กลางดึกคืนนั้น
ในโรงพักแรม มีแสงอุ่น ๆ จากตะเกียงในห้องของฟางหยวน
“พี่หยาง ท่านยังไม่นอน?”
เงาร่างหนึ่งบังแสงเอาไว้ เสียงของเขาแฝงแววประสงค์ร้าย
“ข้ารู้ว่าเจ้าจะมา!”
ฟางหยวนเปิดประตูและเชิญเซียวมู่เข้าไป
เซียวมู่ตกใจ เขาเห็นสุรากาหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะและกับแกล้มอีกสองจาน ที่สำคัญที่สุดคือมีถ้วยและตะเกียบสองชุดวางเอาไว้ ซึ่งหมายความว่าฟางหยวนคาดเอาไว้แล้วว่าจะมีคนมา
“นั่งก่อนสิ!”
ฟางหยวนนั่งลงและเทเหล้าให้เซียวมู่
“ได้!”
เขานั่งลงและยกดื่มหมดจอก รสเผ็ดร้อนลอยอวลเต็มปากและโพรงจมูกของเขา เขารู้สึกราวกับเกิดใหม่พร้อมกับความโกรธ
“ท่านรู้ไหมว่าข้าชื่นชมท่านมาก?”
หลังจากนั้นเป็นนาน เซียวมู่จึงเปิดปากขึ้น น้ำเสียงไม่พอใจ
“โอ้? ทำไมล่ะ?”
ฟางหยวนเล่นกับจอกเหล้าในมือและไม่รู้ว่าจะหัวเราะออกมาดีหรือไม่
“ท่านฉลาดกว่าข้า และยังโชคดีกว่าข้า!”
เซียวมู่เริ่มน้ำตาเอ่อ “ทำไม… ท่านมีทุกอย่างที่ข้าต้องการ และท่านยังไม่ต้องถูกไอ้สิ่งบ้า ๆ นั่นวุ่นวายด้วย!”
ขณะที่เขาคร่ำครวญ เขาก็กระชากเสื้อเปิดออกให้เห็นลำคอ รอยสักรูปกะโหลกผีปรากฏขึ้น ราวกับมันกำลังยิ้ม ครึ่งหนึ่งของใบหน้าปิศาจนั่นมีสีเขียวเข้ม
“และเพราะมัน เจ้าก็เลยจะมาสังหารข้า?”
ฟางหยวนถามอย่างใจเย็น
“ถูกต้อง ข้ามาที่นี่เพื่อสังหารท่าน!”
เซียวมู่พยักหน้า หมอกสีเขียวชั้นหนึ่งปรากฏขึ้นและครอบคลุมทั้งโรงพักแรม
ไม่ว่าผู้ดูแล หรือคนรับใช้ หรือแขกอื่น ๆ พวกมันล้วนหลับลึก และใบหน้าก็ปรากฏความกลัว ราวกับกำลังฝันร้าย
ถึงตอนนี้ รอยสักนั่นไต่ขึ้นมาบนใบหน้าเซียวมู่ และเข้าไปในดวงตาของเขาช้า ๆ ดูน่ากลัว
เพราะรอยประทับนั่น เสียงของเขาก็ถูกกระทบไปด้วย
“โอ้…”
ตอนที่ฟางหยวนเห็นภาพนี้ เขาก็มองเซียวมู่อย่างสงสาร “ความเจ็บปวดและทรมานของเจ้า เพราะรอยประทับนี่รึ? ถ้าเจ้ารู้คุณค่าที่แท้จริงของมัน ข้าเกรงว่าเจ้าจะต้องสำนึกเสียใจ!”
“เจ้ารู้ที่มาของมัน? บอกข้า!”
ใบหน้าอีกครึ่งของเซียวมู่ดูจะมีความหวัง เขายื่นมือออกมา
ดวงตาของฟางหยวนเป็นประกายวูบ เขาเหยียดนิ้วชี้ข้างขวาออกไป
“แกร่บ!”
