ตอนที่ 516 – บรรพชนตระกูลหวง
ได้ยินเจี้ยนเฉินและแขกผู้มาจากอาณาจักรฉินหวงกล่าวว่าได้รับเชิญจากผู้นำตระกูล หวงหลานและหวงเฟิงก็เคร่งขรึมลงทันทีและเริ่มมองไปที่เจี้ยนเฉินและคนอื่นด้วยแววตาที่แปลกไป
อาณาจักรฉินหวงนั้นไม่ว่าอย่างไรก็ตามย่อมมีเหล่าผู้ที่แข็งแกร่งมากกว่าตระกูลหวง
“พวกเรายินดีเรียนเชิญท่านจากอาณาจักรฉินหวงมายังตระกูลหวง การมาเยือนของพวกท่านเป็นเกียรติแก่ตระกูลหวงอย่างมาก ได้โปรดเข้ามา” ผู้อาวุโสหวงหลานกล่าวขึ้นด้วยท่าทีสุภาพและเดินนำไปด้วยรอยยิ้ม
“ผู้อาวุโสหวงหลานและผู้อาวุโสหวงเฟิง โปรดดำเนินต่อไปตามที่ท่านต้องการ ข้าจะนำพาแขกของเราไปพบกับท่านผู้นำ”ผู้อาวุโสเฟิงกล่าวออกด้วยรอยยิ้ม
หวงหลานและหวงเฟิงก็รู้สึกถึงบางสิ่งทันที ซึ่งผู้นำเคยกล่าวกับพวกเขา ท่านผู้นำนั้นเป็นบุคคลที่สูงส่งเกินกว่าที่เขาจะอาจเอื้อม
“เช่นนั้น พวกเราจะเสียเวลาอันมีค่าเช่นนี้ไปเพื่ออันใด ผู้อาวุโสเฟิง ผู้อาวุโสหยุน พวกเราคงต้องจากไปแล้ว พวกเจ้าต้อนรับแขกของพวกเราเสียเถิด” ผู้อาวุโสหวงเฟิงยิ้มออก ยามเมื่อพวกเขาตระหนักว่าเจี้ยนเฉินและคนอื่น ๆ มาจากอาณาจักรฉินหวง พวกเขาก็มีท่าทีที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
หลังจากการกล่าวอำลากับผู้อาวุโสทั้งสอง อาวุโสเฟิงและผู้อาวุโสหยุนก็นำเจี้ยนเฉินเข้าไปภายใน และเข้าไปยังใจกลางพระราชวังขนาดใหญ่
หลังจากการมาถึง ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งเดินออกมาจากห้องโถง “ผู้อาวุโสเฟิง ผู้อาวุโสหยุน ท่านผู้นำรอคอยท่านอยู่ที่ห้องโถง หากว่าทุกคนมาถึง ได้โปรดเข้ามาภายใน”
ผู้อาวุโสทั้งสองพยักหน้า ก่อนจะนำทางเจี้ยนเฉินและที่ปรึกษาจักรพรรดิทั้งห้าเข้าสู่ห้องโถง
มันมีความกว้างเฉกเช่นโถงต่อสู้ แต่มันถูกเติมเต็มไปด้วยแรงกดดันมหาศาล แต่อย่างไรก็ตาม การประดับประดาตกแต่งภายในนั้นเรียบง่าย เจี้ยนเฉินรับรู้ถึงความยิ่งใหญ่มหาศาลที่มาจากภายในโถง ในทิศทางที่แตกต่างไปจากพระราชวังหลวงของอาณาจักรฉินหวง
