“ข้ารู้วิธีการทะลวงสู่ขอบเขตเปิดชีพจร!”
ฟางหยวนเหลือบมองอู่จงทั้งสามคนตรงหน้าเขา “แต่ข้าสอนพวกเจ้าโดยเปล่าไม่ได้! พวกเรา นั้นไม่ได้รับผลกระทบจากเรื่องราวของโลกภายนอกแล้ว ดังนั้นข้าจะพูดตรง ๆ ทํางานให้ข้าสิบปี และข้าจะสอนวิถีทางสู่ขอบเขตเป็ดชีพจรให้พวกเจ้า!”
ในอาณาจักรต้าเฉียน แม้ว่าวิชาในระดับเปิดชีพจรนั้นจะหาได้ยาก แต่ก็ยังไม่ได้มีค่าถึงเพียงนี้
ไม่จําเป็นต้องบอกออกมาเลย ฟางหยวนนั้นวางเหยื่อล่อหลอกพวกเขาแล้ว
หลังจากขอบเขตเปิดชีพจร ยังมีวิธีการสร้างชีพจรศักดิ์สิทธิ์? แล้วยังมีเคล็ดวิชาที่ช่วยสร้างร่างศักดิ์สิทธิ์
โดยพื้นฐานแล้ว ถ้าพวกเขาตกลงเงื่อนไขนี้ ก็คือพวกเขาตกลงเข้าเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มของ ฟางหยวน
แต่ว่า อู่จงทั้งสามนั้นกลับเตรียมใจมาก่อนแล้ว พวกเขาอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดออกมาเสียงดัง “สิบปีนั้นน้อยเกินไป!”
สําหรับพวกเขาที่สิ้นหวังไปแล้วกับความจริงว่าอู่จงนั้นคือทางตัน พวกเขาจึงยอมทําทุกอย่างเพื่อหาเส้นทางหลังจากอู่จง
ลืมข้อตกลงสิบปีไปได้เลย ต่อให้พวกเขาต้องเป็นข้าทาสไปร้อยปี พวกเขาก็อาจจะตกลงด้วยซ้ํา
“ดี!”
ฟางหยวนหลุดสีหน้ายินดีก่อนจะตรงเข้าไปพยุงพวกเขาขึ้นมา “จากนี้ไป พวกเจ้าทั้งสามสาบานตนจงรักภักดีกับประเทศโยว พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว ดังนั้นไม่ต้องมากพิธี!”
เขาสามารถปฏิบัติตัวตามปกติและพูดตรง ๆ กับคนอื่น ๆ ได้ แต่ในมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ใต้บัญชาที่ มีความสามารถของเขาเองแล้ว มันก็ไม่จําเป็น
ได้รับการปฏิบัติอย่างเคารพและให้เกียรติ จงทั้งสามก็รู้สึกราวกับได้รับแรงกระตุ้น และความไม่ยินยอมและต่อต้านเรื่องข้อตกลงในที่แรกนั้นก็ค่อย ๆ คลายไป
เทียบกับความยินดีที่เกิดขึ้นในกระโจมของประเทศเชี่ยแล้ว กระโจมของประเทศอู่นั้น เต็มไปด้วยบรรยากาศเศร้าสลิด
มองสองร่างในห่อผ้าขาวที่มีเลือดเปื้อนเปรอะ ใบหน้าอู่เฉียนคุนก็แดงก่ำ เขาดึงดาบออกมาตวัดใส่เสาไม้ที่อยู่ข้างตัว “ประเทศเซีย! ฟางหยวน! รังแก! สักวันข้าจะต้องแก้แค้น!”