เสียงกระดูกหักดังบาดหู
เซียวมู่ร้องลั่นและล้มลงกับพื้น กระดูกแขนขวาของเขาป่นละเอียดและพับเป็นมุมน่ากลัว
ทะลวงผ่านประตูทองที่ 9 ด้วยเคล็ดกรงเล็บอินทรีเหล็กฉบับปรับปรุงแล้วนั้นไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะรับมือได้ ต่อให้ไม่ได้ใช้พลังเต็มที่ก็ตาม
“เจ้า…เป็นผู้ฝึกยุทธ์?”
เซียวมู่หัวเราะอย่างเหี้ยมเกรียม “ไร้ประโยชน์ แม้ว่าข้าจะไม่ได้เรียนวิทยายุทธ์ ข้าก็เคยไปขอความช่วยเหลือจากผู้ฝึกยุทธ์เป็นสิบคนมาก่อนแล้ว แต่พวกมันทั้งหมดล้วนตายตกภายใต้รอยประทับนี่!”
“เคี๊ยก เคี๊ยก!”
พร้อมกับเสียงหัวเราะประหลาด รอยสักกะโหลกผีก็ขยายใหญ่ขึ้นราวกับเซียวมู่นั้นสวมหน้ากากเอาไว้ มันลืมตาโพลง จ้องมองฟางหยวนอย่างสงสัย
“เด็กดี…ฆ่าเขาเสีย!”
เซียวมู่ชี้ไปที่ฟางหยวน และสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนจากกระตือรือร้น ไปเป็นล่อลวง ไปเป็นเพ้อ… เขาจมลงไปในห้วงแห่งอารมณ์
“น่าสงสารนัก!”
ฟางหยวนพูดออกมาง่าย ๆ หลังจากเห็น
“เจ้าพูดว่าอะไรนะ?”
ใบหน้าด้านที่ยังเป็นมนุษย์ของเซียวมู่ขึ้นสี ดวงตาเป็นสีแดงก่ำ
“ข้าบอกว่า ข้าสงสารเจ้า! เจ้าก็รู้จุดมุ่งหมายของประทับนี่อยู่แล้ว แต่กลับไม่รู้วิธีควบคุมมัน เจ้ารู้จักแต่เพียงทำตามที่มันสั่ง เลี้ยงดูมัน และกลายเป็นทาสมัน!”
ฟางหยวนฉีกกระชากความกลัวของเซียวมู่ออกเป็นชิ้น ๆ อย่างไร้ปรานี “ไม่เพียงพลังเวทย์ของเจ้า แต่กระทั่งร่างกายของเจ้าก็ผุพังไปด้วย เจ้ายังมีโอกาส แต่มันกลายเป็นผู้ควบคุมเจ้าไปแล้ว และนี่ก็สมควรกับสิ่งที่เจ้าทำแล้ว!”
“กลัวจนถึงขนาดที่เจ้าไม่คิดเรื่องของตัวเจ้าเอง แต่กลับส่งต่อความเกลียดชังไปสู่ผู้อื่น ต่อให้โกรธแค้นตัวเองเพียงใด แต่เจ้าก็เป็นได้แค่แมลงตัวน้อยที่น่าสงสารเท่านั้น!”
ทุกคำทุกประโยคนั้นเป็นความจริง และเซียวมู่ก็เถียงไม่ได้ อันที่จริง นี่ทำให้เขาโกรธแค้นมากขึ้น “ข้าต้องการให้เจ้าตาย!!!”
ทันใดนั้น น้ำเสียงของเขาก็เปลี่ยนไปเป็นล่อลวงและออกคำสั่ง “ตอนนี้เลย ฆ่าเขา! ฆ่าเขา! ฆ่าเขา! ถ้าเจ้าทำได้ ข้าจะมอบโลกแห่งความฝันทั้งใบของข้าแก่เจ้า!”
“เคี๊ยก เคี๊ยก!”
ทันใดนั้น ก็เกิดภาพนองเลือดขึ้น
มีเสียงอีกเสียงดังออกมาจากใบหน้าของเซียวมู่ เขาถูกบังคับให้ลุกขึ้นและลำแสงสีแดงก็พุ่งออกมาจากดวงตาปิศาจของเขาขณะมองสำรวจฟางหยวน “เจ้าพูดก็ถูก เด็กผู้นี้ไม่พอใจ ข้ายังคิดว่าเขาจะฝึกจนผ่าน พวกเราก็จะสามารถรับเขาเข้าไปได้!”