โถงนี้แท้จริงได้คงอยู่มาอย่างยาวนาน แม้ว่าสิ่งปลูกสร้างเหล่านี้จะเต็มไปด้วยวัตถุล้ำค่ามากมาย แต่มันก็ไม่อาจคงทน ยามเวลาล่วงเลย ห้องโถงภายในเต็มไปด้วยร่องรอยแห่งกาลเวลา มันช่างยาวนาน แต่ทว่าก็รู้สึกอ้างว้างไม่น้อย
ดวงตาของเจี้ยนเฉินมองไปที่เก้าอี้ราวสัก 20 ตัว ที่สองด้านของโถงขนาดยักษ์ มีผู้อาวุโสทั้งสิบที่ซึ่งมีอายุกว่าเจ็ดสิบปี ที่กำลังนั่งมองอยู่โดยปราศจากคำพูดใด ดวงตาของพวกเขาปิดลง ที่ด้านหน้ามีบัลลังก์หินซึ่งมีชายชราในชุดสีขาวผู้หนึ่งนั่งอยู่บนนั้น มีรอยยิ้มอ่อน ๆ ติดอยู่บนใบหน้า ที่ซึ่งให้ท่าทีที่อบอุ่นและอ่อนโยน ราวกับว่าเขาเป็นชายชราใจดี
ขณะที่เจี้ยนเฉินและกลุ่มคนทั้งเจ็ดเข้ามาภายในห้องโถง ชายชราทั้งสิบลืมตาของเขาขึ้นมาในเวลาพร้อมกัน ดวงตาของพวกเขาส่องประกายและจ้องมองอย่างสงสัยมาที่คนทั้งหก
“ท่านผู้นำ แขกอันทรงเกียรติของเราได้มาถึงแล้ว คนผู้นี้คือบุคคลที่ท่านเชิญ ขณะที่คนที่อยู่ทางด้านหลังเขาคือที่ปรึกษาจักรพรรดิแห่งอาณาจักรฉินหวง” ที่ใจกลางห้องโถง ผู้อาวุโสเฟิงป้องมือของเขาขึ้นและกล่าวกับผู้อาวุโสทั้งหมดที่เก้าอี้ด้านหน้า
“ข้าผู้นี้คือเจี้ยนเฉิน ข้าขอคารวะผู้นำหวง”เจี้ยนเฉินยิ้มออก ขณะที่เขาป้องมือของเขาขึ้น
ผู้อาวุโสที่นั่งอยู่หันกลับมาด้วยรอยยิ้มไปยังเจี้ยนเฉิน “สำหรับผู้พิทักษ์จักรพรรดิของอาณาจักรฉินหวงที่ได้มาเป็นเกียรติแก่ตระกูลหวง มันเป็นเกียรติอย่างมาก โปรดเชิญนั่งเถิด” การทำลายล้างอาณาจักรอินทรีสวรรค์ ที่ไม่ว่าขุมพลังใดก็ต้องจ่ายความสนใจ ดังนั้นตัวตนของเจี้ยนเฉินที่เป็นผู้พิทักษ์จักรพรรดิแห่งอาณาจักรฉินหวง พวกเขาจึงรู้จักตัวตนมานานแล้ว
เจี้ยนเฉินและที่ปรึกษาจักรพรรดิทั้งห้าไม่ได้รอช้าและนั่งลงที่เก้าอี้
ณ ที่นั่งของทุกคน ผู้นำที่นั่งอยู่กล่าวขึ้นเสียงดัง “ให้ข้าแนะนำตัวก่อน ชายชราผู้นี้เป็นผู้นำตระกูลหวงรุ่นที่สอง แต่มันล่วงเลยมากว่าหกสิบปีแล้ว เดิมที ข้าวางแผนที่จะกลับไปยังภูเขา เพื่อที่จะบ่มเพาะพลังและเพิกเฉยต่อครอบครัว แต่การมาเยือนของแขกจากอาณาจักรฉินหวงนั้นสำคัญมากกว่าที่ชายชราผู้นี้จะสามารถมองข้ามไป หากว่ามีอะไรผิดพลาดไป ก็โปรดอภัย”
หลังจากนั้น เจี้ยนเฉินและผู้นำได้แลกเปลี่ยนคำพูดกันอยู่หลายคำ ก่อนที่จะเข้าสู้หัวข้อหลักของปัญหา
