เทพกระบี่มรณะ – 501
ตอนที่ 501 ทักษะการต่อสู้ระดับเซียน
“นายท่าน สิ่งประดิษฐ์นั้นทรงพลังเป็นอย่างมาก หินฮาวไลท์เป็นวัตถุดิบล้ำค่าสามารถนำมันไปใช้สร้างกระบี่คู่สีม่วง-ฟ้า เมื่อท่านสามารถสร้างกระบี่คู่ได้แล้ว ท่านจะเข้าใจพลังของสิ่งประดิษฐ์นี้ได้” จือหยิงพูดขึ้น
เจี้ยนเฉินครุ่นคิดด้วยความสุข “ถ้าข้าสามารถนำมันไปใช้สร้างกระบี่คู่ได้แล้วล่ะก็ มันจะเป็นอาวุธที่เยี่ยมที่สุดที่ข้าขาดหายไป” เจี้ยนเฉินครุ่นคิดสักพักและได้ถามขึ้นมาอีก “จือหยิง, ฉิงโซว มีวัตถุดิบอย่างอื่นที่ต้องใช้ในการสร้างกระบี่คู่อีกหรือไม่ ? รึว่าเพียงหินฮาวไลท์ก็เพียงพอที่จะสร้างอาวุธที่แข็งแกร่งได้แล้ว ? “
“ปกติแล้วไม่ใช่เช่นนั้น หินฮาวไลท์เป็นเพียงวัตถุดิบเท่านั้น เพื่อที่จะสร้างสิ่งประดิษฐ์ที่แข็งแกร่ง มันต้องใช้วัตถุดิบมากกว่านี้และสิ่งที่ต้องใช้นั้นต้องคัดเลือกอย่างระมัดระวัง แต่ท่านไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับปัญหานี้ ฉิงโซวและจือหยิงจะเป็นผู้รับผิดชอบมันเอง” จือหยิงพูดขึ้น
“ถ้าเป็นดังนั้นแล้ว เมื่อไหร่ที่กระบี่คู่สีม่วง-ฟ้าจะสร้างเสร็จ ! ” เจี้ยนเฉินดูใจร้อน สำหรับเขา กระบี่นั้นเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง เนื่องจากกระบี่วายุโปรยของเขาได้พังลงไปแล้ว หัวใจที่พร่ำหากระบี่ของเขานั้นไม่เคยมอดดับลงสักที เพราะความแข็งแกร่งของเขานั้นเทียบเท่าได้กับระดับเซียนสวรรค์ เขานั้นกลัวว่าจะไม่มีอาวุธใดเหมาะสมพอสำหรับความสามารถของเขา เขาไม่เคยมองหากระบี่เล่มใดเพื่อใช้มาก่อน แต่ตอนนี้เขารู้ว่าเขาสามารถสร้างอาวุธที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าอาวุธระดับเซียน กระบี่คู่สีม่วง-ฟ้า เขาแทบจะอดใจรอไม่ไหว
จือหยิงและฉิงโซวนั้นรับรู้ถึงความต้องการกระบี่จากคำพูดของเจี้ยนเฉิน ซึ่งมันทำให้พวกเขาลังเลไปสักพัก จือหยิงได้ตอบกลับไปว่า “นายท่าน การสร้างกระบี่คู่สีม่วง-ฟ้านั้นไม่ใช่เรื่องยากเท่าใดนัก มันต้องใช้ความสามารถเล็กน้อยในการควบคุมไฟเท่านั้น แต่ความยากของมันคือการรวบรวมวัตถุดิบที่ใช้สร้างมัน หินฮาวไลท์เป็นเพียงหนึ่งในวัตถุดิบเหล่านั้น แต่นั่นยังไม่เพียงพอ”
