Chapter 202: ปิศาจ
บนที่ราบ ขบวนเดินทางเล็ก ๆ เคลื่อนไปตามเส้นทางยากลําบาก
ตามที่ออี้เจี้ยนพูด สภาพแวดล้อมรอบ ๆ แถบนี้นั้นแห้งแล้งลําเค็ญบางครั้งก็มีพายุน้ําแข็งอุณหภูมิลดต่ําอย่างมากในเวลากลางคืนสัตว์ป่าในแถบทุ่งน้ําแข็งบางครั้งก็ปรากฏตัวขึ้นและหากไม่มีการปกป้องจากค่ายกลเวทย์พวกเขาก็ยากที่จะเอาชีวิตรอดได้
หมู่บ้านจัดเตรียมสินค้าใส่เกวียนตามปกติและมุ่งหน้าสู่เมืองซิงลั่วใช้อาหารคุณภาพต่ําจํานวนมาก พวกเขาจึงสามารถแลกเอาเกลือคุณภาพดี อาวุธ และสิ่งจําเป็นที่ต้องใช้ในการดํารงชี วิตมาได้
แน่นอนว่า เกวียนที่ใหญ่ที่สุดย่อมเป็นสิ่งของที่เตรียมไว้เป็นส่วยสําหรับจ้าวแห่งกลไกในเมืองซิงลั่วเพื่อให้เขามาดูแลค่ายกลให้อย่างต่อเนื่อง
น่าเสียดายที่ผู้ที่มีประสบการณ์และเป็นที่นับถือที่สุดในหมู่บ้านคือหัวหน้าหมู่บ้านสือ อันที่จริง เขาก็ยังนับว่าไร้ประสบการณ์และทําได้เพียงโอ้อวดเรื่องการเดินทางและประสบกา รณ์ในเมืองซิงลั่วสมัยเขายังอ่อนวัยกว่านี้สําหรับฟางหยวนแล้ว นี่ไม่นับว่ามีคุณค่าใด
“เมืองซิงลั่วอยู่ข้างหน้านั่น พวกเราจะไปถึงภายใน 8 วัน!”
ในขบวน อวเงี่ยนตื่นเต้นมาก
ขบวนประกอบด้วยผู้คนมากมายและยังมีกระสอบที่บรรจุของไว้เต็มหลายใบอยู่ในเกวียนสัตว์ที่ลากเกวียนคือหมูป่าดําตัวยักษ์ มันมีหนอกอยู่บนหลังและเต็มไปด้วยชั้นไขมัน
ตามที่อวีเจียนเล่า “หมูปาดหนอกเดี่ยว” นั้นเป็นสิ่งมีชีวิตสุดแสนธรรมดาของที่นี่ มันถูกใช้เป็นพาหนะโดยทั่วไปและชั้นไขมันหนาของมันก็ทําให้มันทนอากาศหนาวได้ดี แม้จะไม่มีอาหาร มันก็ยังสามารถอยู่ได้หลายวันด้วยไขมันที่มันสะสมเอาไว้ นอกจากนี้ มันกินทุกอย่างที่ให้มันกินและที่สําคัญที่สุดเนื้อของมันอร่อยมาก
ตอนที่อธิบาย เด็กชายก็กลืนน้ําลาย ในใจเต็มไปด้วยกลิ่นหอมน่ากินของเนื้อย่าง
ฟางหยวนนั้นก็มีเกวียนสําหรับตัวเองเช่นกัน เขาเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ไม่ต้องเดินเอง มองหมูปาดหนอกเดียวแล้วเขาก็พูดไม่ออก
ทํางานรับใช้มาตลอดชีวิตและยังจบลงด้วยการตกเป็นอาหาร ช่างเป็นสัตว์ที่เสียสละยิ่งนัก
“เอ๋? ขบวนเดินทางครั้งนี้เงียบไปหน่อยหรือเปล่า!”
