Chapter 206: เจ้าเมือง
“อะไรนะ?”
อวี๋เจี่ยนเป็นแค่เด็กผู้ชายคนหนึ่ง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้สัมผัสกับด้านมืดของสังคม
พ่อค้าเจ้าเล่ห์พวกนี้โกงสินค้าของพวกเขาและยังกระทั่งจะส่งพวกเขาเข้าคุก!
“คนต่างถิ่น พวกเจ้าทั้งหมดช่างกล้า ดูเหมือนว่าที่คุกจะเพิ่งเพิ่มห้องขังใหม่ขึ้นมาเสียด้วย!”
หัวหน้าหน่วยทหารลาดตระเวนพูด
ในใจเขา เขากําลังคิด “หมู่บ้านผานฉือไม่มีเบื้องหลังที่แข็งแกร่งอะไร ต่อให้พวกเราฆ่าพวกมันทิ้ง ก็ไม่มีใครมาถามถึง
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าความยุติธรรมอยู่ข้างใคร
“ท่านขอรับ พวกเรายินดียกสินค้าทั้งหมดให้ กรุณาปล่อยพวกเราไปเถอะ!”
หลีหู่ใบหน้าซีดเผือด เขาไม่มีความคิดที่จะต่อกรกับคนพวกนั้นอีกแล้ว และเริ่มอ้อนวอน
“เหอเหอ… นี่คือผลจากการทําให้ข้าเสียอารมณ์!”
พ่อค้าเจ้าเล่ห์หัวเราะอยู่ด้านหนึ่ง “พวกเจ้าทุกคน ไปรับผลจากการกระทําของพวกเจ้าในเหมืองเถอะ! ท่านทหาร รบกวนด้วย!”
“หยุดมือ!”
จางคงฟาน ที่ตอนนี้เป็นผู้ส่งสารปรากฏตัวขึ้น
“ท่านคือ…”
หัวหน้าหน่วยลาดตระเวนตกใจ เมื่อสังเกตเห็นเสื้อผ้าหรูหราของจางคงฟานและยังเครื่องหมายที่บนนั้น เขาก็มีสีหน้าจริงจังขึ้นและโค้งกายคารวะ “นายท่าน!”
ในฐานะจ้าวแห่งกลไก แม้จะเป็นเพียงศิษย์วิญญาณ ทุกคนในเมืองก็ยังแสดงความนอบน้อมอย่างที่สุดในฐานะผู้ที่ดูแลเมืองนี้
“อืม คนพวกนี้”
จางคงฟานมองหลีหูอย่างเครียด ๆ และกัดฟัน “พวกเขาเป็นเพื่อนของข้า… เกิดอะไรขึ้น?”
“อ่า… ไม่มีอะไรขอรับ!”
หัวหน้าหน่วยลาดตระเวนอึ้งไป ระหว่างพ่อค้าคนหนึ่งและจ้าวแห่งกลไก เขาเลือกข้างอย่างรวดเร็ว
เขาหันกลับไปมองพ่อค้าด้วยสายตายุติธรรม “พ่อค้ามิน เจ้ากล่าวโทษคนต่างถิ่นเหล่านี้อย่างไม่มีมูล ตามพวกเราไปที่สํานักงานเมือง พวกเราจําเป็นต้องปิดร้านของเจ้าและจะตรวจสอบดูอีกครั้ง!”
“นี่ นี่”
พ่อค้าเจ้าเล่ห์อึ้งงันไป
คนเบื้องหลังของเขานั้นเป็นเพียงลุงของเขาซึ่งเป็นหัวหน้าหน่วยลาดตระเวนอีกหน่วย ถ้าหากคนพวกนี้ต้องการ “ทําตามกฏที่เขียนไว้” เขาย่อมไม่สามารถขัดขืนได้
นอกจากนี้ เมื่อพ่อค้ามินมองจางคงฟาน ขาเขาก็อ่อนยวบ
เขาไม่เคยคิดเลยว่าคนต่างถิ่นพวกนี้จะมีคนเบื้องหลังเป็นถึงจ้าวแห่งกลไก
นี่เป็นไปได้อย่างไรกัน?