“ท่านผู้พิทักษ์จักรพรรดิ มาเวลานี้ ข้าได้เชิญแขกผู้ทรงเกียรติมายังที่นี่ ที่ด้านข้างของเขาคือบรรพชน ตระกูลหวงของเรามีเรื่องบางประการที่จะหารือกับท่านผู้พิทักษ์จักรพรรดิ” ผู้นำกล่าวขึ้น
“ท่านผู้นำโปรดเรียกข้าว่าเจี้ยนเฉินเถิด มันรื่นหูข้ามากกว่า และธุระอันใดได้โปรดให้ท่านผู้นำกล่าวกับข้าได้เลย ไม่ต้องลังเล” เจี้ยนเฉินกล่าวตอบ
“เช่นนั้น ข้าจะเรียกเจ้าว่าเจี้ยนเฉิน” ผู้นำกล่าวต่อ “เจี้ยนเฉิน ข้าได้ยินว่า มันมีมิติลึกลับในเมืองทหารรับจ้างจากปากของหวงหลวน ถูกต้องหรือไม่ ข้านั้น เป็นตัวแทนของตระกูลหวง ขณะที่ข้าต้องกล่าวขอบคุณต่อเจ้าในการปกป้องธนูสุริยันจันทรา”
แม้กระทั่งยุทธภัณฑ์ มันก็นับว่าเป็นสมบัติล้ำค่าของหลายตระกูล ซึ่งรวมถึงงานชุมนุมทหารรับจ้างที่จะมีในรอบครึ่งศตวรรษ มันก็นับว่าสำคัญยิ่ง มันหมายความว่า มันมีความหมายสำหรับตระกูลหวง ตระกูลชิและแม้กระทั่งอาณาจักรฉินหวงที่ใช้เวลาอย่างยาวนานและนับไม่ถ้วนในการส่งคนเข้าไปในการแข่งขันนี้ เพื่อที่บุคคลนั้นจะกลายเป็นราชาทหารรับจ้างที่จะได้รับเอกสิทธิ์ในการบ่มเพาะพลังในดินแดนศักดิ์สิทธิ์สำหรับช่วงเวลาเช่นนี้ มันเป็นทางที่ดีที่จะวางรากฐานเพื่อที่จะกลายเป็นเซียนผู้คุมกฎในอนาคต ที่ซึ่งสิบตระกูลหลัก สำหรับช่วงเวลาในอดีต วิธีการดีที่สุดคือการเตรียมวางรากฐานของคนเพื่อที่จะกลายเป็นเซียนผู้คุมกฎในอนาคต กระทั่งตระกูลใหญ่ ๆ ที่ติดอันดับ มันเป็นการดีที่สุดที่จะส่งเสริมพรสวรรค์อันโดดเด่นของพวกเขาเหล่านั้น เพื่อที่ในวันหนึ่งพวกเขาจะกลายเป็นตระกูลอันดับหนึ่ง มันไม่สำคัญว่าจะกี่ครั้งที่พวกเขาจะเข้าร่วมงานชุมนุมทหารรับจ้าง พวกเขาก็ยังคงได้ทักษะการต่อสู้ระดับสวรรค์กลับมาบ้าน
หวงหลวนเป็นบุคคลหนึ่งที่โดดเด่นซึ่งปรากฏตัวในตระกูลหวง ไม่เพียงแต่นางสืบทอดเลือดสายโดยตรงภายในตระกูลหลัก สำหรับเหตุผลซึ่งท่านผู้นำเลือกที่จะยกยุทธภัณฑ์ให้ ด้วยความหวังที่ว่านางจะแสดงพรสวรรค์อันไม่ธรรมดาภายในงานชุมนุมทหารรับจ้างและหวังจะให้กลายเป็นที่หนึ่ง หากว่านางได้รับการบ่มเพาะพลังภายในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ จากนั้นแล้ว ด้วยพรสวรรค์ของนาง หวงหลวนในอนาคตนั้นจะสามารถตัดผ่านระดับกลายเป็นเซียนผู้คุมกฎ มันจึงเป็นการคุ้มค่ายิ่งที่จะให้นางใช้ธนูสุริยันจันทราในงานชุมนุมทหารรับจ้าง
