“ดินแดนทุ่งหญ้าช่างกว้างใหญ่ และยังฝูงแพะแกะ…”
มองผืนดินตรงหน้า ฟางหยวนก็ถอนหายใจ
ฤดูใบไม้ร่วงนั้นเป็นฤดูกาลที่ทุ่งหญ้าเบ่งบาน การตะบึงผ่านไปบนหลังม้านั้นนับเป็นการผ่อนคลายอย่างที่สุด
ด้านหลังเขานั้นคือกองทัพทหารหาญหนึ่งพันนายตามมาช้า ๆ บรรยากาศเคร่งขรึม
ท่ามกลางทหารเหล่านี้ยังมีชุดเกราะและธงที่ต่างออกไป เห็นได้ชัดว่าไม่ได้มาจากกองทัพเดียวกัน
“ท่านมาที่นี่เป็นครั้งแรกใช่หรือไม่ เจ้าเมืองฟาง?”
ม้าตัวหนึ่งพุ่งออกมาจากกลุ่มและมาถึงข้างตัวฟางหยวน เป็นเจ้าเมืองชิงฉวนฝู หลานเซียวเฉิง
แม้ว่าเขาจะดูเหมือนใกล้ชิดกับประเทศเซี่ยมาก แต่อันที่จริงแล้วไม่เลย เขารู้สึกไม่ค่อยมั่นใจในการประชุมนี้นัก เห็นอี้ซานฝูและราชวงศ์เซี่ยสนิทสนมกันมากขึ้น เขาก็ยิ่งต้องพยายามแสดงท่าทีเป็นมิตรมากขึ้น
การประชุมหยวนอู่นั้นเป็นโอกาสให้พวกเขาทั้งหมดนั้นร่วมมือกันเป็นหนึ่งเดียว
และเขายังค่อนข้างสนใจในตัวฟางหยวน
ฟางหยวนนั้นต้องยอมรับว่าบุคคลผู้นี้นั้นทั้งน่านับถือและน่าโมโห ทำให้ฟางหยวนรำคาญใจนัก ถ้าเพียงแต่เขาจะไม่ใช่คนประเภทเหยียบเรือสองแคม ตัดสินใจเลือกภักดีกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ได้เสียที
เขาแน่ใจว่าหลานเซียวเฉิงผู้นี้คงจะบันทึกทุกคำพูดของเขาลงไป แต่จนกว่าจะถึงวันที่ฟางหยวนพ่ายแพ้ เขาย่อมไม่แสดงท่าทีต่อต้านฟางหยวน!
ความภักดีนั้นไม่นับเป็นอะไรได้ คนผู้นั้นเพียงกังวลแค่การอยู่รอดของตนเท่านั้น
“เป็นครั้งแรกของข้าจริง ๆ นั่นแหละ!”
ฟางหยวนถอนหายใจ “ข้าได้ยินมาว่าดินแดนทุ่งหญ้านั้นกว้างใหญ่มาก แม้ประเทศหยวนเองยังสามารถครอบครองเพียงแค่ดินแดนที่อุดมสมบูรณ์และเมืองใหญ่ไม่กี่เมือง แต่ไม่ใช่ดินแดนทั้งหมด และพวกเขายังต้องเผชิญกับการแข็งขืนของเผ่าเล็ก ๆ ในพื้นที่อีกด้วย ถูกต้องหรือไม่?”
“ถูกต้อง!”