เหตุใดคนที่มีสถานะสูงส่งถึงมาเกี่ยวข้องกับคนชั้นต่ําพวกนี้ได้?
หัวใจของพ่อค้ามินเต็มไปด้วยความเสียใจ แต่ว่า เขารู้ว่าเขาพูดอะไรไม่ได้แล้ว ทุกอย่างนั้นสมเหตุสมผลแล้ว
อย่างไรเสีย เขาก็เป็นคนฉลาด โดยไม่ลังเล เขาก็ยอมรับออกมา “ข้ายอมรับว่าข้าผิดไปเอง! ข้าไม่ควรเชื่อข่าวลือและก่อเรื่องกับคนพวกนี!”
มองหลีหู่กับอวี๋เจี่ยน ตอนนี้เขาก็ยิ้มออกมา “ข้าจะคืนสินค้าของพวกเจ้าให้ และยัง ชดเชยให้พวกเจ้าด้วยเกลือเขียวสิบก้อนเหล็กคุณภาพสูงอีก 1.30 ชั่ง ได้โปรดรับเอาไว้”
หลีหู่และอวี๋เจี่ยนกลอกตา
อันที่จริง พวกเขาทั้งคู่ล้วนไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น และทําไมสถานการณ์ถึงเปลี่ยนไปเช่นนี้
พ่อค้าที่เดิมดุร้าย จู่ ๆ ก็กลายเป็นอ่อนน้อม ถึงขนาดกลัวว่าพวกเขาจะไม่ยอมรับของปลอบขวัญพวกนี้ไว้
“ในเมื่อเรื่องเป็นอย่างนี้แล้ว พวกเขาก็เป็นหนี้บุญคุณการปรากฏตัวของท่านผู้นี้แล้ว!”
หลีหู่มองจางคงฟานและสามารถเดาได้ว่าคนผู้นี้นั้นมีสถานะสูงส่งนัก เขาคุกเข่าลงอย่างรวดเร็ว “ขอบคุณที่ช่วยชีวิตพวกเราไว้ หมู่บ้านผานฉือจะไม่ลืมพระคุณนี้เลย!”
“ไม่ต้องห่วง ข้าเพียงมาทําเรื่องนี้แทนคนผู้อื่นเท่านั้น!”
จางคงฟานนั้นมีสีหน้าไม่ปกตินัก เขาไม่สามารถรับความรู้สึกขอบคุณจากคนพวกนี้ได้
อย่างไรเสีย หากไม่ใช่คําสั่งของอาจารย์ เขาก็คงไม่สนใจชีวิตของคนพวกนี้
“ถ้าอย่างนั้น…”
หลีหู่รู้ขีดจํากัดดี แม้ว่าจางคงฟานจะเป็นคนเบื้องหลังที่แข็งแกร่ง เขาก็ไม่ต้องการดึงดัน ซึ่งอาจจะให้ผลร้ายกลับมาแทน “เช่นนั้นพวกเราก็ปล่อยเรื่องนี้ไปอย่างนี้!”
เขาโค้งกายลงคารวะไปทางหัวหน้าหน่วยลาดตระเวน “ขอบคุณที่คงความยุติธรรมเอาไว้”
“อืม ไม่เป็นไร!”
หัวหน้าหน่วยยิ้ม เขารู้ว่าพวกเขารู้สึกขอบคุณความช่วยเหลือของตน “ข้าชื่อลั่วฟาน หากต่อไปเจ้ามาเมืองซิงลั่ว ก็มาหาข้าได้!”
“ในเมื่อตกลงกันได้แล้ว ข้าก็ขอตัวก่อน!”
จางคงฟานมองไปที่ไกล ๆ และเดินจากมา เขาไม่สนใจว่าคนพวกนั้นจะจัดการเรื่องนั้นอย่าง
“เอ๋? นั่นคือ…”
อวี๋เจี่ยนมองไปทางที่จางคงฟานมุ่งหน้าไป ขยี้ตา เขาคิดว่าเขาเห็นเงาร่างคุ้นเคย หลังจากกระพริบตาหลายครั้ง คนพวกนั้นก็จากไปหมดแล้ว ราวกับเป็นเพียงภาพลวงตา
“น่าจะเป็นท่านผู้นั้นแล้ว!”