อย่างไรก็ตาม ตระกูลหวงไม่คาดคิดว่าจะเกิดความผิดพลาดในมิติว่างเปล่า พวกเขาไม่เคยคาดฝันว่าตระกูลชิจะใช้ประโยชน์ภายในมิติว่างเปล่า เพื่อที่จะพยายามและช่วงชิงธนูสุริยันจันทรา ตระกูลหวงจะสูญเสียธนูสุริยันจันทราเพราะว่าพวกเขาขาดการป้องกัน แต่ทว่ามันต้องขอบคุณเจี้ยนเฉิน ยุทธภัณฑ์จึงสามารถกลับไปยังตระกูลหวงได้อย่างปลอดภัย
เจี้ยนเฉินหัวเราะ ยามเมื่อเขาได้ฟังท่านผู้ก่อตั้งกล่าว “ข้าผู้นี้มีวาสนาได้พานพบกับคุณหนูหวงหลวนมาคราก่อน ข้าเพียงใช้หนี้นางสำหรับสิ่งหนึ่ง สิ่งที่เกิดขึ้นภายในมิติที่ว่างเปล่าข้าผู้นี้ เพียงช่วยเหลือหวงหลวน ดังนั้น ท่านผู้นำอย่าได้ให้ความสำคัญมันนัก”
ผู้นำนั้นไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่า เจี้ยนเฉินเคยพบกับหวงหลวนมาก่อน ดังนั้น เขาจึงไม่ได้เสียเวลาที่จะกังวลเกี่ยวกับปัญหาอีกต่อไป
“ยังคงมีเรื่องที่สอง” ท่านผู้นำยังคงกล่าวต่อ แต่หลังจากนั้นชั่วขณะ ความละอายบางอย่างก็ผ่านวาบขึ้นมาบนใบหน้าด้วยท่าทีละอายใจ เขากล่าวกับเจี้ยนเฉิน “เจี้ยนเฉิน ข้ารู้ว่ามีบางสิ่งเกิดขึ้นไม่ไม่กี่วันก่อนหน้านั้น มันไม่ได้มากไปกว่าความผิดพลาดในอดีต พวกเราหวังหวังว่าเจ้าจะไม่ใส่ใจมัน ผู้อาวุโสผู้นั้นได้ถูกลงโทษแล้ว”
เจี้ยนเฉินโบกมือของเขาโดยไม่ใส่ใจ “ข้าได้ลืมเลือนเรื่องเหล่านั้นไปแล้ว ท่านผู้นำอย่าได้กังวล มันเป็นเพียงอาณาจักรฉินกานที่สร้างปัญหา”
ยามเมื่อเห็นว่าเจี้ยนเฉินไม่ได้ใส่ใจในเรื่องของโครงกระดูกของเซียนผู้คุมกฎ ผู้นำก็มีท่าทีผ่อนคลาย ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เขาก็เป็นผู้พิทักษ์จักรพรรดิของอาณาจักรฉินหวง สถานะของเจี้ยนเฉินยังเป็นสิ่งที่ไม่อาจที่จะล่วงเกิน นอกจากนี้ แม้ว่าเขาจะไม่เป็นผู้พิทักษ์จักรพรรดิแห่งอาณาจักรฉินหวง เจี้ยนเฉินยังคงเป็นผู้มีพระคุณของตระกูลหวง ซึ่งการลืมบุญคุณและล่วงเกินผู้มีพระคุณนั้นไม่ใช่สิ่งที่ตระกูลหวงกล้าที่จะทำ
