“ไม่มีศิษย์ที่ข้าเลือกคนใดหนีไปจากข้าได้มาก่อน!”
ชิงกุ่ยเห็นฟางหยวนลังเลเล็กน้อย เขาก็หัวเราะเสียงเย็นและเหยียดมือขวาออกมา
แขนของเซียวมู่ถูกฟางหยวนหักไป แต่แขนของชิงกุ่ยยังคงอยู่ในสภาพปกติ เมื่อเขากำมือ หมอกสีเขียวก็เริ่มพุ่งขึ้นมา เกิดเป็นรูปกรง แรงกดดันมหาศาลไหลมาจากทุกทิศทาง
“ฮึ่ม!”
จุดตันเถียนของฟางหยวนระเบิดออกขณะที่กำลังภายในของเขาไหลเวียนไปรอบร่างกาย สีของผิวหนังของเขากลายเป็นสีโลหะ แทนที่จะถอย เขาพุ่งเข้าใส่ชิงกุ่ง
“ด้วยระดับการฝึนฝนประตูทองที่ 9 ของเจ้า เจ้าคิดหรือว่าจะสามารถเอาชนะประทับของข้าได้?”
ชิงกุ่ยยิ้มเย็นและโบกนิ้ว หมอกสีเขียวไหลมารวมกันและเกิดเป็นรูปงูยักษ์ตัวหนึ่ง งูยักษ์เลื้อยเข้ารัดรอบฟางหยวนและกักเขาเอาไว้
ทันใดนั้น สีหน้าของชิงกุ่ยก็เปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมา รอยแผลเป็นสีเขียวมรกตปรากฏขึ้นระหว่างคิ้วของเขา ราวกับงูตัวเล็ก ๆ มันขยับไปรอบ ๆ และโดยไม่มีทีท่า มันก็แยกออกเป็นสองตัว
“ฟู่…”
ชิงกุ่ยถอนหายใจลึก แยกรอยประทับนั้นไม่ใช่งานง่ายสำหรับเขาเลย
“เหอเหอ… เจ้าเด็กน้อย คนธรรมดาผู้ใดจะมีชะตาเช่นนี้ได้? อย่าได้พลาดโอกาสเช่นนี้ไป!”
ลำแสงพลังจำนวนเล็กน้อยลอยมาอยู่บนฝ่ามือเขา คล้ายกับหมอก ลำแสงนั่นไม่ได้อยู่เฉย ชิงกุ่ยก้าวเท้าเข้าไปก้าวหนึ่งและมีท่าทางสงสัยขึ้นมา “ตอนที่ข้าจำศีลอยู่ ข้าสัมผัสได้ถึงการต่อต้านรอยประทับของข้าจากตัวเจ้า ความลับใดที่เจ้าปิดบังเอาไว้ เผยมันออกมาทั้งหมดเดี๋ยวนี้!”
“ตราประทับปิศาจสวรรค์แปรเปลี่ยน ไป!”
ชิงกุ่ยยิ้มเย็นขณะรัดแขนและขาทั้งหมดของฟางหยวนเอาไว้ จากนั้นเขาก็ว่าคาถา
จากเสียงต่ำลึกของเขา แสงจากมือของเขาก็หลอมรวมเข้าด้วยกัน มีอักขระปรากฏขึ้นเรียงร้อยเป็นลูกโซ่ พวกมันเชื่อมเข้าหากันช้า ๆ และหลังจากนั้นครู่หนึ่ง รอยประทับเล็ก ๆ สีเขียวก็ก่อรูปขึ้นในที่สุด ชิงกุ่ยเหยียดแขนของเขาออกมาเพื่อวางประทับลงบนหน้าผากของฟางหยวน
ชิงกุ่ยนั้นจู่โจมโดยไม่ยั้งมือ
“เจ้าเดินเข้ามาในกับดักเองนะ!”
ในตอนที่ชิงกุ่ยเกือบจะวางประทับลงบนหน้าผากของฟางหยวนได้นั้น ฟางหยวนก็ยิ้มและคำราม “ไป!”
“ฝุ่บ!”
หมอกสะกดสีขาวเริ่มรวมตัวกันรอบ ๆ และเปลี่ยนไปอยู่ในรูปของลูกศร ลอยพุ่งไปข้างหน้า มันเล็งตรงไปที่ประทับวิญญาณ
“เพี๊ยะ!”