ผู้คุ้มกันร่างใหญ่ที่นําขบวนชาวบ้านคือหลีหู เขาสูงกว่า 7 จื่อและดูหยิ่งทะนง เขาคลุมร่างด้วยหนังเสือและถือมีดหลอมจากโลหะร้อยชนิด หลังจากเดินไปมารอบ ๆ เขาก็ออกความเห็น
อาณาเขตรอบ ๆ เมืองซิงลั่วนั้นไม่ใช่สถานที่ที่ปลอดภัยนัก ตราบใดที่มันอยู่ติดกับทะเลสาบที่อยู่รอบเมือง อะไรก็เกิดขึ้นได้ที่นั่นและทหารของเมืองก็ไม่ค่อยสนใจนัก
นอกจากนี้ สภาพแวดล้อมอันโหดร้ายก็ทําให้เกิดสัตว์ร้ายประจําถิ่นหลายชนิด และยังมีสัตว์ดี ๆให้ขบวนพ่อค้าล่าด้วย
ก่อนหน้านี้ หลายครั้งที่พวกเขาคุ้มครองสินค้ามา แม้ว่าจะมีชาวบ้านจากหมู่บ้านอื่น ๆ มาร่วมขบวนด้วย ก็ยังถูกลอบทําร้าย ทําให้พวกเขาสูญเสียสินค้าทั้งหมดไป
แต่ว่า การเดินทางครั้งนี้กลับสงบสุข ไม่มีกระทั่งสัตว์ใดให้เห็นในระยะสายตา
“นี่เป็นพลังของผู้ฝึกยุทธ์ผู้เก่งกาจ!”
หลีนุ่มองฟางหยวน ดวงตาเต็มไปด้วยความประทับใจ
“น่าเสียดายที่ข้าชราเกินไปแล้ว ข้าไม่มีความหวังในการเรียนวิทยายุทธ์แล้ว และนายท่านผู้นี้ยังไม่ได้มีทีท่าจะสนใจเด็กคนใดในหมู่บ้านของพวกเรา
เขาถอนหายใจอยู่ในอก ทันใดนั้น เขาก็เห็นอวีเจียนเดินไปคุยกับฟางหยวนและมีสีหน้ามีความหวัง
บางที ความหวังของทั้งหมู่บ้านอาจจะขึ้นอยู่กับเด็กชายคนนี้แล้ว
“สัตว์พื้นถิ่นของทุ่งน้ําแข็ง? เทียบกับสัตว์ทั่วไป สัตว์พวกนี้ก็ดูจะมีคุณสมบัติทางวิญญาณอยู่นิดหน่อยนะ!”
เจตจํานงเวทย์ของเขาสั่น ฟางหยวนตรวจพบงูน้ําแข็งนอนรอจู่โจมอยู่ใกล้ ๆ ฟางหยวนปล่อยร่องรอยพลังเวทย์ออกไปอย่างช้า ๆ
เจ้างูที่สังหารสัตว์อื่น ๆ ไปมากมายระหว่างการเดินทางมาที่นี่และเต็มไปด้วยรังสีของผู้ล่า
แต่ว่า แค่รัศมีพลังเล็กน้อยจากฟางหยวนก็สามารถทําให้เจ้างูหวาดกลัวได้ มันรีบหนีไป
ตลอดทาง ถ้าไม่เพราะฟางหยวนแอบช่วยพวกเขาอยู่ลับ ๆ ขบวนเดินทางเล็ก ๆ นี่คงจะเผชิญหน้ากับอันตรายไปทุกหนแห่ง และมันก็คงเป็นปาฏิหาริย์แล้วถ้ามีผู้ใดสามารถรอดชีวิตไปได้
“ดินแดนนี้ช่างโหดร้ายจริง ๆ”
ฟางหยวนกอบข้าวสีดําขึ้นมาเต็มกํามือและคิดกับตัวเอง
นี่เป็นผลผลิตหลักของหมู่บ้านผานฉือ มันมีรสชาติกลาง ๆ และให้ความรู้สึกเหมือนเม็ดทรายแห้งและไร้รสชาติ ความดีอย่างเดียวของข้าวนี่ก็คือมันสามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็วและทนต่อสภาพอากาศหนาวเย็น นี่เพียงพอให้มันรอดอยู่ได้ในพื้นที่นี้
นอกจากนี้ ใกล้ ๆ กับหมู่บ้านผานฉือนั้นมีที่ดินเพียงไม่มากที่สามารถปลูกข้าวพวกนี้ได้ มันต้องการการดูแลและปกป้องอย่างสม่ําเสมอ ไม่อย่างนั้นก็จะถูกสัตว์ปากินไป ทําให้ผลผลิตลดลง
ในขบวนเดินทางนี้นั้นบรรทุกข้าวทรายดําปริมาณเกือบครึ่งของที่หมู่บ้านเก็บสะสมเอาไว้มา
“ทุกคน ร่าเริงหน่อย!”
