“ซ่า! ซ่า!”
ประตูแก้วผลึกสีม่วงที่เดิมอยู่นิ่งเริ่มส่องประกาย และประกายแสงเหล่านั้นก็เริ่มหมุนวน
ขณะที่ประตูถูกผลักเปิด ก็มีเพียงกําแพงหินอยู่ด้านหลัง ทั้งบริเวณนั้นว่างเปล่า
ฟางหยวนเลียริมฝีปากและดึงแผ่นหยกออกมา
“ฝูบ!”
แผนังขยับไปมาราวกับลูกอ๊อด พวกมันกลาย
ทันใดนั้น ตัวอักษรสีทองมากมายก็ เป็นประกายแสงแล้วพุ่งเข้าสู่แผ่นหยก
“ฟางหยวน ศิษย์ข้า…”
ในเวลาเดียวกัน แสงอ่อน ๆ สายหนึ่งก็ปรากฏขึ้น ก่อเป็นรูปของชายชราสวมมงกุฎ
“อาจารย์!”
แม้ว่าเขาจะรู้ว่านี้ไม่ใช่อาจารย์จริง ๆ เขาก็ยังคงคารวะลงอย่างเคารพ
“ถ้าเจ้ามาถึงระดับนี้ได้ ก็หมายความว่าเจ้าสามารถทะลวงผ่านสู่ระดับรวมธาตุได้ ดีมาก!”
อาจารย์เป็นซิน ไม่สิ! อาจารย์เจวซินลูบเคราและมองลงมา เขาเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมาย และดูไม่เหมือนภาพมายาธรรมดา
“ข้าสอนเจ้าทุกอย่างที่ข้าได้เรียนรู้มาแล้ว! หลังจากทะลวงสู่ขอบเขตรวมธาตุ เจ้าควรจะแข็งแกร่งที่สุดในดินแดนนี้แล้ว ข้าแน่ใจว่าเจ้าย่อมต้องคิดถึงการไปอาณาจักรต้าเฉียน ข้าพูดถูกหรือไม่? ถ้าเป็นเช่นนั้น ข้าก็สามารถวางใจให้เจ้าจัดการกับเรื่องหลังของข้าได้…”
หลังจากได้ยินคําอธิบายของอาจารย์เจวซิน ฟางหยวนก็ยิ่งรู้สึกกดดัน
“จําเอาไว้ ก่อนที่เจ้าจะมีความสามารถพอ อย่าได้แก้แค้นให้ข้า!”
ประกายแสงค่อย ๆ สลัวลง และเสียงของอาจารย์เจวซินก็ค่อย ๆ เบาลงช้า ๆ ในที่สุด ก็เหลือเพียงความเงียบและแสงสุดท้ายที่กระทบพื้นก็จางหายไป
“ข้าจะทําตามคําสั่งของท่าน อาจารย์!”
ฟางหยวนยังมีท่าที่เคร่งขรึม
อาจารย์ของเขานั้นนับได้ว่าเป็นจ้าวแห่งฝันที่เก่งกาจผู้หนึ่ง อาจจะเหนือกว่าระดับสวรรค์มายา
พอคิดเช่นนี้ หากเขาเผชิญหน้ากับศัตรูของอาจารย์ตอนนี้ เขาก็เป็นเพียงมดตัวเล็ก ๆ หรือให้ ถูกต้อง ก็คือมดที่มีหัวโต แต่ก็ยังคงเป็นแค่มด!
“ข้าต้องรอจนกว่าจะทะลวงสู่ระดับสวรรค์มายา และขึ้นถึงจุดสูงสุดของระดับนั้น หรือข้าอาจจะสําเร็จระดับเปิดชีพจรและสร้างร่างสวรรค์ของผู้ฝึกยุทธ์ก่อนที่ข้าจะสามารถคิดเรื่องการแก้แค้นได้!”