การใช้งานเพียงอย่างเดียวของประทับก็คือควบคุมจิตใจ และดังนั้นมันเองจึงมีพลังอันจำกัด เมื่อสัมผัสกับลูกศรหมอก ประทับก็ระเบิดออก
“อ๊าก…”
ชิงกุ่ยกุมหน้าผากตัวเองแล้วร้องออกมาเสียงดังลั่น “เจ้า… เจ้าเป็นจ้าวแห่งฝัน!!!”
หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความเสียใจและความเกลียดชัง
ถ้าประทับไม่ได้จำศีลอยู่ก่อนและสามารถเรียกใช้ได้ก่อนหน้านี้ เขาก็คงรู้แล้วว่าฟางหยวนนั้นพิเศษ!
“เจ้าถูกแล้ว แต่น่าเสียดายที่ไม่มีรางวัลสำหรับการตอบถูก!”
ตรงหว่างคิ้วของฟางหยวน พลังธาตุฝันของเขาพุ่งสูงขึ้น แขนขาของเขากระตุกและหมอกสีเขียวก็เริ่มจางไป
“ก้าวมายา!”
เขาแตะเท้ากับพื้นเบา ๆ ทันใดนั้นภาพมายานับพันของเขาก็ปรากฏขึ้น ภาพมายาเหล่านี้ล้วนรวดเร็วและไม่นาน ฟางหยวนก็เข้าถึงตัวชิงกุ่ยและยื่นนิ้วออกไปหาหน้าผากของเขาด้วยจิตสังหาร
“เจ้าต้องการทำลายพลังเทพของข้า? ไม่มีทาง!”
ศูนย์รวมจิตที่หน้าผากของเขาเป็นจุดอ่อนเดียวที่ชิงกุ่ยมี
เขาไม่คิดว่าจะถูกฟาวหยวนมองออกได้อย่างง่ายดาย ด้วยความตกใจ เขารีบกัดลิ้นตัวเองและพ่นเลือดออกจากปากคำโต
“ฝุบ!”
เลือดกลายเป็นศรเลือดและพุ่งเข้าหานิ้วของฟางหยวนโดยตรง เมื่อสัมผัส มันก็หายไป
ปฏิกิริยาของฟางหยวนช้าลงครู่หนึ่งเมื่อเขาลังเลขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้
ฉวยโอกาสนี้ ชิงกุ่ยพยายามหลบนิ้วของฟางหยวน หน้าอกจึงถูกฟางหยวนทำร้ายแทน
“ปุ!”
มีเสียงระเบิดที่หน้าอกของเขาและรูเลือดกลม ๆ ก็ปรากฏขึ้น ของเหลวสีเขียวสาดกระจายไปทั่ว
“อ๊าก… นรกเสิ่นหลัว! กวนอิมพันมือ สังหาร!”
ชิงกุ่ยคำรามอย่างทรงอำนาจ หมอกสะกดโดยรอบตัวเขาเปลี่ยนเป็นรูปเงาปิศาจจำนวนนับไม่ถ้วน บางตัวปรากฏขึ้นพร้อมใบหน้าสีเขียวและฟันแหลมคมกระหายเลือด แต่ว่า อีกครึ่งหนึ่งของพลังนั้นอยู่ในรูปกวนอิมและพระอรหันต์ พวกมันดูน่ากลัวและจ้องตรงมาที่ฟางหยวน
“จริงหรือลวงตา? หรือทั้งคู่?”
ทั้งโรงพักแรมดูราวกับเป็นเมืองผี และฟางหยวนก็หัวเราะเยือกเย็น “ของปลอมก็คือของปลอม! ของจริงย่อมเป็นของจริง! ระดับการฝึกตนของเจ้าไม่สูงนักและเจ้ายังกล้าทำให้ข้าสับสนระหว่างสองสิ่ง? ให้ข้า…ทำลายมันซะ!”
แม้ว่าชิงกุ่ยจะอยู่ในระดับสวรรค์มายาหรือสูงกว่า แต่เมื่อถูกแยกออกมา อย่างมากที่สุดเขาก็เทียบได้กับขอบเขตรวมธาตุ!
พร้อมกับที่ฟางหยวนคำรามออกมา ทั้งบริเวณก็สั่นสะเทือน
หมอกสีขาวเริ่มหนาแน่นขึ้น ปิศาจมากมายล้มตายไป และกวนอิมและอรหันต์ก็หายวับไป เผยให้เห็นชิงกุ่ยที่ตรงกลาง
“เจ้าคิดว่านรกเสิ่นหลัวของข้าเป็นเพียงมายารึ?”