หลานเซียวเฉิงนั้นคุ้นเคยกับสถานที่ “เดิมทีดินแดนทุ่งหญ้านั้นเป็นของชนเผ่ามากมาย และกระทั่งประเทศหยวนเองก็ก่อตั้งขึ้นจากเผ่าที่ยิ่งใหญ่และแข็งแกร่งที่สุด ถึงอย่างนั้น พวกเขาก็ทำได้เพียงครอบครองดินแดนเล็ก ๆ ใกล้กับอาณาจักรของพวกเราเท่านั้น… จากอีกมุมหนึ่ง พวกเราอาจจะพูดได้ว่าพวกเขาคอยปกป้องพวกเราจากอันตรายของดินแดนทุ่งหญ้า”
“ลึกเข้าไปในทุ่งหญ้านั่น…”
มองไปไกล ๆ ฟางหยวนก็รู้สึกตื่นเต้น “ข้าได้ยินมาว่าถัดจากดินแดนนี้ไปก็คือเส้นทางเก่าแก่สู่อาณาจักรต้าเฉียน…”
แม้ว่าเขาจะได้สำรวจอาณาจักรนี้ไปบ้างแล้วในโลกแห่งความฝัน เขาก็ยังคงสงสัยเกี่ยวกับอาณาจักรต้าเฉียนในโลกจริงอยู่
…
กลางคืน
กระโจมมากมายผุดขึ้นในทุ่งหญ้า และที่ตรงกลางของค่ายนั้นเป็นกองไฟที่กำลังใช้ในการประกอบอาหาร
เหล่าทหารกินอาหารแห้งที่เตรียมมา ถือชามไม้เอาไว้รอรับน้ำแกงส่วนของพวกมัน ยิ่งมีตำแหน่งสูง ก็ยิ่งได้น้ำแกงและเนื้อมาก รวมทั้งสุรา
“ถ้าพวกเราไม่เตรียมพร้อมเอาไว้ ก็อาจจะตกอยู่ในอันตรายได้ทุกเมื่อ!”
ที่ไกลออกไปจากค่ายพักเป็นเนินเขาเล็ก ๆ ฟางหยวนนอนอยู่ที่นั่นอย่างเอื่อยเฉื่อย
ที่ใต้ตัวเขาเป็นผืนหญ้านุ่ม และที่ข้างหูเขามีเสียงจักจั่นร้องเป็นครั้งคราว กลิ่นหญ้าลอยอวลเต็มจมูก เขามองเห็นดาวบนฟ้าได้โดยไม่ต้องหาแม้ว่าพระจันทร์จะเต็มดวงและทางช้างเผือกจะปรากฏชัดเจน… ทุกอย่างปรากฏอยู่ในสายตา
“พวกเราก็เป็นเพียงฝุ่นเล็ก ๆ เทียบกับท้องฟ้านั่น เทียบไม่ได้กับความยิ่งใหญ่ของธรรมชิต แต่พวกเรากลับมีความสามารถที่สุด!”
ฟางหยวนเปิดเหยือกเหล้าของเขาและกรอกสุราเข้าปากอึกใหญ่
สุราวิเศษนี้หอมแรงมากและกระแสอบอุ่นสายหนึ่งก็ไหลไปตามลำคอของเขาสู่กระเพาะอาหาร มันอุ่นและให้ความรู้สึกมึนเมา และยังมีพลังเวทย์แฝงอยู่ ฟื้นฟูร่างกายของเขา
“เหยือกสุรานี้มีความลับแฝงอยู่ และการที่ข้าสามารถดื่มเหล้าดี ๆ อย่างนี้ได้ทุกวันมันดีงามเทียบได้กับมุกภูผานทีเลย!”
ประกายพลังเวทย์เรืองรองขึ้นบนฝ่ามือของฟางหยวนและเหยือกสุราก็หายไป
ตั้งแต่เขาเริ่มฝึกเคล็ดอินทรียักษ์กายาเหล็ก ความอยากอาหารของเขาก็เพิ่มขึ้น และสุราวิเศษนี้ก็เป็นเพียงแค่อาหารเสริมมื้อเล็ก ๆ ของเขาเท่านั้น
ถ้าไม่เพราะมีมุกภูผานทีที่สามารถเก็บข้าววิญญาณและผลไม้วิเศษได้เป็นจำนวนมาก เขาก็คงไม่สามารถมีอาหารกินได้เพียงพอตลอดการเดินทางนี้
เมื่อเขามองไปที่ค่ายที่มีกองไฟลุกโพลงอยู่ เขาก็หัวเราะเงียบ ๆ
“ด้วยอายุและความสามารถของข้า และข้ายังไม่ได้เป็นสมาชิกของราชวงศ์หยวนหรืออู่ ข้าย่อมเป็นสิ่งคุกคามแก่พวกเขา! ข้าควรจะเสียสละตัวเองในการประชุมหยวนอู่ครั้งนี้งั้นหรือ?”
เขาลุกขึ้นยืนและหลับตาลงช้า ๆ ชีพจรศักดิ์สิทธิ์ปรากฏขึ้นบนร่างของเขา และมันก็เลื้อยไปรอบ ๆ มันยังคงดูเหมือนภาพมายา
“เคล็ดอินทรียักษ์กายาเหล็ก!”