หลีหูตะโกน “ พวกเราใกล้ถึงหมู่บ้านหงเยี่ยแล้ว พวกเรามีความสัมพันธ์ที่ดีกับหัวหน้าหมู่บ้านของพวกเขา และพวกเราสามารถขอเขาเข้าพักที่หมู่บ้านสักหนึ่งคืนได้!”
“คราวนี้เป็นการเดินทางที่สงบสุขมาก ถ้าพวกเราสามารถเดินทางแบบนี้ไปจนถึงในเมืองได้พวกเราน่าจะแลกเกลือคุณภาพสูงได้เป็นจํานวนมากและยังอาจจะได้เศษโลหะอีกกว่า 13 ชั่ง…”
อวีเจียนนั้นตามติดผู้ดูแลบัญชีของหมู่บ้านมาตลอดทางและค่อย ๆ เรียนรู้วิธีการคํานวณดวงตาเขาเต็มไปด้วยความดีใจ
ในเมืองซิงลั่ว เด็กทุกคนต้องมีส่วนร่วมในส่วยของหมู่บ้าน ในด้านของการเอาชีวิตรอดทุก ๆ ชีวิตนั้นเท่าเทียมกัน ไม่มีใครได้รับสิทธิพิเศษใด
“หมู่บ้านหงเยี่ย?”
ฟางหยวนถอนหายใจลึกและเรียกหาอวีเจียน “พวกเจ้ามีความสัมพันธ์ที่ดีกับหัวหน้าหมู่บ้านของพวกเขาหรือ?”
“ถูกต้องแล้ว. หมู่บ้านหงเยี่ยอยู่ติดกับเมืองซิงสั่ว พวกเขามีพื้นที่ราบขนาดใหญ่และอุดมสมบูรณ์อยู่ใกล้ ๆ และค่ายกลปกป้องของพวกเขายังแข็งแกร่งกว่าของที่ผานฉือ…”
ดวงตาของอวี่เงี่ยนเต็มไปด้วยความอิจฉา “หัวหน้าหมู่บ้านของพวกเราครั้งหนึ่งเคยช่วยชีวิตหัวหน้าหมู่บ้านหงเยี่ยเอาไว้ ทําให้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขามั่นคง!”
หลังจากหลายวันมานี้ ฟางหยวนก็มีความเข้าใจในสิ่งต่าง ๆ ของดินแดนแถบนี้ดีขึ้น
ในเขตเมืองซิงลั่ว ดินแดนที่อยู่ใกล้เมืองซิงลั่วมากขึ้นก็จะอุดมสมบูรณ์ขึ้น และหมู่บ้านที่ครอบครองดินแดนพวกนี้ก็จะแข็งแกร่งกว่า
หมู่บ้านของอวีเจียนนั้นอยู่ริมขอบดินแดนและแน่นอนว่าเป็นหมู่บ้านที่ยากจนกว่า ตรงกันข้ามหมู่บ้านหงเยี่ยนับว่าอยู่กลาง ๆ แต่ว่า ก็ยังมีสถานการณ์คล้ายกันก็คือถูกเมืองซิงลั่วฉกฉวยประโยชน์เอาไป
หมู่บ้านหงเยี่ยได้ชื่อมาจากใบสีแดงของต้นหงเฟิง” ใบหงเฟิงนี้เป็นส่วนผสมในการปรุงยาหลายตํารับ เพราะว่าเป็นที่ต้องการของเมืองชิงสั่ว ชาวบ้านจึงสามารถเก็บใบไม้พวกนี้กลับมาเมื่อออกล่า ทําให้พวกเขามีฐานะที่ดีกว่าเล็กน้อย
แม้ว่าพวกเขาจะพักอยู่ที่นี่เพียงชั่วคราว อว์เงี่ยนก็ประทับใจในหมู่บ้านหงเยี่ยเป็นอย่างมาก
“นายท่าน ดูนั่นสิ! นั่นปาหงเยี่ยแหละ!”