ด้านมนุษย์ของเซียวมู่ดูหวาดกลัว “เจ้าเป็นใคร? ทำไมเจ้าถึงบังคับร่างกายของข้าได้?”
“ฮ่าฮ่า… ข้าคือชิงกุ่ย เจ้าไม่ร้องไห้คุกเข่าขอให้ข้าช่วยเจ้ารึ?”
เสียงพูดล้อเลียนดังออกมาจากปากของเซียวมู่ ถ้าผู้อื่นเห็นภาพนี้ตอนกลางคืน ย่อมต้องฝันร้ายเป็นแน่
“เจ้าคือมัน รอยสักกะโหลกผีนั่น!”
ในที่สุดเซียวมู่ก็เข้าใจ โชคร้าย เขาเพียงสามารถควบคุมใบหน้าฟากมนุษย์ได้เท่านั้น ส่วนอื่นของร่างกายของเขานั้นรอยสักสีเขียวเป็นผู้ควบคุมเอาไว้
“ควบคุมร่าง?”
ฟางหยวนเริ่มจริงจัง
“หลังจากถูกกะโหลกเขียวของข้าประทับ เจ้าสามารถฝึกฝนเท่าที่เจ้าต้องการเพื่อเพิ่มพลังเวทย์ของเจ้า และเจ้าก็จะได้เข้าสู่สำนัก ข้ายังสามารถเข้าควบคุมร่างมนุษย์ของเจ้าได้!”
ใบหน้าครึ่งซีกของชิงกุ่ยนั้นเต็มไปด้วยความภูมิใจ
“เจ้าแห่งฝันผู้ชั่วร้ายผู้นั้น?!”
ฟางหยวนสรุป
จ้าวแห่งฝันชิงกุ่ยผู้นี้นั้นถูกลิขิตให้ได้พบกับเซียวมู่เมื่อมันตรวจพบว่าเขามีระดับพลังเวทย์เหนือธรรมดา แต่เขาก็ยังห่างไกลจากระดับพื้นฐานของจ้าวแห่งฝัน
ดังนั้น เขาจึงประทับรอยสักชิงกุ่ยเอาไว้บนร่างของเขาและทดสอบเขา
ถ้าเขาสามารถเอาชนะปิศาจฝันร้ายได้ เขาก็สามารถทำให้รอยสักชิงกุ่ยหายไปได้ พลังเวทย์ของเขาจะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวและเขาก็สามารถสืบทอดพรสวรรค์ของจ้าวแห่งฝันได้
แต่ว่า ถ้าเขาล้มเหลว เขาก็ต้องสู้กับรอยประทับนั่น รอยประทับยังกลืนกินพลังกาย พลังลมปราณ และพลังเวทย์ของเขาเพื่อเติบโต และในที่สุด มันก็เข้าควบคุมร่างของเขา!
‘สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ… นี่คือการทดสอบที่สำคัญของเขา และเขาก็ยังไม่ได้บอกอะไรแก่ศิษย์ของเขาเลย!’
ฟางหยวนพึมพำกับตัวเอง ‘ช่างไม่คิดถึงชีวิตของมนุษย์เลย เป็นวิถีมารอย่างแท้จริง!’
“เจ้าน่าจะอยากรู้ว่าทำไมข้าถึงไม่ได้พูดถึงมันมาก่อน?”
ชิงกุ่ยหัวเราะ “ถ้าข้าบอกเจ้า เช่นนั้นความหมายที่แท้จริงของการฝึกคืออะไรกันเล่า? เจ้าจะกลายเป็นจ้าวแห่งฝันโดยที่ไม่ได้ผ่านความยากลำบากได้อย่างไร?”
“จ้าวแห่งฝัน?!”