ฟางหยวนเก็บแผ่นหยกอย่างระวัง และในดวงตาก็เต็มไปด้วยไฟลุกโชน
“ระดับสวรรค์มายานั้นยากเกินกว่าจะฝ่าไปได้ และวิทยายุทธ์ของข้า ก็ค่อย ๆ เข้าสู่ทางตันอีกครั้งแล้ว”
นี่คือความรู้สึกของเขาหลังจากสร้างชีพจรศักดิ์สิทธิ์ที่สามได้
อย่างไรเสีย เคล็ดอินทรียักษ์กายาเหล็กส่วนใหญ่แล้วนั้นเป็นเขาสร้างขึ้นเอง มีพื้นฐานจากแหล่งเดียวคือเคล็ดลมปราณยิ่งใหญ่เฉียนคุนในส่วนของการเปิดชีพจร นอกเหนือจากนั้นตํารามากมายที่เขาได้อ่านจากหอตํารานั้นก็ไม่ได้มีรายละเอียดหรือมีคุณค่ามากพอให้เขาใช้อ้างอิง
เขาไม่สามารถเข้าถึงตําราซึ่งอธิบายถึงการสร้างร่างสวรรค์ของผู้ฝึกยุทธ์ได้
นี่ทําให้เขาไม่สามารถที่จะพัฒนาการฝึกตนได้อย่างรวดเร็ว และทุกย่างก้าวของเขาก็ลําบากมาก
“ขอบเขตเปิดชีพจร สามชีพจรแรกสามารถจัดเป็นหนึ่งกลุ่ม และจะต้องเผชิญกับอุปสรรคที่ต้องฝาก่อนที่จะสร้างขึ้นมาได้แต่ว่าความยากของการสร้างชีพจรที่สี่นั้นสูงกว่าสามชีพจรแรกมากและแค่จินตนาการว่าข้าจะสามารถทะลวงสู่ระดับการสร้างชีพจรศักดิ์สิทธิ์ที่ 7 ได้อย่างไรก็ยิ่งน่ากลัวแต่ถ้าข้าสามารถทําได้ ข้าก็คงเป็นที่นับถือแม้แต่ในอาณาจักรต้าเฉียนแล้ว”
ฟางหยวนมองหน้าต่างสถานะของตัวเองแล้วก็คิด
ตอนนี้เขากําลังถึงทางตันทั้งในด้านการฝึกวิทยายุทธ์และการฝึกตนเป็นจ้าวแห่งฝัน รวมทั้งทักษะอื่นด้วย
การฝึกตนทั้งหมดของเขาดูจะเผชิญกับอุปสรรคครั้งใหญ่แล้ว
และยังมีพลังธาตุไม่เพียงพอ นี่อาจจะเป็นสาเหตุให้เขาเจอกับปัญหา และไม่สามารถเดินต่อไปได้
“การรักษาของข้าเพิ่งอยู่ที่ระดับ 3 แม้ว่าข้าจะได้ช่วยชีวิตผู้อื่นเอาไว้มากมายในช่วงสามปีนี้แต่มันก็ยังเหมือนเดิมส่วนการดูแลพืช พืชวิญญาณที่ข้ามีล้วนเป็นระดับต่ําและไม่สามารถช่วยข้าทะลวงผ่านได้อีกต่อไป”
ฟางหยวนถอนหายใจขณะออกจากถ้ํา เขากลับไปที่จุดหนึ่งตรงริมสวนสมุนไพร
ตรงนั้น ผืนดินแห้งแล้ง มีชั้นขี้เลื่อยสีเงินหนาเรียงตัวเป็นวงอยู่วงหนึ่ง
ทั้งหมดมีแค่นั้น ไม่มีสัญญาณของพืชมีชีวิตใด
“นี่เป็นโอกาสเดียวที่การดูแลพืชของข้าจะสามารถทะลวงผ่านได้ แต่น่าเสียดาย…” ขณะที่ดวงตาของเขาเป็นประกายขึ้น ฟางหยวนยกมือขวาขึ้น
“ซ่า!”
ผืนดินตรงกลางวงแยกออก เผยให้เห็นเมล็ดพืชสีดําสนิทที่อยู่ด้านล่าง และเมล็ดพืชนั่นก็ลอยเข้าสู่มือของเขา
นี่เป็นหนึ่งในสมบัติล้ําค่าที่เขาได้มาจากที่พํานักลับของลู่เหรินเจีย
อู๋เหรินเจียเป็นจ้าวแห่งการเล่นแร่แปรธาตุที่มีชื่อเสียงผู้หนึ่ง ทรัพย์สมบัติของเขานั้นมีค่ามากและเม็ดยาวิญญาณทั้งหมดของเขายังช่วยให้ฟางหยวนทะลวงผ่าระดับได้ หนังเสือดาวซินโหมวนั้นก็ค่อย ๆ ถูกสร้างเป็นเกราะชิ้นหนึ่งในช่วงสามปีที่ผ่านมา และฟางหยวนก็สวมมันไว้ด้านใน ตั้งแต่นั้น
เมล็ดพืชนี้ลึกลับมาก ฟางหยวนเดาว่ามันอาจจะเป็นระดับดินหรืออาจจะระดับฟ้าเพราะแค่พลังที่แผ่ออกมาก็ช่วยให้ฟางหยวนสามารถทะลวงผ่าระดับทักษะการดูแลพืชได้ถ้ามันงอกต้นอ่อน ก็น่าจะช่วยให้ฟางหยวนสามารถทะลวงผ่าระดับได้อีกครั้ง
ในช่วงสามปีที่ผ่านมาฟางหยวนนั้นทดลองทําทุกอย่างแม่ว่าเมล็ดก็ยังคงอยู่เช่นเดิม ซึ่งเป็น เรื่องที่ไม่น่าพอใจนัก
“น่าจะมีวิธีทําให้มันงอกได้อยู่ในอาณาจักรต้าเฉียน!”