หลีหู่เดินมาทางเขาและพูดอย่างมั่นใจ พวกเขามีความสัมพันธ์กับบุคคลที่มีพลังเพียงผู้เดียว “ใครจะรู้ว่าเขาจะยังสามารถสั่งการจ้าวแห่งกลไกได้”
ในน้ําเสียงของเขา แฝงแววเสียดาย
แม้ว่าพวกเขาจะรู้อยู่แล้วว่าฟางหยวนนั้นเหนือธรรมดา ตอนนี้พวกเขาก็บอกได้ว่าสถานะของคนผู้นั้นนั้นเหนือว่าที่พวกเขาจินตนาการไว้มากนัก
ตอนที่ทุกคนกําลังตื่นเต้น ฟางหยวนก็มาถึงอารามของพระคุณเจ้าคงหมิง
“อารามสัมโภคกาย?”
มองป้ายแผ่นใหญ่ เขาก็ยิ้ม “ข้าเคยได้ยินว่า ในทางพุทธมหายาน พระพุทธเจ้านั้นมีตรีกาย คือ สัมโภคกาย ธรรมกาย และนิรมานกาย ทุกกายนั้นมีความสามารถอันไร้จํากัดและไม่สามารถทํานายได้ แล้วพระอาจารย์รูปนี้ท่านฝึกฝนได้กี่กายแล้ว”
“โอ้? ท่านรู้เรื่องการฝึกฝนของมหายานเราด้วย?”
พระคุณเจ้าคงหมิงอึ้งไป แต่หลังจากนั้น เขาก็ส่ายหน้าและถอนหายใจ “บรรพบุรุษของข้าคือพระจากอาณาจักรต้าเฉียน ว่ากันว่าเขาสามารถฝึกสัมโภคกายได้แล้ว แต่ว่า ทายาทของเขาล้วนอ่อนแอและไม่สามารถหนีจากต้าเฉียนได้ ดังนั้น พวกเราจึงสูญเสียคัมภีร์ของตระกูลกว่าครึ่งหนึ่งไป แล้วจะยังเหลือวิชาให้พวกเราได้ฝึกฝนอีกสักเท่าใดกัน? ข้าเองก็ใช้การไม่ได้ และเพียงเข้าใจและค้นพบวิชามายาของค่ายกลเวทย์เพียงไม่กี่อย่างเพียงพอให้ข้าขึ้นเป็นจ้าวแห่งกลไกได้”
เขาดูวุ่นวายใจ เหมือนกําลังคิดถึงวันเวลาเก่าสมัยยังเยาว์วัย
“ข้าเข้าใจแล้ว!”
ฟางหยวนนั้นสนใจในบันทึกเกี่ยวกับค่ายกลเวทย์
แต่ว่า เขารู้ว่าเขาไม่สามารถเปิดเผยความสนใจของเขาออกไปได้โดยตรง ไม่อย่างนั้น ก็จะกลายเป็นการประกาศสงครามกับพวกเขาแล้ว
“ทําไมผู้คิดค้นวิทยายุทธ์ทุกคนถึงไม่ชอบบันทึกคําสอนของตนเอาไว้ให้ครบ ๆ กันนะ?”
เขาคิดกับตัวเองเงียบ ๆ ขณะเดินเข้าไปในอาราม
อารามภายนอกนั้นดูหรูหรา แต่การตกแต่งภายในเรียบง่าย มีต้นไทรที่กิ่งก้านโบกไกวไปมาอยู่ตรงกลางสวน ศาลาทุกหลังได้รับการตกแต่งอย่างสวยงาม มีระฆังและฆ้อง แต่ก็ยังให้ความรู้สึกสงบ
“ความสงบในความวุ่นวาย เป็นที่ที่ดี!”