“ถ้าเป็นเช่นนั้นวัตถุดิบชนิดใดเล่าที่เจ้าต้องการ ? ข้าจะให้อาณาจักรฉินหวงจัดหามาให้” ใจของเจี้ยนเฉินเต้นรัว จือหยิงและฉิงโซวได้ทำให้เขาประหลาดใจหลายครั้งแล้ว เขารู้ดีว่าความแข็งแกร่งของอาวุธนั่นคือจิตวิญญาณกระบี่ เขาอดใจไม่ไหวอยากจะใช้อาวุธทรงพลังเช่นนั้น
แม้ว่าความแข็งแกร่งของเจี้ยนเฉินนั้นจะอยู่ในระดับเซียนสวรรค์ มีพลังงานดั้งเดิมของจิตวิญญาณกระบี่ และไม่มีผู้ใดในระดับเซียนสวรรค์สามารถเทียบเขาได้ แต่ระดับเซียนสวรรค์นั้นไม่ได้ยังไม่ได้อยู่ในจุดสูงสุดของทวีปเทียนหยวน ที่สูงกว่าระดับนี้ยังมีเซียนผู้คุมกฎและมีอัจฉริยะมากมายหลายคนที่เก็บตัวอย่างกับฤาษี
แม้ว่าจะไม่รู้ว่าเซียนผู้คุมกฎนั้นน่ากลัวเพียงใดแต่เจี้ยนเฉินก็ประมาณการได้ ผู้เฒ่าเซี่ยวนั้นเคยแสดงให้เขาเห็นว่าความแข็งแกร่งของเซียนผู้คุมกฎ นั่นเป็นเพียงเศษเสี้ยวของความแข็งแกร่งเท่านั้น แม้ว่าเขาจะใช้พลังงานดั้งเดิมของเขาแล้ว แต่เขาก็ยังไม่สามารถสร้างรอยขีดข่วนให้กับผู้เฒ่าเซี่ยวได้เลย
เจี้ยนเฉินนั้นมีปัญหากับตระกูลชิและตระกูลเจียเต๋อ ทั้งสองนั้นมีเซียนผู้คุมกฎคอยหนุนหลัง หลังจากทำลายมรดกอันล้ำค่าของเซียนผู้คุมกฎลง เจี้ยนเฉินมั่นใจว่าทั้งสองตระกูลจะไม่ปล่อยเขาไปแน่ ถ้าเป็นแบบนั้นเซียนผู้คุมกฎจะต้องเคลื่อนไหวแน่ ๆ เจี้ยนเฉินไม่มีทางป้องกันตัวเองได้
นอกจากตระกูลชิและตระกูลเจียเต๋อแล้วยังมีตระกูลหวงและยังมีนิกายพยัคฆ์มังกรอีกต่างหาก ทั้งสองกลุ่มนั้นไม่ใช่พวกที่ถูกข่มเหงได้โดยง่าย และตระกูลหวงก็รู้ดีว่าเขาครอบครอบโครงกระดูกของเซียนผู้คุมกฎ ถึงแม้ว่าเขาจะเคยถูกช่วยโดยตระกูลหวงมาครั้งหนึ่ง แต่ก็ไม่มีสิ่งใดมารับรองว่าที่ตระกูลหวงนั้นช่วยเขาโดยไม่ได้หวังโครงกระดูก เพราะถึงยังไงโครงกระดูกเซียนผู้คุมกฎนั้นก็เป็นสิ่งล้ำค่า
สำหรับนิกายพยัคฆ์มังกรนั้น พวกเขายังคงต้องวุ่นวายอยู่กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอาณาจักรอินทรีสวรรค์ นิกายพยัคฆ์มังกรนั้นมีผู้เก็บตนที่ซึ่งไม่กลัวอาณาจักรฉินหวงอยู่ แม้ว่าตอนนี้เจี้ยนเฉินจะได้รับการปกป้องจากราชาของอาณาจักรฉินหวง แต่อาจจะมีเซียนผู้คุมกฎบางคนเข้ามาปะทะกับอาณาจักรฉินหวงก็เป็นได้ แต่ก็ยังมีความเป็นไปได้ที่บางคนจะไม่ทำเยี่ยงนั้น