หลังจากเดินมาอีกระยะหนึ่ง อวีเจี้ยนก็ชี้ไปที่ป่าสีแดงไม่ไกลจากพวกเขานักและร้องออกมาอย่างอิจฉา
พอฟางหยวนมองไป สีหน้าของเขาก็ประหลาด
“รอเดี๋ยว!”
ใบหน้าของหลีหูเริ่มเปลี่ยนเป็นจริงจังเช่นเดียวกัน “ พวกเราจะหยุดอยู่ที่นี่ชั่วคราว ตามข้ามาพวกเราต้องไปดูเสียหน่อย!”
“เกิดอะไรขึ้น?”
อวีเจียนมีสีหน้าสงสัย
“ข้าเกรงว่าหมู่บ้านหงเยี่ยจะประสบปัญหาบางอย่างแล้ว…”
ฟางหยวนส่ายหน้า “ดูนั่น… ไม่มีใครสักคนที่จะออกมาที่สวนรอบ ๆ และปาหงเยี่ย… เจ้าไม่คิดว่ามันสงบเงียบเกินไปหน่อยหรือ?”
“ท่านพูดถูก!”
อวีเจียนพยักหน้าและอึ้งไป “แล้ว แล้วชาวบ้านล่ะ? พวกเขาไปไหนกัน?”
“พวกเราไปดูเถอะ แล้วจะได้คําตอบเอง!”
ฟางหยวนเดินขึ้นหน้าไป มองหลีหู “ไปสิ!”
“ขอรับ!”
หลีหูพยักหน้าและตื่นเต้นขึ้นมา
แม้ว่ามันจะดูลึกลับและเหมือนมีลางไม่ดี แต่การมีนายท่านผู้เก่งกาจและลึกลับเช่นนี้ยินดีไปกับเขาก็ทําให้เขารู้สึกปลอดภัย
เขาเรียกชาวบ้านอีกสองคนที่มีวิทยายุทธ์และใช้กําลังภายในได้มา สั่งให้พวกเขาตามฟางหยวนไปขณะเดินไปทางหมู่บ้านหงเยี่ย
“นายท่าน รอข้าด้วย!”
อวีเจี้ยนกัดฟันเดินตามพวกเขาไปด้วย
“นี่มัน..”
พอพวกเขาไปถึงหมู่บ้านหงเยี่ย หลีหูก็มีสีหน้าไม่ดีนัก
เดิมหมู่บ้านหงเยี่ยนั้นเต็มไปด้วยพลังและชีวิตชีวา แต่ตอนนี้ ทั้งหมดที่พวกเขาเห็นก็คือเลือด! มีเลือดนองเป็นหย่อมใหญ่อยู่ทั่วไปหมด! กลิ่นเหม็นเน่าลอยเต็มอากาศ อว์เงี่ยนหน้าซีดและหันหลังกลับทันที เขาไม่กล้ามองหายนะที่เกิดขึ้นนั่น
“เลือดมนุษย์?”
หลีหูก้มลงไปขยี้เลือดบางจุดด้วยปลายนิ้ว มีความกลัวแฝงอยู่ในน้ําเสียงของเขา
ภาพนี้น่ากลัวเกินไปแล้ว
“แล้วยัง… นี่หมายถึงว่ามีคนตายไปตั้งมาก แล้วศพของพวกเขาล่ะ? ศพของพวกเขาไปไหนแล้ว?”