ใบหน้าครึ่งมนุษย์ของเซียวมู่ตกตะลึง
เขาสำนึกเสียใจแล้ว! เสียใจเป็นที่สุด! เขาถูกขับไล่ออกจากตระกูลและยังไม่ได้รับอนุญาตให้ฝึกวิทยายุทธ์ซึ่งทำให้เขาต้องหันเหความสนใจมาที่การสอบราชการ
แต่ว่า มีมรดกสืบทอดของจ้าวแห่งฝันอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว แต่เขากลับคว้าเอามาไม่ได้ และเขายังปล่อยให้มรดกนั้นเข้าควบคุมร่าง!
“อาจารย์! ข้าต้องการเป็นศิษย์ของท่าน และเรียนรู้วิถีทางสู่จ้าวแห่งฝัน!”
เซียวมู่ร้อง แต่มันก็สายเกินไปแล้ว
“เฮ่ย! เจ้าก็เป็นแบบนี้เสมอ และข้าก็แน่ใจว่าต่อให้ข้าเลี้ยงดูเจ้าเอาไว้ เจ้าก็ยังคงเป็นแบบเดิม! เป็นเด็กดีและปล่อยให้ข้าควบคุมร่างของเจ้าเถอะ!”
ชิงกุ่ยเริ่มหัวเราะคิกคัก และสีเขียวเข้มก็เริ่มแผ่ไปทั่วทั้งใบหน้าของเขา
จนในที่สุด มันก็เข้าไปในดวงตของเขาและเปลี่ยนดวงตาของเขาเป็นดวงตาปิศาจในที่สุด
“เคล็ดกลายร่างปิศาจสวรรค์!”
หมอกสีเขียวปรากฏขึ้น ล้อมรอบตัวเซียวมู่
เสียงเย็น ๆ ดังออกมา ราวกับมันเพิ่งกลับออกมาจากส่วนลึกของนรก
ขณะที่หมอกสีเขียวจางไป ชายหนุ่มผมสีเขียวยาวท่าทางชั่วร้าย คิ้วยาวเรียว ก็ยืนอยู่ตรงหน้าฟางหยวน
ทุกส่วนของเซียวมู่เปลี่ยนไป และเขาก็หายไปจากโลกใบนี้
“ชิงกุ่ย?!”
ฟางหยวนสูดลมหายใจลึกและมองชายหนุ่มผมสีเขียวตรงหน้าเขา
“ถูกต้อง ข้าเอง!”
เสียงของชิงกุ่ยไม่ได้น่ากลัว กลับกัน มันฟังดูนุ่มหูและยังแฝงแววดึงดูด
“ข้าเห็นว่าความสามารถของเจ้านั้นสูงกว่าเจ้าสวะก่อนหน้านี้มาก ว่าอย่างไร? เจ้าสนใจจะมาเป็นศิษย์ของข้าหรือไม่?”
ชิงกุ่ยมองเขาอย่างคาดหวัง
“ศิษย์?”
ฟางหยวนสีหน้าเปลี่ยน “ข้าจะเป็นต้องมีรอยสักรูปปิศาจนั่นด้วยหรือไม่?”
“ในฐานะศิษย์ของข้า ย่อมต้องมี!”
ชิงกุ่ยพูดเสริมอย่างภูมิใจ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าความสามารถที่แท้จริงของสำนักของข้านั้นน่ากลัวเพียงใด?! การได้เข้าร่วมสำนักนับเป็นโชคดีของเจ้าแล้ว!”
“แน่นอน ความสามารถของเจ้าสูงกว่าเจ้าสวะนั่นมาก เจ้าสามารถกราบข้าเป็นอาจารย์ของเจ้าได้เลย และข้าก็จะช่วยเจ้ากำจัดพันธะทางโลกของเจ้าให้!”
“กำจัด… พันธะทางโลกของข้า?!”
ฟางหยวนพูดไม่ออก
ถ้าผู้ที่อยู่ตรงนี้ไม่ใช่เขา แต่เป็นหยางฟานน้อยผู้นั้น เขาจะมีความสามารถในการปฏิเสธหรือ?