แน่นอนว่ามันเป็นความอัปยศอดสูที่ผู้ช่วยที่เขาเชื่อใจได้นั้นถูกสังหารไปทั้งคู่
และมันยังเป็นความอัปยศต่อสําหรับเขาที่ต้องยอมสูญเสียดินแดนและถูกปลดจากตําแหน่งผู้นํากองกําลังร่วม
แต่ว่า ที่ทําให้อู่เฉียนคุนขุ่นเคืองที่สุดก็คือชีวิตของเขาถูกผู้อื่นควบคุม
ในประวัติศาสตร์ของประเทศ มีบันทึกเอาไว้ว่า “ไพร่พลของประเทศอู่ก่อให้เกิดความวุ่นวายทางการปกครอง และ การใช้ยาวิญญาณอย่างไม่ถูกต้อง ซึ่งเป็นคําเตือนสําหรับคนรุ่นถัดไป แต่ว่า สิ่งเหล่านี้ย่อมไม่ทิ้งร่องรอยประทับเอาไว้ลึกล้ําเท่าสิ่งที่เกิดขึ้นในครั้งนี้
หลังจากปลดปล่อยความเกรี้ยวกราดออกไปแล้ว อู่เฉียนคุนก็สงบลงและสูดหายใจลึก “ถ่ายทอดคําสั่งลงไป ทั้งกองทัพของพวกเรา ให้เชื่อฟังคําสั่งจากประเทศเชีย เป็นการชั่วคราว!”
หลังจากจบประโยคแล้ว เขาก็ดูจะสูญเสียพลังทั้งหมดไป และแทบจะล้มลงกับพื้น “ออกไปให้หมด!”
องครักษ์และบ่าวรับใช้รอบ ๆ นั้นอยากจะออกไปนานแล้ว พอมีคําสั่งพวกมันก็แอบยินดี และรีบเดินออกไปทันที และถึงกระนั้น พวกมันก็ยังหวังว่าจะวิ่งออกไปได้เร็วกว่านี้อีกสักหน่อยด้วยซ้ํา
“ฟู่ ฟู่”
อู่เฉียนคุนหอบหายใจหนักหน่วงอยู่เป็นครึ่งวัน ในที่สุดเขาก็มองไปที่มุมกระโจม
มีผู้ชายในชุดสีดํายืนอยู่ตรงนั้น ไม่มีใครรู้ว่าเขามาตั้งแต่เมื่อไหร่ และเขาก็ดูราวกับกําลังรอคอยใครบางคน เขาอําพรางตัวตนได้ดีมาก ไม่สามารถพบตัวได้ง่าย ๆ ที่เดียว
“เฮยปิง!”
อู่เฉียนคุนลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้ามุ่งมั่น “ควยความสามารถของเจ้า เป็นไปได้หรือไม่ที่จะกําจัดฟางหยวนด้วยการใช้กับดัก?”
“นั่นก็ยากนะ!”
น้ําเสียงของเฮยปิงนั้นแหบพร่าราวกับนกฮูก “พวกเรามีบันทึกเกี่ยวกับนักรบศักดิ์สิทธิ์ระดับแยกธาตุอยู่อย่างจํากัดในห้องหนังสือลับของราชวงศ์ นอกจากนี้ บันทึกเหล่านี้ยังเกี่ยวกับนักรบศักดิ์สิทธิ์ มิใช่อู่จง…”
“บรรพบุรุษของพวกเรารับมือกับนักรบศักดิ์สิทธิ์ระดับแยกธาตุอย่างไรในอดีตที่ผ่านมา?”
ดวงตาของอู่เฉียนคุนเป็นประกาย
“ พวกเขาถ้าไม่สร้างความสัมพันธ์อันดีด้วยก็หลบซ่อนตัวจากคนพวกนั้น มีเพียงผู้มี พรสวรรค์เพียงหยิบมือเดียวที่สามารถบรรลุสู่ขอบเขตแยกธาตุได้ สําหรับพวกเขาแล้ว ที่นี้นั้นเล็กแคบราวกับบ่อน้ําเล็ก ๆ พวกเขาล้วนมุ่งหน้าสู่อาณาจักรต้าเฉียนเพื่อค้นหาวิถีทางเดินต่อ…”
เฮยปังมีน้ําเสียงมั่นใจราวกับเคยพบเห็นทั้งหมดนี้มาด้วยตัวเอง
“เช่นนั้นหนทางเดียวก็คือทนกับพวกเขาสินะ!”