เห็นที่นี่แล้ว ฟางหยวนก็ถอนหายใจ
“ดีใจที่ท่านชอบ!”
พระคุณเจ้าคงหมิงเอ่ยเชื้อเชิญ “หากท่านชอบ ท่านก็สามารถพักที่นี่ได้นานเท่าที่ท่านต้องการให้”
“ขอบพระคุณท่าน!”
แม้ว่าในนี้จะเป็นสถานที่ที่ดี แต่ต้นไทร พระพุทธรูป และการจัดวางทุกอย่างในอารามทําให้ฟางหยวนรู้สึกอย่างแรงกล้าว่าเขากําลังอยู่ในค่ายกลแบบหนึ่งอยู่
“ข้าเดินเข้าสู่กับดักทั้งที่รู้ใช่ไหมนี่? พระคุณเจ้าคงหมิงตอนนี้คงจะยินดีมากใช่หรือไม่?”
เขาหัวเราะให้ความเขลาของตัวเองอยู่ในใจ ตามพระคุณเจ้าคงหมิงไป เขาไปถึงห้องหนึ่งและก็เข้าพักผ่อน
“เชิญรับอาหารขอรับ!”
ห้องนั่งสมาธินั้นเรียบง่าย ด้านในมีธูปหอมจุดเอาไว้ และไม่มีการตกแต่งใดที่ดูหรูหราที่นี่
หลังจากนั่งสมาธิอยู่ครู่หนึ่ง ฟางหยวนก็ได้ยินเสียงเคาะประตูห้องของเขาอย่างสุภาพ เมื่อเขาเอ่ยอนุญาต ก็มีเณรน้อยเดินเข้ามา “ท่านปรมาจารย์แจ้งพวกเราว่าท่านเป็นแขกผู้ทรงเกียรติของพวกเราและไม่ได้มีข้อจํากัดเรื่องอาหารเช่นพวกเรา ดังนั้นได้โปรดแจ้งพวกเราว่าท่านต้องการรับประทานสิ่งใด และพวกเราจะไปจัดเตรียมมาให้!”
“อืม ขอบคุณมาก!”
ฟางหยวนมองถาดอาหารและพบว่ามันเป็นอาหารจานผัก
มีเห็ดผัดกลิ่นหอม เป็นจานน่าสนใจที่ทําจากวัตถุดิบธรรมดา จานผักอื่น ๆ อีกสองสามจานก็ล้วนน่าสนใจมากด้วยวิธีการปรุงและกลิ่นที่โชยกรุ่น ข้าวที่เตรียมมาเป็นข้าววิญญาณชนิดหนึ่งเรียกกันว่า “สายฟ้าน้อย” ทุกเม็ดนั้นแหลมเรียว ภายในแต่ละเม็ดนั้นมีประกายแสงเล็ก ๆ เมื่อกินเป็นระยะเวลานาน ๆ จะทําให้สามารถต้านทานสายฟ้าได้ เมื่อกินลิ้นจะรู้สึกเหมือนถูกสายฟ้าตวัดใส่เบา ๆ และเป็นจานที่น่าประทับใจ
อาหารมังสวิรัติมื้อนี้เทียบได้กับอาหารของราชวงศ์ แม้ว่าจะไม่มีจานเนื้อเลยก็ตาม
“หากไม่ใช่ว่าข้ายังมีสิ่งที่ต้องไปทํา ที่นี่ย่อมเป็นสถานที่ที่ดีสําหรับข้าที่จะปักหลักอยู่จนชั่วชีวิต”
หลังจากทานอาหารเสร็จ เขาก็ให้เณรน้อยออกไป เขาคิดกับตัวเอง ‘ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องแปลก ๆ ในเมืองนี้ก็คงจะดีกว่านี้’
“เหอเหอ… อาจารย์ฟางหยวน!”