“ถูกต้อง! ในเมื่อเจ้าเข้าร่วมกับเราแล้ว เจ้าก็ไม่สามารถมีความสัมพันธ์กับตระกูลและเพื่อนของเจ้าได้อีก ข้าจะช่วยเจ้ากำจัดพวกมันทุกคน!”
ชิงกุ่ยหัวเราะคิดคัก “ทุกคนที่กลายมาเป็นศิษย์ของข้าล้วนต้องผ่านขั้นตอนนี้ เพื่อให้ลืมตัวตนทางโลกของพวกเจ้า จากนั้น เจ้าก็สามารถตั้งสมาธิเพียงการเป็นจ้าวแห่งฝันได้!”
“เจ้าคนเสียสติ!”
ฟางหยวนให้ความเห็นต่อคนผู้นี้อยู่ในใจและตัดสินใจ
ในเมื่อเขาไม่สามารถตรวจสอบระดับการฝึกตนของฟางหยวนได้ ก็แสดงว่าการฝึกตนของเขานั้นไม่สูงนัก
เขาเข้าใจได้ อย่างไรเสีย ผู้ที่อยู่ตรงนี้ก็เป็นแค่รอยประทับเข้าควบคุมร่างมนุษย์ ในเมื่อร่างมนุษย์เองนั้นไม่พอใจ และผลสุดท้ายก็ย่อมไม่ใช่ความเต็มใจ
เพื่อให้แน่ใจ เขาต้องลองทดสอบดูก่อน
“เจ้าต้องการกำจัดพันธะทางโลกของข้า?”
ฟางหยวนแสดงสีหน้าภูมิใจ “เจ้ารู้ว่าตระกูลของข้าคือตระกูลหยาง เจ้าจะสามารถกำจัดพวกเขาทั้งหมดได้หรือ?”
“ตระกูลหยางของหยางซิงเลี่ย? นั่นค่อนข้างยาก!”
ดวงตาของชิงกุ่ยมีประกายวาบผ่านและเขาก็หัวเราะ “ไม่ต้องห่วง ก็แค่นักรบศักดิ์สิทธิ์ระดับแยกธาตุหนึ่งคน อู่จงระดับเปิดชีพจรอีกสองคน… เมื่อร่างจริงของข้ามาถึง ก็ใช่จะเปลืองแรงเท่าไหร่!”
หยางซิงเลี่ยคือบิดาแท้ ๆ ของหยางฟานและยังเป็นผู้นำของตระกูลหยาง!
จากคำพูดของชิงกุ่ย ฟางหยวนได้รับข้อมูลที่มีค่าหลายอย่าง
อย่างแรก ตอนนี้เขารู้ความสามารถของตระกูลหยางแล้ว เป็นเรื่องของพลังจริง ๆ ด้วยนักรบศักดิ์สิทธิ์ระดับแยกธาตุ 3 คนซึ่งสามารถสร้างหายนะแก่ประเทศเซี่ยหรือประเทศอู่ได้อย่างง่ายดาย
ร่างแยกของชิงกุ่ยนั้นไม่ได้มีความสามารถหรือสามารถจัดการกับศัตรูจากขอบเขตแยกธาตุได้
และสุดท้าย ร่างจริงของชิงกุ่ยนั้นอาจจะมีความสามารถที่จะจัดการกับศัตรูจากขอบเขตแยกธาตุได้ หรือไม่เขาก็แค่พูดโอ่ไปอย่างนั้น!
‘เป็นไปได้ไหมว่าตระกูลหยางถูกทำลายลงด้วยเหตุนี้?’
ฟางหยวนคิดกับตัวเอง และไม่สามารถเดาได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป
‘แต่ว่า ข้าได้ลำดับที่หนึ่งในการสอบราชการ แต่ว่าความสามารถในการสร้างฝันของข้าไม่พัฒนาเพิ่มเลย ดูเหมือนว่านี่จะไม่ใช่จุดประสงค์ของหยางฟาน และนั่นก็ทำให้ข้าเหลือสองทางคือแก้แค้นหรือไม่ก็ตามหาแม่ที่แท้จริงของเขา…’
ถึงตอนนี้ ฟางหยวนหรี่ตาลง…