เทียบกับการฝึกตนเป็นจ้าวแห่งฝันแล้ว ข้อจำกัดของวิทยายุทธ์นั้นทะลวงผ่านได้ง่ายกว่า
ทุกครั้งที่ฟางหยวนมีเวลา เขาจะเร่งสร้างชีพจรศักดิ์สิทธิ์ แม้ว่าแถบสะสมค่าประสบการณ์จะไม่ได้เพิ่ม แต่มันก็ยังคงช่วยให้เขาเข้าใจเคล็ดวิชาได้ลึกซึ้งขึ้น
“หนทางของมนุษย์… วิถีทางของโลก… ชีพจรศักดิ์สิทธ์! ใช้พลังภายนอกชดเชยสิ่งที่ร่างกายของมนุษย์ขาดแคลน…”
แต่ว่า ก็ยังมีความแตกต่างเล็กน้อยในการฝึกฝนวันนี้ของเขา
มองท้องฟ้าพร่างดาว ในใจเขาก็พลันกระจ่าง ด้วยพื้นฐานแข็งแกร่งของร่างกายของเขา ก็เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงอันประหลาดเกิดขึ้นกับร่างกายของฟางหยวน
“ครึ่ก!”
ทันใดนั้น เกิดการระเบิดเบา ๆ ขึ้นในร่างของเขา
พลังเวทย์รอบตัวเขาปั่นป่วนและค่อย ๆ ถูกซึมซับเข้าสู่ร่างของเขา
ในตอนนี้ ฟางหยวนสัมผัสถึงการดูดซับพลังธาตุแห่งฟ้าและดินอย่างรวดเร็วได้!
เขาอึ้งไปและดูจะสับสนเล็กน้อย “นี่คือ… ชีพจรศักดิ์สิทธิ์!”
ถัดจากอู่จงนั้นไร้หนทาง
แต่ว่า อู่จงในอาณาจักรต้าเฉียนนั้นรวมตัวกันและด้วยความพยายามของพวกเขา พวกเขากลับหาหนทางสายหนึ่งได้
ในเมื่ออู่จงคือที่สุดของร่างกายมนุษย์ มันหมายความว่าจำเป็นต้องรับเอาพลังจากภายนอกหลังจากได้ใช้พลังธาตุได้ การรับเอาพลังจากภายนอก ชีพจรศักดิ์สิทธิ์ย่อมต้องสร้างขึ้น เพื่อเพิ่มระดับของพลังที่สะสมในร่างกายได้!
ระดับนี้รู้จักกันในนามขอบเขตเปิดชีพจร! ที่เทียบได้กับขอบเขตแยกธาตุของนักรบศักดิ์สิทธิ์
“เพราะว่าข้าค่อย ๆ ปรับชีพจรศักดิ์สิทธิ์ให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย ซึ่งเป็นกระบวนการตามธรรมชาติ ทุก ๆ ชีพจรที่ข้าสร้างได้จะเพิ่มความสามารถในฐานะผู้ฝึกยุทธ์ให้ข้า! ใครจะสามารถจินตนาการถึงพลังของร่างสวรรค์ได้หลังจากสร้างชีพจรศักดิ์สิทธิ์มากที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้ว…”
ฟางหยวนลูบคางและรู้สึกว่ายังปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงภายในร่างของตนไม่ได้
“ข้ารู้ว่าการประชุมหยวนอู่นั้นอันตราย และเดิมทีก็ต้องการใช้เรื่องนี้กดดันตัวเองเพื่อทะลวงด่าน!”
“ใครจะคิดว่าการเปลี่ยนแปลงขนาดนี้จะใช้เวลาเพียงแค่ครู่เดียว ไม่จำเป็นที่ข้าต้องเสี่ยงเพื่อให้ทะลวงด่านได้อีกแล้ว!”
“ฝุบ ฝุบ!”
ทันใดนั้น เงาร่างหนึ่งก็กระโดดออกมาจากในค่าย มันมาถึงที่เนินเขานี่และมีทีท่าไม่ค่อยยินดีนัก “เจ้าเมืองฟาง นี่…”
“โอ้ ก็แค่ความสำเร็จเล็กน้อยในการฝึกยุทธ์ของข้าน่ะ!”