นี่เป็นเรื่องสำคัญ แต่เจี้ยนเฉินนั้นยังไม่ได้กังวลถึงสิ่งนั้น แต่ที่เขากังวลจริง ๆ ตอนนี้คือลูกเสือขาว เพราะถ้าเขาไม่เข้าไปยุ่งเรื่องลูกเสือขาว เขาก็ต้องกังวลเรื่องตระกูลกิลลิกันที่อยู่ในเทือกเขาครอส
แม้ว่าเจี้ยนเฉินจะดูเหมือนไม่ทุกข์ร้อนแต่ความกดดันที่เขามีนั้นมหาศาล ซึ่งมันทำให้เขาไม่คิดเรื่องมีภรรยาหรือบุตรแต่อย่างใด ตอนนี้ที่เขาคิดมีเพียงเพิ่มความแข็งแกร่งของตัวเองเท่านั้น
ปัญหาหลังจากอยู่ในระดับเซียนสวรรค์นั้น มันไม่ง่ายเลยที่จะเพิ่มความแข็งแกร่งขึ้นเหมือนแต่ก่อน ถ้าเจี้ยนเฉินใช้พลังงานดั้งเดิมของจิตวิญญาณกระบี่สีม่วง-ฟ้า เขาก็จะไม่แข็งแกร่งขึ้นเลย ดังนั้นเมื่อเจี้ยนเฉินได้ยินว่าสามารถสร้างกระบี่คู่สีม่วง-ฟ้าได้ หัวใจของเขาก็เต้นรัวด้วยความตื่นเต้น
จือหยิงและฉิงโซวดูค่อนข้างมีปัญหา พวกเขาเงียบอยู่สักพักและได้พูดขึ้นมาว่า “นายท่าน วัตถุดิบที่ใช้ในการหลอมกระบี่คู่สีม่วง-ฟ้าขึ้นมานั้นไม่ได้กำหนดตายตัว อีกอย่างวัตถุดิบเหล่านั้นก็มีชื่อแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงบนทวีปเทียนหยวน ถ้าพวกเราดูเพียงแค่ชื่ออย่างเดียว พวกเราคงจะหามันไม่พบ วัตถุดิบทุกชิ้นก็มีลักษณะแตกต่างกันไป แต่ถึงยังไงพวกมันก็ยากที่จะหาพบได้”
“ยกตัวอย่างเช่น หินฮาวไลท์ดูเหมือนว่ามันไม่แตกต่างจากหินธรรมดาเลย น้ำหนักมันค่อนข้างมาก แต่ก็แค่นั้น ในทวีปเทียนหยวนมีหินคล้าย ๆ หินก้อนนี้อยู่มากมาย แต่องค์ประกอบภายในอันยิบย่อยของมันนั้นแตกต่างกัน และยากที่จะหาใครบอกได้ถึงความแตกต่างของมันได้ ดังนั้นถ้าให้ผู้อื่นไปหาแทนพวกเราแล้ว คงยากที่จะหามันได้” จือหยิงพูดขึ้น
“ถ้าเช่นนั้นก็หมายความว่าการที่จะหาวัตถุดิบมาหลอมกระบี่คู่ ั้น ต้องใช้เจ้าสองคนเท่านั้นหรือ ? ” เจี้ยนเฉินถามขึ้น
“ใช่แล้ว นายท่าน นอกจากฉิงโซวและข้าแล้ว ข้ามั่นใจว่าไม่มีผู้ใดสามารถระบุได้ว่าวัตถุดิบนั้นเป็นวัตถุดิบที่ใช้ในการหลอมอาวุธได้เลย” จือหยิงตอบกลับ
เมื่อได้ยินแบบนั้นเจี้ยนเฉินก็แสดงความผิดหวังออกมา โดยปกติแล้วเขาคิดว่าเขาจะได้กระบี่มาและแก้ปัญหาเรื่องอาวุธของเขาเสียที แต่เขาไม่คิดเลยว่าปัญหานี้มันจะเกิดขึ้น