ถึงตอนนี้ รอยยิ้มโหดเหี้ยมก็ปรากฏ เขาชี้นิ้วออกมา
“ครืน! ครืน!”
ภาพมายาถูกทำลาย ห้องพักแขกปรากฏขึ้นใหญ่โตกว่าเดิม โดยไม่รู้ตัว ทั้งสี่มุมห้องนั้นมีอักขระสะท้อนพลังเวทย์วับวาบ อักขระเหล่านี้กลายเป็นค่ายกลและเริ่มกดดันใส่ฟางหยวน
“เจ้าซ่อนคาถาสะกดเอาไว้ในภาพมายา?”
ฟางหยวนใบหน้าซีดเผือด เขารู้ว่าแม้ว่าชิงกุยจะอยู่ในระดับรวมธาตุ เขาก็ยังมีประสบการณ์ในการต่อสู้สูงอยู่ เขายังมีแผนการรองรับ และการโจมตีของเขาก็ต่อเนื่องกัน
“เปิดใช้ ค่ายกลธาตุไม้ยิ่งใหญ่!”
ชิงกุ่ยคำราม และแผ่นไม้ในห้องก็เริ่มแตกออก เถาวัลย์เริ่มแผ่ออกไป เกิดเป็นท่อนไม้หนาพุ่งเข้าใส่ฟางหยวน
“ปัง! ปัง!”
“ปัง! ปัง!”
ฟางหยวนรีบตวัดกรงเล็บออกไปอย่างรวดเร็ว และทำลายกิ่งก้านหนาจำนวนมากทิ้งไป ทุกการคว้าจับ เกิดเสียงอินทรีร้องกังวาน
“ไร้ประโยชน์ แม้ว่าคาถาเวทย์ธาตุไม้ของข้าจะอ่อนแอ แต่เมื่อใช้กับค่ายกลธาตุไม้ยิ่งใหญ่… อย่างไรเสีย เจ้าก็เป็นแค่ผู้ฝึกยุทธ์ประตูทองที่ 9…”
ชิงกุ่ยหัวเราะเยาะฟางหยวนขณะมองสิ่งที่เขาทำ แต่ว่า เพียงวินาทีถัดมา เขาก็ต้องตกใจและพูดไม่ออก
“กรงเล็บอินทรีสวรรค์!”
พร้อมกับเสียงตะโกนของฟางหยวน ก็มีประกายแผ่ออกมาจากกรงเล็บของเขาดูอันตรายอย่างยิ่ง
“แกว๊ก!”
พร้อมกับเสียงร้องแหลมสูง อินทรียักษ์สีดำก็ปรากฏกายขึ้นกะทันหัน
ดวงตาของมันกวาดมองอย่างรวดเร็วและขนของมันก็ดูแข็งแกร่งราวกับโลหะ ด้วยกรงเล็บคมกริบที่ตวัดออก ท่อนไม้ใหญ่จำนวนมากจากในค่ายกลก็แตกกระจายอย่างง่ายดายและพังทลายไป
“ปลดปล่อยพลังธาตุ! ก่อเกิดรูปแบบอินทรี!!!”
ชิงกุ่ยประหลาดใจมาก “เจ้าเป็นอู่จง!!!”
ความคิดนี้พุ่งผ่านเข้ามาในใจ
ด้วยอายุเพียงเท่านั้น หยางฟานสามารถฝึกฝนทั้งวิทยายุทธ์และเคล็ดวิญญาณ และที่ปลายทางทั้งสอง เขายังสามารถฝึกจนใช้พลังธาตุได้ พรสวรรค์เช่นนี้หาได้ยากในอาณาจักรต้าเฉียน และเขาน่าจะได้รับสืบทอดเคล็ดวิชามาจากที่ใดสักที่
ชิงกุ่ยพบว่าเขาลงมือหุนหันเกินไปแต่มันก็สายไปแล้ว
“ฆ่า!”
อินทรียักษ์ส่งเสียงร้องและทะลวงผ่านค่ายกลออกไป จากนั้นฟางหยวนก็กลายเป็นเงาและกระโดดไปที่ด้านข้าง
‘การสร้างฝันของข้าพัฒนาขึ้นอีกครั้งแล้ว!’