ฟางหยวนรักษารอยยิ้มเอาไว้
“อ้อ ท่านช่างมีพรสวรรค์นัก!”
หลานเซียวเฉิงไม่หวงคำชมอยู่แล้ว “พรสวรรค์ของท่านเจ้าเมืองทำให้ข้าละอายยิ่งนักแล้ว!”
เขาย่อมไม่เข้าใจเรื่องขอบเขตเปิดชีพจร และคิดไปว่าฟางหยวนนั้นมีความพัฒนาในระดับรวมธาตุแทน… ในเมื่อเขาไม่รู้ เขาจะบอกความแตกต่างได้อย่างไร?
เขายังคงประทับใจกับพรสวรรค์ของฟางหยวน
“เจ้าเมืองฟาง รัศมีพลังของท่าน…”
เขายังพอสามารถบอกได้ว่ารัศมีพลังของเขาเปลี่ยนไป และมีท่าทางสงสัย
“โอ้ ข้าเรียนเคล็ดวิชาใหม่น่ะ ท่านตรวจจับการเปลี่ยนแปลงของพลังของข้าได้สินะ?”
ฟางหยวนโกหกโดยไม่กะพริบตา
“โอ้ เข้าใจแล้ว! มีเจ้าเมืองฟางหยวน พวกเราย่อมบรรลุข้อตกลงที่พวกเราต้องการได้ในการประชุมหยวนอู่นี้!”
เห็นฟางหยวนสีหน้าไร้ความรู้สึก หลานเซียวเฉิงก็รู้สึกหมดปัญญาและได้แต่หัวเราะแหะ ๆ เสมองไปด้านข้างอย่างไม่เข้าใจนัก
…
การประชุมหยวนอู่นั้นเป็นการประชุมที่มีหลายประเทศบนแผ่นดินใหญ่เข้ามาเกี่ยวข้อง
แน่นอนว่า ด้วยการกบฏในประเทศหยวน ท่าทีของพวกเขาย่อมแย่ลง
พวกเขาเลือกรอยต่อดินแดนทุ่งหญ้า ติดกับทะเลสาบ เป็นสถานที่ประชุมครั้งนี้
ขณะที่หลายประเทศเริ่มเดินทางมาถึง กระโจมจำนวนมากก็ถูกตั้งขึ้น และยังมีธงหลากหลายแบบปลิวไสว ที่ตรงกลาง เป็นพื้นยกสูง
ประเทศเล็ก ๆ เช่นประเทศจู ฉี คุน หง ล้วนมาถึงแล้ว เมื่อตกแต่งกระโจมตามประเพณี บริเวณนั้นก็ดูสง่างามขึ้น
ฟางหยวนขี่ม้าตัวใหญ่เข้ามา และด้วยความสนใจ เขาก็จดจำธงต่างแบบพวกนั้นภายใต้คำแนะนำของเซี่ยหลิงอวิ๋น
เทียบกับประเทศที่มีขนาดเล็กกว่าอี้ซานฝู ฟางหยวนรู้สึกว่าสถานะของตนค่อนข้างสูงส่งทีเดียว กระทั่งประเทศจูยังอาจจะต้องนับเป็นประเทศใหญ่
“ประเทศอู่และประเทศหยวนอยู่ตรงไหน?”
ตอนที่พวกเขาเดินไปที่ทะเลสาบ กองทัพของพวกเขาก็เริ่มตั้งกระโจม ฟางหยวนมองไปที่ไกล ๆ และถามออกมา
“แน่นอนว่าต้องมาถึงเป็นลำดับสุดท้าย!”