โดยไม่ปล่อยให้ฟางหยวนได้พักผ่อน พระคุณเจ้าคงหมิงมาเยี่ยมเขาด้วยตัวเอง “ท่านมีชื่อเสียงจริง ๆ นั่นแหละ เมื่อเจ้าเมืองได้ยินข่าวการมาถึงของท่าน เขาก็จัดตารางงานอื่นไปไว้คืนนี้และตอนนี้ก็รีบมาขอเข้าเยี่ยมเยียนท่าน…”
“นี่ไม่ใช่เพราะชื่อเสียงของช้า ข้าแน่ใจว่าเป็นเพราะท่านเจ้าเมืองนั้นกังวลถึงชาวบ้านและกระวนกระวายเมื่อได้ยินเรื่องประหลาดในหมู่บ้านหงเยี่ย!”
ฟางหยวนตอบพระคุณเจ้าคงหมิงอย่างสบาย ๆ ซึ่งทําให้เขาอึ้งไปครู่หนึ่ง เขาพูดอะไรอื่นไม่ออกและยิ้มให้ฟางหยวน
อารามสัมโภคกายนั้นค่อนข้างกว้างใหญ่ ที่ด้านหลังนั้นมีสวนขนาดใหญ่ และที่กลางสวนนั้นมีศาลาแปดเหลี่ยมเล็ก ๆ หลังหนึ่ง
ถึงตอนนี้ ที่ในศาลา มีคนผู้หนึ่งรออยู่อย่างอดทน
เขามีดวงตาคมกริบ ให้ความรู้สึกสง่างาม แม้ว่าจะมีรูปลักษณ์เป็นชายวัยกลางคน เขาก็ยังมีผิวขาวเป็นประกาย สวมมงกุฎและไม่ได้ดูแก่ชราแม้แต่นิด แต่กลับดูเต็มไปด้วยชีวิตชีวา
“นี่คือสหายน้อย ฟางหยวน ท่านนั้น?”
เขาเงยหน้าขึ้นมามองฟางหยวนที่เดินเข้ามา เขายิ้ม ดวงตาเต็มไปด้วยความสงสัย
“ข้าคือฟางหยวนจากดินแดนกว้างใหญ่ ยินดีที่ได้พบท่านเจ้าเมือง”
ฟางหยวนคารวะลง และเข้าไปในศาลาโดยไม่ลังเล
“ท่านมาจากแดนไกล และในฐานะเจ้าบ้าน ข้าไม่ได้รับรองท่านแต่แรก กรุณาให้อภัยข้าด้วย!”
เขามีน้ําเสียงต่ําที่มีเสน่ห์ ให้ความรู้สึกเข้มแข็ง และดูยินดีต้อนรับเป็นอย่างมาก
แต่ว่า เพราะอะไรไม่รู้ มองใบหน้าเข้มแข็งและดูสมบูรณ์แบบของเจ้าเมือง ใบหน้าของฟางหยวนก็กระตุก เขารู้สึกอยากจะพุ่งเข้าไปชกเขาสักหมัด
เขาระงับเอาไว้ไม่ไหวแล้ว “ข้าจะไม่ปิดบังความตั้งใจของข้า ข้าตั้งใจจะไปยังอาณาจักรต้าเฉียน แต่ว่า ข้าหลงทาง และข้าก็หวังว่าท่านจะสามารถมอบแผนที่ให้ข้าสักแผ่น…”
“โอ้ว”
เจ้าเมืองซิงลั่วขมวดคิ้ว แสดงความสงสัยออกมา เขาพยักหน้าอย่างช้า ๆ “นั่นเป็นเรื่องเล็กนิดเดียว ไม่ต้องกังวล! ข้าจะส่งคนนําแผนที่มาให้โดยเร็ว”
มองฟางหยวน ดวงตาของเขาก็เต็มไปด้วยความสงสัย “ท่านสามารถ เดินทางมาจากทางใต้ของช่องเขาน้ําแข็งจริงหรือ?”
นรกน้ําแข็งนั้นเป็นอุปสรรคชิ้นใหญ่จากสวรรค์ มันปิดหนทางของคนมากมาย ดังนั้น การปรากฏตัวของฟางหยวนจึงมีความหมายต่อเขามาก