‘ดูเหมือนว่าการฝ่าความฝันนี้ออกไปนั้นส่วนใหญ่ขึ้นกับตระกูลหยาง และอีกส่วนเล็กนั้นอยู่ที่นี่!’
ลึกลงไปในใจเขา ฟางหยวนนั้นคาดเอาไว้ว่าหยางฟานน่าจะกลายเป็นศิษย์ของชิงกุ่ยและทนทรมานอยู่ใต้อำนาจเขาเป็นอย่างมาก
ถึงตอนนี้ ฟางหยวนก็ลงมือตอบโต้ชิงกุ่ย เมื่อฝ่าโลกแห่งความฝันได้หนึ่งส่วนเล็ก เขาก็สามารถควบคุมโลกนี้ได้เพิ่มและพลังระดับอู่จงที่แท้จริงของเขาก็ได้รับการฟื้นฟู!
“กรงเล็บปิศาจเขียว!”
ชิงกุ่ยถอยแต่มือทั้งคู่กลับเปลี่ยนเป็นสีเขียวมรกต มือทั้งสองกลายเป็นกรงเล็บปิศาจตวัดออกไป
“วิทยายุทธ์? ไม่ใช่! เป็นเคล็ดวิญญาณ เขาใช้เคล็ดวิญญาณออกมาในรูปแบบวิทยายุทธ์!”
ฟางหยวนหัวเราะลั่นและพูด “กรงเล็บปิศาจของเจ้าจะเทียบกับวิทยายุทธ์อันแท้จริงของข้าได้อย่างไร! รับกรงเล็บอินทรีของข้าซะ!”
“ฝุ่บ!”
โดยไม่หลบกรงเล็บปิศาจ เขาตวัดกรงเล็บของตัวเองออกไปเช่นกัน
อากาศระหว่างคนทั้งคู่สั่นสะเทือน สายลมจากกรงเล็บทั้งสองนั้นรุนแรงและกระจายออกไปทุกทิศทาง ทำลายห้องพักแขกไปด้วย
ท่ามกลางการระเบิดนี้ ชิงกุ่ยคำรามและเลือดก็แตกกระจายออกจากร่างของเขา เปลี่ยนไปอยู่ในรูปแสงสีเขียว เขาหนีไปทางหน้าต่าง
“อย่าได้คิดว่าจะหนีข้าพ้น!”
ฟางหยวนไม่ปล่อยเขาไปโดยง่ายและเริ่มไล่ตามไป
“อั้ก… ปิศาจนี่อะไรกัน ทำไมเจ้าถึงกล้าทำร้ายผู้อื่นในเมืองด้วยคาถาของเจ้า? เจ้าคิดว่าทางการเป็นตัวอะไรกันแน่?”
ที่ด้านหน้า ฟางหยวนได้ยินเสียงดังลั่นแก้วหู
“หืม?”
กระโดดไม่กี่ครั้ง ฟางหยวนก็มาถึงบริเวณนั้น ตรงหน้าเขา เขาเห็นชิงกุ่ยถูกนักพรตผู้หนึ่งที่ดูโมโหสยบเอาไว้
นักพรตผู้นั้นมีท่าทางอ่อนโยน แต่กลับเหี้ยมโหดและดุร้ายเมื่อออกกระบวนท่า
ที่สำคัญที่สุด ที่รอบตัวนักพรตผู้นั้นมีสัตว์เนตรทิพย์หลายตัว และดวงตาของพวกมันก็เปล่งแสงสีแดงราวกับสามารถมองผ่านภาพมายาของชิงกุ่ยได้
“นักพรตน้อย เจ้าหาเรื่องใส่ตัวแล้ว!”
ชิงกุ่ยเต็มไปด้วยความเกลียดชังเมื่อถูกรั้งเอาไว้ระหว่างหลบหนี
แม้ว่าเขาจะเป็นร่างจำแลง ถ้าไม่เพราะได้รับบาดเจ็บและรีบร้อนหลบหนี เขาจะถูกนักพรตผู้นี้รั้งเอาไว้โดยง่ายได้อย่างไร?
“เฮ้ ท่านนักพรตตรงนั้น อย่าให้ให้คนผู้นั้นหนีไปได้!”
ฟางหยวนดูผ่อนคลายลงและเดินเข้าไปช้า ๆ “คนผู้นี้บ้าคลั่ง เขาทำลายโรงพักแรมและยังสังหารบัณฑิตผู้หนึ่ง!”