เขาเงียบไปสักครู่ เจี้ยนเฉินได้เริ่มปรับอารมณ์ตัวเองให้เป็นปกติ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่สามารถหลอมกระบี่คู่ขึ้นมาได้ แต่อย่างน้อยเขาก็มีความหวังที่จะสร้างอาวุธขึ้นมาได้ อีกอย่างอาวุธใหม่นี้ก็เป็นถึงกระบี่คู่อันทรงพลัง
หลังจากปลอบใจตนเอง เจี้ยนเฉินได้ถามต่อ “จือหยิง, ฉิงโซว มีวัตถุดิบกี่ชิ้นที่พวกเจ้าต้องใช้ในการหลอมกระบี่คู่ ? “
“นายท่าน กระบี่ที่ถูกสร้างขึ้นด้วยวัตถุดิบในระดับสูงที่สุด พวกมั ใช้วัตถุดิบไปเกือบ 1,000 ชนิด วัตถุดิบแต่ละอย่างนั้นก็มีความหายากของมันและการใช้ที่แตกต่างกัน แต่นายท่านไม่ได้ต้องการกระบี่ประเภทนั้น และวัตถุดิบพวกนั้นก็ไม่ได้นำมาใช้ในการหลอมกระบี่คู่นี้ สิ่งที่นายท่านต้องใช้นั้นมีเพียงวัตถุดิบ 16 ชิ้นเท่านั้น”
เมื่อพูดถึงกับจิตวิญญาณกระบี่ เจี้ยนเฉินก็ได้กลับมารู้สึกตัวอีกครั้ง ในเวลาเดียวกันเขาก็ตระหนักได้ว่ามีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งเดินมาข้างหลังเขาและได้มาปรากฏตัวที่ด้านขวาของเขา
“เจี้ยนเฉิน แค่เพียงหินก้อนเดียวกลับทำให้เจ้าเหม่อได้ขนาดนี้เชียวหรือ ? หินนั่นมีอะไรดี ? มันเป็นไปได้หรือไม่ว่าสามารถนำไปใช้ทำอะไรแปลก ๆ ได้ ? ” เสียงของหมิงตงดังขึ้นถามเจี้ยนเฉิน
เมื่อได้ยินแบบนั้น เจี้ยนเฉินก็ตอบพึมพำกลับไป “หินก้อนนี้เป็นวัตถุดิบเพื่อหลอมอาวุธ ข้าต้องการของแบบนี้อยู่แล้ว”
ใบหน้าของหมิงตงเปลี่ยนไปเคร่งขรึมเมื่อเขาได้ยินสิ่งที่เจี้ยนเฉินพูด หมิงตงนั้นยังไม่รู้ว่าอาวุธเซียนของเจี้ยนเฉินนั้นพังเสียแล้ว เจี้ยนเฉินจึงต้องอธิบายให้เขาฟัง
“หลอมอาวุธเช่นนั้นหรือ ? ผู้พิทักษ์จักรพรรดิ ทำไมเจ้าต้องทำเช่นนั้นด้วย ? รึว่าเจ้าวางแผนว่าจะหลอมอาวุธนั่นให้ตัวเอง ? อาวุธธรรมดานั้นเทียบไม่ได้กับอาวุธเซียนหรอกในเรื่องของความคงทนและความแข็งแกร่ง ในการต่อสู้ระหว่างระดับเซียนสวรรค์นั้น อาวุธธรรมดาก็เปรียบได้กับซี่โครงไก่ดี ๆ นี่เอง —ช่างขมขื่นเสียจริง ๆ ” ฉินหวู่เจี้ยนถามด้วยความสงสัย
เจี้ยนเฉินยิ้มแต่ก็ไม่ได้อธิบายสิ่งใดออกไป เขาเอาหินนี่เก็บลงในแหวนพื้นที่และพูดขึ้น “ทุกคนไปเดินเล่นกันเถอะ เนื่องจากทุกอย่างที่นี่เป็นของเรา เอาสิ่งที่พวกท่านต้องการไปได้เลย”