เพราะคิดเช่นนี้ มือของฟางหยวนก็เปล่งแสง และเมล็ดก็ถูกเก็บเอาไว้อย่างปลอดภัยในไข่มุกภูผานที่
“ผลหยกแดงนี้ตอนนี้ไร้ประโยชน์กับข้าแล้ว พวกเจ้าก็ไปแบ่งกันเอาแล้วกัน!”
หลังจากจัดการเสร็จ ฟางหยวนก็เดินออกมาและเห็นสัตว์วิญญาณทั้งสามที่รออยู่ด้านนอก “ข้าจะไปจากที่นี่สักระยะหนึ่ง ดูแลและปกป้องดินแดนแห่งนี้ให้ข้าด้วย!”
เมื่อได้ยิน ฮวาหูเตียวก็ดูกระวนกระวาย มันพุ่งเข้าไปหาฟางหยวนแล้วกัดเสื้อคลุมของเขาเอา
ราชานกหงเอี่ยนป่ายและอินทรีดําหางเหล็กก็ดูไม่ยินยอมเช่นกัน
“ไม่เป็นไร เป็นเด็กดีนะ!”
สัตว์วิญญาณทั้งสามเหล่านี้ล้วนมีระดับการฝึกตนเทียบเท่ากับผู้ฝึกยุทธ์ระดับประตูทองที่ 12 แล้วแต่ว่าพวกมันก็ยังไม่สามารถทะลวงฝาสู่อู่จงได้
อย่างไรเสีย ประตูสู่การปลดปล่อยพลังธาตุนั้นก็ไม่ได้ฝาได้ง่าย ๆ พวกมันย่อมไม่เข้าถึงระดับนั้นได้โดยง่าย
“ข้าคงคิดถึงพวกเจ้าทั้งสาม แต่ว่าพาพวกเจ้าทั้งสามไปด้วยนั้นก็ออกจะลําบาก…”
ฟางหยวนถอนหายใจ
มันคงจะสะดวกมากถ้าหากเขาสามารถขึ้นบินไปบนหลังนก แต่ว่า การเดินทางครั้งนี้ของเขานั้นต้องผ่านเขตเหนือสุดของดินแดนทุ่งหญ้าซึ่งมีสายลมรุนแรงที่พัดอยู่ตลอดเวลาทําให้มันยากที่จะบินผ่าน
นอกจากนี้ ในอาณาจักรต้าเฉียน สัตว์วิญญาณที่ไม่ถึงระดับอู่จงนั้นก็ใช้งานได้ไม่มาก
เขาจึงอยากจะทิ้งพวกมันไว้ที่บ้านเพื่อให้ฝึกฝนด้วยตนเอง ใครจะรู้ ในเมื่อดินแดนศักดิ์สิทธิ์ยอดเขาชอุ่มนั้นลึกลับเพียงนี้และยังมีพืชวิญญาณ เขาอาจจะกลับบ้านมาพบกับความประหลาดใจก็ได้
ดังนั้น เขาจึงเก็บสิ่งของต่าง ๆ เอาไว้ให้พวกมันตั้งมากก่อนที่จะจากไป
“ไปเถอะ!”