“เอ๋? เจ้ากล้าดีอย่างไร?”
นักพรตเฟยซยงเกรี้ยวกราด
บัณฑิตที่ผ่านการทดสอบของทางการแม้ยังไม่ได้เข้ารับตำแหน่งก็ยังนับว่าเป็นคนของทางการ จะไม่มีการลงโทษที่สาสมกับฆาตกรที่สังหารเขาได้อย่างไร?
นอกจากนี้ เขายังหลบหนีภายใต้จมูกของนักพรตเฟยซยงด้วย
“สัตว์เนตรทิพย์!”
นักพรตเฟยซยงตะโกน และสัตว์เนตรทิพย์ก็เรียงแถวเป็นค่ายกลหนึ่ง ดวงตาของพวกมันเปล่งแสงสีแดง “ทำลายคนชั่ว! ทำลายคนชั่ว!”
“เจ้า!”
เห็นฟางหยวนออกมาหาเขาและยังถูกผู้อื่นกดเอาไว้ ชิงกุ่ยรู้ว่าเขาคงไม่สามารถหนีรอดไปได้และเผยสีหน้าทะมึนออกมา
“เจ้าต้องการสังหารข้า? เจ้าทั้งสองก็จงตายตกไปพร้อมกับข้า!”
เขาทำลายแขนข้างหนึ่งของตนและบาดแผลของเขาก็เปล่งประกายสีเขียวเรือง เลือดสักหยดไม่มีไหลออกจากแผลของเขา ในตอนนี้ เขาใช้แขนอีกข้างร่ายเคล็ดวิชา “ไฟนรกเสิ่นลั่ว เผาที่นี่เป็นนรกโลกันตร์!”
“ครืน! ครืน!”
เปลวไฟสีเขียวมรกตเริ่มลุกท่วมร่างของเขา ขณะที่แสงสีแดงจากดวงตาของสัตว์เนตรทิพย์ตกลงต้องเปลวไฟนั่น เปลวไฟไหวระริกอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่แสงสีแดงจะจางหายไป
ไฟเริ่มลามอย่างช้า ๆ และบางส่วนเริ่มลามไปที่สัตว์เนตรทิพย์ รูปปั้นบางส่วนกลายเป็นคบไฟสีเขียวมรกตและเริ่มกลายเป็นเถ้าถ่าน
“นี่มัน…”
นักพรตเฟยซยงประหลาดใจและถอยออกมา
เพียงแค่เปลวไฟนั้นธรรมชาติไม่ได้ชั่วร้าย มันทำให้เขานึกถึงคนผู้หนึ่งซึ่งมีอำนาจมหาศาลแต่ชั่วร้าย
“ไฟนรกเสิ่นลั่ว?!… ข้านึกออกแล้ว เจ้าคือชิงกุ่ย ท่านผู้อาวุโสชิงกุ่ย!”
นักพรตเฟยซยงเต็มไปด้วยความเสียใจ
ถ้าเขารู้ว่าคนผู้นี้คือชิงกุ่ย เขาจะไม่ดึงดันเอาชีวิตของเขาและจบลงด้วยการท้าทายเขาเช่นนี้
อย่าไรเสีย จากพลังที่ชิงกุ่ยแผ่ออกมา เขาก็เดาได้ว่านี่เป็นเพียงร่างจำแลงของเขาเท่านั้น
“พวกเจ้าทั้งหมด… ต้องตาย!”
ชิงกุ่ยกลายเป็นมนุษย์คบเพลิงและเริ่มวิ่งเข้าใส่ฟางหยวนและนักพรตเฟยซยง
“ไป!”
ฟางหยวนรู้ว่านี่คือกระบวนไม้ตายของเขาและเขาอาจจะไม่รอด
แม้ว่าไฟจะโหมแรง แต่มันก็เบากว่าตอนแรกหลังจากที่ส่วนหนึ่งกระจายไปที่สัตว์เนตรทิพย์
ฟางหยวนตวัดฝ่ามือทั้งสองข้างลงที่พื้นซึ่งเป็นแหล่งพลังธาตุ พื้นดินเริ่มแยกออกและส่วนหนึ่งก่อตัวสูงขึ้นราวกับกำแพงเหล็กก่อนที่ฟางหยวนจะผลักมันใส่ชิงกุ่ย