หลังจากนั้นทุกคนก็ได้แยกย้ายกันออกไปหยิบจับสิ่งของที่ตนต้องการ สำหรับพวกทองหรือไข่มุก เงินหรือสิ่งล้ำค่าอื่น ๆ พวกเขาไม่ได้สนใจเลย เนื่องจากไม่มีใครเลยสักคนที่ขัดสนเรื่องเงิน
ที่ชั้นสามของคลังนั้นมีขนาดค่อนข้างใหญ่ เจี้ยนเฉินเดินอยู่สักพักเพื่อดูให้แน่ใจว่าไม่มีสิ่งใดที่มีค่าต่อเขาเหลืออยู่ ถ้าพวกเขาได้เก็บสิ่งของเสร็จแล้ว สิ่งของที่เหลือนั้นจะถูกมอบให้คนใต้บังคับบัญชาจัดการหรือบางทีอาจนำพวกมันไปขาย ถ้าเป็นแบบนั้นเขาอาจจะพลาดสิ่งล้ำค่าบางอย่างไปก็ได้ นั่นจะเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ถ้าพวกมันถูกขายไป
ในตอนที่เจี้ยนเฉินกำลังเดินผ่านโต๊ะที่ฝุ่นจับโต๊ะหนึ่ง ทันใดนั้นร่างกายของเขาก็ได้หยุดลง เขาสังเกตเห็นแผ่นหินที่อยู่บนโต๊ะ
แผ่นหินนั้นมีรูปร่างสี่เหลี่ยมหนาประมาณ 1 ม. ตอนแรกมันก็ดูปกติดี แต่บนแผ่นนั่นมีรูปแบบมากมายอยู่บนหินนั่น รูปแบบนั่นอ่านออกได้ยากเนื่องจากฝุ่นที่เกาะอยู่
เขาหยิบแผ่นหินขึ้นมาจากโต๊ะและได้เป่าฝุ่นออก และได้เห็นรูปแบบที่จารึกอยู่บนแผ่นหินแผ่นนั้น แต่รูปแบบบนแผ่นหินนั่นก็ไม่สมบูรณ์ ที่เขาเห็นมีเพียงฝ่ามือที่ถือดาบฟาดฟันลงมา ดาบนั่นดูไม่ชัดเจนเนื่องจากขนาดของแผ่นหินนี่มีขนาดเล็ก ทิศทางที่ดาบชี้ไปก็ไม่สามารถสังเกตเห็นได้
เมื่อตาของเจี่ยเฉินสังเกตเห็นรูปแบบนั้น หัวใจของเขาก็รู้สึกตกตะลึงอย่างมาก ความรู้สึกลึกลับแว่บขึ้นมาจากสมองของเขาทำให้เจี้ยนเฉินต้องเข้าไปดูรูปภาพใกล้ ๆ
แม้ว่ารูปแบบมันจะไม่สมบูรณ์และมีเพียงรูปภาพของฝ่ามือและดาบ แต่เจี้ยนเฉินก็รู้สึกได้ถึงพลังของโลกจากรูปภาพรูปนี้ ในตอนที่มันฟันลงมา เจี้ยนเฉินรู้สึกได้ถึงว่ามันมีโลกอยู่ในตัวมันด้วย
“นะ-นี่มัน….” – ดวงตาของเจี้ยนเฉินแสดงอาการตกตะลึงและเหลือเชื่อออกมา รูปแบบนี่ไม่ได้แปลกสำหรับเขาเลย ย้อนกลับไปในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ในเมืองทหารรับจ้าง เขาได้พบกับทักษะระดับเซียน,ทักษะที่เหนือกว่าระดับสวรรค์
สิ่งนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นแผ่นหินที่ไม่มีความพิเศษใด ๆ แต่มันเป็นทักษะต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในทวีปเทียนหยุน — ทักษะการต่อสู้ระดับเซียน