เขาเข้าไปในเขตแดนของหมู่บ้านอย่างรวดเร็ว
กําแพงหินปกคลุมด้วยตะไคร่ มีอักขระเวทหลายตัวส่องประกายเรืองรอง เห็นได้ชัดว่ามันอยู่ที่นี่มาเป็นปีแล้ว ไม่มีความผิดปกติใดกับค่ายกลปกป้องนี่
แต่ว่า ไม่มีใครหลงเหลืออยู่ในหมู่บ้านเลย!
“ข้าคือหลีหูจากหมู่บ้านผานฉือ! หัวหน้าหมู่บ้านอยู่หรือไม่?”
มองที่หมู่บ้านที่ปกคลุมไปด้วยหมอกบาง ๆ หลีหูก็กัดฟันตะโกนเสียงดัง แต่ไม่มีการตอบสนองใด
เห็นอย่างนี้ เขาก็ยังเงียบ กัดฟันและหันกลับออกมา
“ไปกันเถอะ อย่ามองกลับไป!”
เขาบอกอวีเจียนและชาวบ้านอีกสองคนขณะมุ่งหน้ากลับไปที่ตําแหน่งเดิมของพวกเขา “เดินทางต่อโดยไม่หยุดพัก!”
ขณะที่เขากลับมาที่ขบวนเดินทาง หลีหูก็รีบเร่งหมูป่าดําหนอกเดี่ยวราวกับเป็นบ้าไปและเดินทางต่อ
“เกิดอะไรขึ้น?”
ฟางหยวนนั้นเห็นหมู่บ้านแค่แวบเดียวและไม่แน่ใจหลายอย่าง สิ่งที่โหดร้ายที่สุดก็คือไม่มีวี่แววหรือเงื่อนงําของการฆาตกรรม
ใบหน้าหลีหูแข็งที่อ หลังจากนั้นเป็นครูใหญ่ ในที่สุดเขาก็ยอมพูด น้ําเสียงของเขาแหบแห้ง “ตายโดยไร้ซากศพ และค่ายกลปกป้องยังอยู่ในสภาพปกติ ข้าเกรงว่าพวกเขาจะเจอปิศาจเข้า!”
“ปิศาจ?!”
ฟางหยวนงงงัน
แม้ว่าการฝึกตนของเขาจะถึงจุดสูงเยี่ยม และเคยพบเห็นสิ่งต่าง ๆ มากมายมาก่อน มันก็ยังเป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินการมีตัวตนของปีศาจ
“นายท่าน ท่านไม่รู้หรือ?”
หลีหูอุทานออกมาอย่างตกใจ “ท่านมาจากที่แบบใดกันนี่! ที่นั่นไม่มีปิศาจหรือ? เป็นไปไม่ได้… เกือบทุกปีจะมีหมู่บ้านที่เป็นแบบนี้”
“ข้าเคยได้ยินมาแต่ว่าข้าไม่แน่ใจเรื่องนั้น เล่าให้ข้าฟังสิ”
ฟางหยวนลูบจมูกและดวงตาเต็มไปด้วยความสงสัย
“โอ้”
หลีหูสงสัยแต่ไม่ได้กดดันฟางหยวนต่อ เขาอธิบายเรื่องออกมาให้ฟางหยวนฟังอย่างว่าง่าย“ปีศาจไม่ทิ้งร่องรอยเมื่อพวกมันมาและไป และพวกมันยังไม่มีร่างกาย มันเป็นคําสาปชนิดหนึ่ง!”
“พวกเราไม่รู้ว่ามันมาจากไหน หรือว่าจะไปไหน พวกเรารู้เพียงแค่ทุกครั้งที่มันปรากฏขึ้นมาผู้คนมากมายก็หายตัวไปและเหลือทิ้งเอาไว้เพียงเรื่องประหลาดมากมาย…”
“ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่แข็งแกร่งเพียงใด หรือต่อให้เป็นจ้าวแห่งกลไก ทุกคนล้วนรับ มือมันไม่ได้แต่ว่าสิ่งประหลาดนี่กลับไม่เคยเกิดขึ้นกับเมืองซิงลั่วมาก่อนเลย ที่นั่นเป็นที่เดียวที่พวกเราจะหลบพ้นได้”
ต้นหงเฟิง” คือต้นเมเปิ้ลแดง