เขากระโดดขึ้นบนหลังราชานกหงเอี่ยนป้ายและสั่งให้ขึ้นบิน
ทันใดนั้นราชานกหงเอียนป่ายก็กางปีกและลอยขึ้นสู่ฟ้า
เมืองอี้ชานผู้
หลังจากผ่านการขยับขยาย ที่นี่ตอนนี้ก็เป็นเมืองหลวงของประเทศโยว เมืองแผ่กระจายออก ไปในรูปแบบเดียวกับใยแมงมุมและมีถนนเชื่อมต่อระหว่างแต่ละเมือง มีผู้คนมากมายและทั้งหมดก็ดูเจริญรุ่งเรืองเจริญรุ่งเรืองกว่าแต่ก่อนมาก ๆ
“แกวก แกวก!”
ราชานกหงเอี่ยนป้ายนั้นค่อนข้างคุ้นเคยกับที่นี่ขณะนี้มันบินอยู่เหนือกําแพงเมืองมุ่งตรงสู่ราชวัง
“เป็นท่านผู้ครองเมืองขอรับ!”
บนกําแพงเมือง ทหารที่ลาดตระเวนอยู่ก็เริ่มคุกเข่าลงและคารวะไปทางเจ้านกขาว
“คารวะท่านเจ้าเมือง!”
ที่หน้าราชวัง หนิวติ้งเทียน จางชิงเฟิง และคนอื่น ๆ ได้ข่าวการมาถึงของฟางหยวนและก็รีบเดินทางมาต้อนรับ รวมทั้งโจวเหวินอู่เฉินซิ่งอว์ชินโหลว และเจ้าหน้าที่อื่น ๆ
“เลิกมากพิธีได้แล้ว!”
ฟางหยวนลงจากหลังนกและโบกมือง่าย ๆ “เป็นอย่างไรบ้าง?”
“ด้วยชื่อเสียงของท่านและยังความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับประเทศเซีย ทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดีแต่เดือนที่แล้วพวกเราได้รับของขวัญจากประเทศอู่!”
หนิวติ้งเทียนรายงานอย่างนอบน้อม
“ส่วนเรื่องปัญหาภายใน พวกเรารับผู้อพยพเข้ามา จัดสรรที่ดินว่างเปล่าให้ทํานาทําไร่และยังตั้งขบวนพ่อค้าขึ้นมาการค้าขายดีขึ้นมากดีกว่าก่อนเกิดสงครามด้วยซ้ํา ตอนนี้พวกเรายังได้รับ ดินแดนเพิ่มขึ้นจากประเทศอู่ ผู้คนจึงเริ่มขยับขยายไปที่นั่น ไม่เกินสิบปีพวกเราน่าจะเป็นประเทศที่แข็งแกร่งที่สุดในดินแดนแถบนี้!”
ขณะที่พูด ดวงตาของโจวเหวินอู่ก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้น
“อืม ส่งคําสั่งลงไปว่าข้ามีเรื่องสําคัญจะประกาศระหว่างงานเลี้ยงคืนนี้!”
ฟางหยวนก้มหน้าลงนิด ๆ เดินเข้าไปในราชวัง
ที่นี่เดิมทีคือคฤหาสน์เจ้าเมือง หลังจากมีการปรับปรุง ทุกอย่างเปลี่ยนเป็นเรียบง่ายเพราะว่าเขาไม่ใช่คนที่ชอบความหรูหราปกติเขาก็อาศัยที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ยอดเขาชอุ่มจึงไม่ได้มีความจําเป็นต้องตกแต่งที่นี่ด้วยทองและเงินแต่อย่างใด
“องค์ราชา!”
เมื่อผู้รับใช้และเหล่าสนมเห็นเขาเข้า ทุกคนก็ย่อตัวลงคารวะ
โดยเฉพาะเหล่าสนม พวกนางล้วนเป็นคนพื้นถิ่นและได้รับเลือกจากเจ้าหน้าที่ พวกนางล้วนมีรูปร่างดงามและยังมองเขาด้วยสายตาคาดหวัง
ทุกคนล้วนอยากขึ้นเป็นราชินี
อย่างไรเสีย มันก็ประหลาดสําหรับฟางหยวนที่เป็นราชา แม้ว่าเขาจะเป็นราชา แต่กลับไม่มีภรรยาไม่มีบุตรนี่ทําให้เกิดข้อสงสัยมากมายและผู้หญิงที่ได้รับคัดเลือกเข้ามาเป็นสนมของเขาก็ถูกม้วนเข้าไปในความวุ่นวายนี้ และบางคนถึงกับตายตกไปในระหว่างความขัดแย้งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ทําให้ฟางหยวนพูดไม่ออก และเขาก็ไม่มีทางเลือกนอกจากสั่งให้คนของเขากักบริเวณทุกคนเพื่อตรวจสอบ ถึงตอนนั้นทุกอย่างถึงได้สงบไป
แม้ว่าเขาจะไม่ได้ติดข้อจํากัดใด แต่เขาก็ยังไม่อยากเริ่มต้นชีวิตครอบครัวแม้ว่าจะไม่ได้ต้องการออกบวชก็ตาม
แล้วเขายังกําลังเตรียมตัวเดินทางไปอาณาจักรต้าเฉียน หากเขาต้องทิ้งภรรยาและลูกไว้เบื้องหลัง มิใช่เท่ากับว่าเขาทิ้งครอบครัวเอาไว้บนความเสี่ยงหรือ?