เซี่ยหลิงอวิ๋นอยู่บนหลังม้าสีขาวและข้าง ๆ คือฟางหยวน นางสวมผ้าคลุมปิดบังใบหน้าเอาไว้
ทันใดนั้น นางก็หันไปหาฟางหยวน “อาจารย์ ดูเหมือนว่าท่านทะลวงด่านสำเร็จใช่หรือไม่? รัศมีพลังของท่านให้ความรู้สึกต่างไป…”
ฟางหยวนหัวเราะและไม่ตอบนาง “ศิษย์ข้า เจ้าไปพบราชาของเจ้าเถอะ”
นี่คือการประชุมระหว่างราชา และราชาของประเทศเซี่ยก็อยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน
แต่ว่า ฟางหยวนรู้สึกเพียงแค่สมเพชเมื่อเห็นเขา เขาเป็นชายวัยกลางคนที่ดูซีดเซียวและมีสารพัดโรครุมเร้า เขาไม่สามารถกระทั่งพูดอย่างปกติและเป็นเหมือนตุ๊กตาชักใยมากกว่า
แน่นอนว่าตุ๊กตาหุ่นเชิดอย่างราชาแห่งประเทศเซี่ยนี้ใช้การไม่ได้ ทุกเรื่องของประเทศนั้นจัดการโดยลูกศิษย์ผู้งดงามของเขาเอง
“ในการประชุมนี้ ประเทศอู่ต้องบีบบังคับข้าให้จนมุมเป็นแน่ อาจารย์ ท่านต้องช่วยข้า”
เซี่ยหลิงอวิ๋นมีสีหน้าน่าสงสาร
“เหอเหอ… ต่อให้พวกมันลืมเรื่องเจ้า พวกมันก็ยังต้องมาก่อกวนข้าอยู่ดี!”
ฟางหยวนหรี่ตา “ก็ดี… พวกเราจะได้จัดการทั้งหมดไปในครั้งเดียวเลย!”
“หว่อ! หวู่!”
เสียงเป่าแตรของกองทัพดังขึ้น
จากที่ขอบฟ้าไกล ๆ มีเส้นสีดำบาง ๆ
ทหารกองใหญ่จัดกระบวนและเดินขึ้นหน้ามา
“ทหารของประเทศอู่!?”
เซี่ยหลิงอวิ๋นลดเสียงลง “ตัวแทนของประเทศอู่มาแล้ว!”
ฟางหยวนยังเงียบ
กองทัพทหารกว่าหมื่นนายมาถึงอย่างเป็นระเบียบสร้างความหวาดกลัวแก่ประเทศเล็ก ๆ ทั้งหมด
เมื่อกองทัพมาถึงริมทะเลสาบ เสียงกลองก็รัวขึ้น ทหารในกระบวนทัพแยกเปิดทางสายหนึ่งด้วยท่าทีเคารพ ชายในชุดเกราะสีทองพาม้าเหยาะย่างมาถึงด้านหน้า
“ตัวแทนของประเทศอู่เป็นนักรบผู้เก่งกล้า ข้าได้ยินมาว่าเขายังอายุไม่ถึงสี่สิบปีดี! ไม่เลวเลยจริง ๆ…”
ฟางหยวนพยักหน้า และในเวลาเดียวกัน สัมผัสเวทย์ของเขาก็พบว่าเขาถูกศัตรูสองคนจับตามองอยู่
“อืม หนึ่งในนั้นคืออู่อู๋เต๋า และอีกคนก็คือแม่ทัพเฟยหลง ไม่ใช่คนแปลกหน้า!”
เขามองไปและยิ้มให้
แต่ว่า สำหรับอู่อู๋เต่าและแม่ทัพเฟยหลง ทั้งคู่มีท่าทีราวกับพบศัตรูแข็งแกร่ง พวกเขาขยับไปใกล้นักรบในชุดเกราะสีทองและเริ่มพูดบางอย่างเบา ๆ
ขณะที่นักรบในชุดเกราะสีทองถอดหมวกเกราะออก ใบหน้าที่มีเครื่องหน้าชัดเจนก็เผยออกมา เขากวาดสายตามองไป เขามีบรรยากาศของนักรบผู้เก่งกาจที่สามารถเอื้อมคว้าทุกอย่างที่ต้องการได้
แม้ว่าเขาจะไม่ใช่อู่จง ในฐานะผู้นำประเทศ พร้อมกับกองทัพของเขา เซี่ยหลิงอวิ๋นเองก็ถูกเขากดข่มลงไปเทียบเท่ากับอู่อู๋เต๋า
“อืม ทั้งประเทศอู่และหยวนล้วนมาถึงแล้ว!”
เซี่ยหลิงอวิ๋นรู้สึกหายใจไม่ค่อยออกและตบ ๆ ตัวเองเบา ๆ เพื่อให้สงบใจ
มองไปทางเหนือ มีเส้นสีดำจาง ๆ พุ่งตรงมาจากขอบฟ้า และเกิดเป็นภาพน่าตระหนกภาพหนึ่ง!