อู่เฉียนคุนกัดริมฝีปาก มีเลือดซึมไหลออกมา
ขณะที่เขาคิดถึงอายุของฟางหยวน เขาก็รู้สึกหมดหวัง ถ้าฟางหยวนตัดสินใจทํานักอยู่ที่ดิน แดนแถบนี้ไปตลอด กระทั่งหลานของเขาก็คงไม่สามารถมีชีวิตอยู่ยาวนานกว่าฟางหยวนไปได้
“จากการที่เขาสามารถบรรลุสู่ขอบเขตแยกธาตุได้ด้วยอายุเพียง 20 ปี นั้นบ่งบอกว่าความสามารถของเขานั้นได้จํากัด! แต่ว่าส่วนที่น่ากังวลมากกว่าก็คือการที่เขาสามารถค้นพบเส้นทางการฝึกตนต่อจากคู่จงได้”
คําอธิบายของเฮยปิงนั้นตรงไปตรงมา “มีผู้คนตั้งเท่าไหร่บนโลกใบนี้ที่ฝึกวิทยายุทธ์? ข้าเกรงว่าจํานวนผู้ที่เดินเส้นทางนักรบศักดิ์สิทธิ์นั้นมีน้อยกว่าจํานวนผู้ฝึกยุทธ์ อาจเทียบได้เป็นหนึ่งในพันส่วน! ลองคิดดูว่าหากผู้ฝึกยุทธ์จํานวนมากนั้นมารวมตัวกันและร่วมมือกัน….”
“ เปิดชีพจร ”
อู่เฉียนคนพึมพําสองคํานี้ ซึ่งมีอิทธิพลมากพอที่จะทําให้ทั้งแผ่นดินคลุ้มคลั่ง ด้วยรอยยิ้มจนปัญญา เขาคิดถึงแม่ทัพเฟยหลง “ถูกต้อง ผู้ฝึกยุทธ์ระดับสูงทั้งมวลย่อมไม่สามารถต่อต้านความเย้ายวนนี้ได้”
ในวันถัดมา ทหารสามหมื่นรวมทัพกันยกทัพไปทางเมืองหลวงของประเทศหยวน
มีรายงานความก้าวหน้าส่งมา ทําให้ฟางหยวนเข้าใจสถานการณ์ได้มากขึ้น
“เอ๋?”
เขานั่งอยู่ในรถม้า มีเซี่ยหลิงอวิ๋นคอยดูแลอยู่ข้าง ๆ เขาหยิบกระดาษรายงานขึ้นมาอ่านด้วย ท่าที่นิ่งเฉยคิ้วเริ่มขมวดเข้าหากัน “องค์หญิงจือเมิ่ง?”
“นางเป็นผู้ที่งดงามที่สุดในดินแดนทุ่งหญ้า องค์หญิงแห่งเผ่าตะวันดับ! อาจารย์ท่านสนใจในตัวนางรึ?”
เซี่ยหลิงอวิ้นล้อเขา แต่ใบหน้าของนางกลับแฝงความรู้สึกริษยาเอาไว้
“ฮ่าฮ่า ข้าเพียงสนใจนางในฐานะที่นางเป็นกุญแจสําคัญที่เกี่ยวข้องกับการตายของราชาหยวน วีรบุรุษล้วนพ่ายแพ้แก่หญิงงาม คําพูดนี้ช่างเป็นความจริงยิ่งนัก เหอเหอ! เขาไม่ได้ตายอย่างเสียเปล่าแล้ว!”
ฟางหยวนโยนรายงานฉบับนั้นไปด้านข้างอย่างง่าย ๆ และหัวเราะห์
จู่ ๆ เขาก็คิดถึงราชาแห่งดินแดนทุ่งหญ้า เทมูจิน การตายอันอธิบายไม่ได้ของเขา และ นั่นก็ทําให้ฟางหยวนรู้สึกถึงความเย็นวาบไปตามสันหลัง
มนุษย์ย่อมต้องตายตกลงในสักวันหนึ่ง
แม้ต่อให้เป็นจักรพรรดิผู้เก่งกาจที่สุดก็ไม่ได้รับการยกเว้น ตราบใดที่เขายังเป็นมนุษย์ หายนะ ภัยทางธรรมชาติหรืออุบัติเหตุล้วนสามารถคร่าชีวิตของเขาและทําลายทุกสิ่งที่เขามีในชีวิตไปได้!
ในเมื่อข้าไม่ใช่คนธรรมดาอีกต่อไปแล้ว ข้าย่อมไม่ทําผิดแบบพวกเขา แต่ว่าข้าก็ยังคงต้องระวัง!”