ดังนั้น เพื่อตัดปัญหา เขาจึงยังไม่สร้างครอบครัวตอนนี้
“ไปที่ห้องหนังสือ!”
เขาสั่งคนรับใช้
“ขอรับ!”
คนรับใช้ผู้นั้นดูยินดี ทําให้เขานึกถึงบางคน
หนึ่งปีหลังจากตระกูลหลินถูกขังเอาไว้ ฟางหยวนก็นึกถึงพวกเขาขึ้นมาได้และสั่งโจวเหวินอู่ให้ปล่อยตัว ใช้เคล็ดวิชาของจ้าวแห่งฝันของเขา เขาลบความทรงจําของหลินเหลยเยวและหลังจากนั้นก็ตัดความสัมพันธ์ทั้งหมดกับคนพวกนั้น
ส่วนศิษย์วิญญาณหลิงอิน นางกลายเป็นตัวทดลองของฟางหยวน หลังจากเข้าไปปรับเปลี่ยนความทรงจําของนางอยู่หลายครั้ง ในที่สุดนางก็ยอมจํานน ตอนนี้นางภักดีกับฟางหยวนและถูกพามาที่นี่เพื่อขึ้นเป็นหนึ่งในเจ้าหน้าที่ที่นี่
ห้องหนังสือ
หลังจากให้คนรับใช้ออกไป ฟางหยวนก็เดินเข้าไปและรออยู่ครู่หนึ่ง
“เจ้าสํานัก
พวกเรามาแล้ว!”
เสียงนุ่มนวลเสียงหนึ่งดังมา
“เข้ามาสิ!”
ประตูเปิดออกช้า ๆ หลายคนเดินเข้ามา พวกเขามีรัศมีพลังเวทย์อันแข็งแกร่ง ทั้งหมดล้วนเป็ นอู่จง ในนั้นยังมีสตรีอีกสองนาง
“คารวะท่านเจ้าสํานัก!”
ทันทีที่คนพวกนี้เห็นฟางหยวน ก็ก้มตัวลงคารวะและทักทายเขาอย่างเคารพ
มีสตรีผู้หนึ่งในดวงตานั้นเต็มไปด้วยอารมณ์ที่ผสมปนเป ทั้งเศร้าทั้งแค้น ไม่สงบ สตรีผู้นี้คือสีออรื้อง!
“ลุกขึ้นเถอะ!”
ฟางหยวนโบกมือ “พวกเจ้าทั้งหมดล้วนเป็นผู้อาวุโสของสํานักหยวน ไม่ต้องมากพิธีไป!”
สามปีก่อน ไม่เพียงแค่ฟางหยวนเริ่มก่อตั้งประเทศโยว แต่ยังเริ่มต้นสํานักของตัวเองด้วย เขาสร้างกลุ่มของผู้ฝึกยุทธ์ที่ใหญ่ที่สุดบนแผ่นดินแถบนี้ และเรียกมันว่าสํานักหยวน!
สมาชิกต้องมีหน้าที่ต้องแลกเปลี่ยนและฝึกวิทยายุทธ์ และท่ามกลางคนพวกนี้ บางคนยังสา มารถเข้าถึงการฝึกสู่ขอบเขตเปิดชีพจรได้ การคัดเลือกคนนั้นไม่ได้จํากัดภูมิหลังของครอบครัว จึงมีผู้ฝึกยุทธ์จํานวนมากเข้าร่วม ถึงตอนนั้นจะยังไม่ใช่สํานักที่แข็งแกร่งที่สุดแถบนี้แต่ตั้งแต่นั้นมา ประเทศโยวกลับกลายเป็นสรวงสวรรค์ของผู้ฝึกยุทธ์