั่นแหละ!”
ผู้สมัครที่อยู่ใกล้ ๆ ผลักไหล่เซียวมู่และเดินตรงเข้ามา “เป็นพี่หยางฟาน!”
“โอ้? อย่างนั้นหรือ?”
ในหัวใจของเขา เขาไม่ยินยอม แต่ว่าเขาก็บังคับตัวเองให้แสดงความยินดีกับหยางฟาน “ท่านมีพรสวรรค์กว่าข้าเสียอีก ท่านย่อมสมควรได้แล้ว!”
เขารู้ว่าฟางหยวนนั้นดีกว่าเขา แต่ว่า เมื่อเขาคิดถึงรอยประทับที่ตามติดเขาราวกับพยาธิแต่กลับปล่อยคนตรงหน้าเขาไป เขาก็ไม่สามารถระงับความขุ่นเคืองใจเอาไว้ได้อีกต่อไป
‘ทำไม? ทำไมคนผู้นี้ถึงมีความสามารถมากกว่าข้า และยังไม่ต้องทนทรมานเหมือนที่ข้าได้รับ ทำไมสวรรค์ถึงไม่ยุติธรรม? ทำไมโลกถึงไม่ยุติธรรม? เกลียด! เกลียด! เกลียด!’
เซียวมู่มีสีหน้าทะมึนและประกายแสงสีเขียวก็วาบผ่านดวงตาของเขา