ขณะที่ท่านผู้นำยังคงกล่าวออก ใบหน้าของเขาก็ชะงักไป ขณะที่มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ใบหน้าค่อย ๆ สงบลงอีกครั้ง “เจี้ยนเฉิน บรรพชนของเราปรารถนาที่จะพบกับเจ้า โปรดตามข้ามา ข้าจะพาเจ้าไปยังส่วนลึกของภูเขา ที่ซึ่งพวกท่านพำนักอยู่ โปรดนำที่ปรึกษาจักรพรรดิแห่งอาณาจักรฉินหวงไปพักก่อน”
หลังจากนั้น เซียวเทียนและกลุ่มติดตามสองผู้อาวุโสไป ขณะที่เจี้ยนเฉินติดตามผู้นำไปยังด้านหลังของภูเขา
เจี้ยนเฉินบินตามหลังผู้นำตระกูลหวงไปที่ด้านหลังของภูเขาอย่างรวดเร็ว พวกเขาเข้ามาที่ภูเขารูปดาบซึ่งสูงเสียดเมฆ
บนภูเขานี้ มันมีความสูงราวสักห้าหรือหกพันเมตร และทะยานขึ้นไปยังเมฆที่อยู่เหนือสายตาของผู้คน ที่ซึ่งพาดผ่านเข้ามาในสายตา และทะเลหมอกอันไร้ที่สิ้นสุดปิดกั้นการมองเห็นของทุกสิ่งภายหลังเมฆ
ภูเขาสูงมันไม่ได้มีความกว้างเกินร้อยเมตร อย่างแต่อย่างไรก็ตาม ส่วนสูงของมันก็สูงมากราวกับว่าดาบนั้นมันจะแยกออกสวรรค์ กระทั่งจุดสูงสุดของภูเขาก็ไม่อาจเห็นพื้นที่ได้โดยง่าย
ที่บริเวณจุดยอดด้านบนสุด ที่ซึ่งมีเพียงบ้านเพียงหลังเดียว ที่ซึ่งตั้งตระหง่านอยู่ มันมีลมอยู่ในนั้น บ้านหลังนั้นราวกับว่ามันคงอยู่อย่างยาวนาน บ้านหลังนี้มันช่างเงียบงันและอ้างว้างสำหรับเจี้ยนเฉิน
“ท่านบรรพชน แขกของพวกเราได้มาถึงแล้ว” ผู้นำคำนับด้วยความเคารพต่อบ้านหลังเล็ก ๆ ที่อยู่ตรงหน้า
“เจี้ยนเฉิน เข้ามา” เสียงผู้อาวุโสดังขึ้นจากทางด้านใน
เจี้ยนเฉินป้องมือขึ้น ก่อนที่จะเข้าไปภายในบ้านโดยปราศจากท่าทีลังเลใจ ผู้นำไม่ได้มีแผนที่จะอยู่ต่อ จึงเดินหันหลังกลับและออกจากยอดภูเขาสูง
เจี้ยนเฉินเดินตรงเข้าไปภายในผ่านประตูไม้ บ้านหลังเล็ก ที่ซึ่งไม่ได้มีสิ่งใดมากนักอยู่ภายใน ช่วงเวลาที่เจี้ยนเฉินเดินเข้าไป เขาเห็นชายชราชุดขาวอยู่ภายในนั้น
ผู้อาวุโสกับผมขาวที่ถูกรวบไว้ด้านหลัง ที่ผมของเขามีเชือกไม้ที่รวบไว้ด้านหลัง ที่ดูราวกับว่ามันมีอายุการใช้นานที่ยาวนาน ขาทั้งสองข้างของเขาอยู่ในท่าสมาธิ ขณะที่มือของเขาประสานอยู่ที่ท้อง โดยมีรอยยิ้มจาง ๆ บนใบหน้า ให้ความรู้สึกที่ราวกับเป็นอมตะ