เพื่อที่จะได้ออกสํารวจโลกและเดินทางสู่ชีวิตนิรันดร์ คนผู้นั้นต้องมีจิตใจที่กระจ่าง ฟางหยวน สะดุ้งและคิดได้ขึ้นมา และเตือนตัวเองว่าเขาต้องไม่หลงระเริงไปกับความสําเร็จในการเข้ายึดครองดินแดนแถบนี้ ไม่เช่นนั้นจะนําไปสู่การตําต่ําลงของตนเองได้
“คําถามก็คือ หลังจากนั้นแล้วองค์หญิงจื่อเมิงนั้นไปที่ใดกัน?!”
เขาถามออกมา
“นางอาจจะถูกองครักษ์หมาป่าสีทองตัดร่างเป็นชิ้น ๆ ไปแล้ว!”
เซี่ยหลิงอวิ้นกัดริมฝีปาก ชัดเจนว่านางไม่ได้คิดว่าองค์หญิงจื่อเมิงจะมีโอกาสรอดชีวิตแล้ว
“ถ้าเป็นเช่นนั้น พวกเขาย่อมต้องป่าวประกาศเรื่องนั้นออกมา แต่ดูตามสถานการณ์ในประเทศหยวน ที่องค์ชายใหญ่รวบรวมกําลังทหารและเตรียมพร้อมที่จะรับมือกับองค์ชายอื่น ๆ พวกเขาย่อมต้องประกาศออกมาอย่างแน่นอนหากจัดการกับองค์หญิงจื่อเมิงเพิ่งได้จริง!”
ฟางหยวนลูบคาง
“อาจารย์ ท่านหมายถึงอะไร”
เซี่ยหลิงอวิ้นกะพริบตาราวกับยังมีนงงอยู่
“การแสดงออกทางจิตใต้สํานึกนั้นชัดเจนที่สุดเสมอ!”
ฟางหยวนถอนหายใจอยู่ในอกและพูดต่อ “จื่อเมิงผู้นั้น นางไม่ธรรมดา! นางย่อมยังมีชีวิตอยู่! อย่างไรเสีย หากเป็นแผนการแก้แค้น เหตุใดจึงสังหารราชา แต่ไว้ชีวิตองค์ชายหลายคนเอาไว้เล่า!”
“เช่นนั้นพวกเราควรทําอย่างไร?”
เซี่ยหลิงอวิ้นสีหน้าจริงจังขึ้น “ พวกเราควรจะสนับสนุนองค์ชายองค์ไหนหรือไม่?”
“ฮ่าฮ่า ตําแหน่งราชามีได้เพียงคนเดียว! มันมีค่าถึงเพียงนั้นแหละ!”
ฟางหยวนหัวเราะและมีท่าทางลึกลับ
…….
ที่ด้านนอกเมืองหลวง เลือดนองไปทุกหย่อมหญ้า
ทหารสองฝ่ายกําลังสู้กันอยู่ เสียงม้าร้องดังลั่นทั่ว ลูกศรพุ่งโฉบไปมาและทั่วทั้งบริเวณที่เต็ม ไปด้วยเลือดส์คล้ําเข้ม
พอหมดวัน ทั้งสองฝ่ายก็ถอยทัพ องค์ชายแปด เก่อรื่อถู มีท่าทางไม่พอใจขณะฟังรายงานจาก ผู้ใต้บังคับบัญชา “บ้าชะมัด! เหตุใดจึงตายตกเยอะถึงเพียงนั้น?”
“องค์ชายใหญ่ ป้าถู นั้นยึดเมืองหลงเชิงเอาไว้แล้ว ส่วนองค์ชายรอง อากู๋ต๋าก็ใช้โอกาสนี้ติดสินบนและครอบครองกองทัพส่วนตัวขององค์ราชา องค์ชายอื่น ๆ นั้นได้รับการสนับสนุนจากพวกพ้อง ถ้าพวกเรายังอยู่เมืองหลงเชิง ป้าถูย่อมไม่มีโอกาสเช่นนี้”
จ้าวลี่เก่อถูรายงานด้วยน้ําเสียงจริงจัง
การเปลี่ยนแปลงกะทันหันในเมืองนั้น กะทันหันเกินกว่าที่องค์ชายแปดจะทันได้ลงมือ เขาไม่ทันระวัง เมื่อกลับมาทุกอย่างก็สายเกินไปแล้ว
ไม่เพียงแค่นั้น แต่การเป็นองค์ชายคนเล็กสุด องค์ชายอื่น ๆ ก็ริษยาเขาอยู่แล้ว และสถานการณ์นี้ก็ไม่ได้เกินคาดไป
“ บ้าชะมัด! ตอนนี้บิดาก็สิ้นแล้ว พวกเราย่อมต้องทําตามกฏและรวบรวมคนระดับผู้นําเพื่อเสนอชื่อผู้ที่จะขึ้นเป็นรัชทายาท!”
เก่อรื่อถูพึมพําออกมาอย่างหมดหนทาง
ราชาองค์ก่อนนั้นเป็นผู้ที่เก่งกาจ และลูก ๆ ของเขาก็ล้วนสืบทอดความเก่งกาจนั้นมา
องค์ชายใหญ่ป้าถูนั้นกล้าหาญและมีความสามารถในการศึก องค์ชายรองอากู๋ต๋านั้นก็มีความสามารถในการวางแผนกลยุทธ์ ขณะที่องค์ชายองค์เล็กสุดในทั้งหมด เก่อรื่อถู นั้นธรรมดาที่สุด และทําได้เพียงแค่อาศัยขนบธรรมเนียมเดิมในการต่อสู้เพื่อแย่งชิงบัลลังก์
“รายงาน!”
ทหารม้าพุ่งเข้ามาหาเก่อรื่อถและทหารผู้นั้นก็ลงจากหลังม้าก่อนจะคุกเข่าลง “ข่าวจากทัพหลัง พวกคนทางใต้พวกนั้นปิดการประชุมแล้ว พวกเขาตัดสินใจเลือกผู้นํากองกําลังร่วมใหม่ ๆ
เก่อรื่อถูคํารามและรู้ว่านี้ไม่ใช่เวลาจะมาคิดถึงเรื่องนี้ “พวกมันเลือกใคร? ตัวแทนประ เทศอู่?”
“ไม่ใช่! เป็นราชาแห่งประเทศเซี่ย! ในตอนนี้ ทุกประเทศยังไม่กลับ พวกเขากลับรวมตัวกัน และตอนนี้ก็กําลังเคลื่อนทัพกว่าสามหมื่นมาทางเมืองหลงเชิง!”
“ช่างกล้า!”
มือของเก่อรือถูแน่นแส้ม้าแน่นจนชิต
“ถ้าท่านมอบทหารให้ข้าสามหมื่น ไม่สิ! สองหมื่น ข้าจะกําจัดทัพสามหมื่นในทุ่งหญ้าให้! ตั้งแต่เมื่อใดกันที่พวกคนทางใต้อ่อนแอกลับกล้ารุกล้ําดินแดนซึ่งสวรรค์มอบให้พวกเราได้?”
“องค์ชายแปด ท่านต้องสงบใจลงก่อน!”
ถึงตอนนี้ จ้าวลี่เก่อถูก้าวออกมา
สถานะของเขานั้นแตกต่างไป ไม่เพียงเขาจะเป็นนักรบที่แข็งแกร่งที่สุดของประเทศ เขายังเป็นอาจารย์ผู้ชี้ทางของเก่อรอดูที่มอบหมายโดยองค์ราชาได้ยินเขาพูด เก่อรือถู เงียบลงไปทันที
“รวมกันแข็งแกร่ง ตอนนี้พวกเรามีทหารเพียงหมื่นเดียว เมื่อคํานึงถึงการรุกรานอย่างต่อเนื่องและความวุ่นวายจากองค์ชายอื่น ๆ แล้ว นี้ไม่ใช่เวลาจะมาเริ่มสงครามกับผู้คนจากทางใต้พวกนั้น”
จ้าวลี่เก่อถูให้เหตุผลอย่างใจเย็น
“ ความตั้งใจของเจ้าก็คือ เจรจาสงบศึก?”
เก่อรือถูมองอาจารย์ของตนด้วยสายตาเย็นเยียบ
“คนจากทางใต้พวกนั้นก็เหมือนฝูงแกะ แม้ว่าจะมีสิงโตนํามา แต่ก็ยังคงอ่อนแอ ๆ ตราบใดที่พวกเรามีเวลา พวกเราก็สามารถแทรกซึมเข้าไปทางใต้ได้ในอนาคต! ข้อตกลงชั่วคราวนั้น หาได้มีความหมายมากนัก!”
จ้าวลี่เก่อถูให้คําแนะนําอย่างง่าย ๆ เหมือนสนธิสัญญาพวกนั้นไร้ค่าจริง ๆ