ตอนที่ 698 ปัญหาของตระกูลเทียนฉิน (1)
เจี้ยนเฉินอาบน้ำและเปลี่ยนไปใส่เสื้อผ้าที่สะอาดก่อนที่จะเดินไปที่ห้องโถงเพื่อพบกับฉินหวู่เจี้ยน เมื่อเขาไปถึง หมิงตง, โหยวเยว่และไป๋เหลียนก็กำลังพูดคุยกับฉินหวู่เจี้ยนอยู่
การที่เห็นเจี้ยนเฉินเดินมา ฉินหวู่เจี้ยนหยุดการสนทนาของเขาทันทีและยืนขึ้น เขาคำนับอย่างเคารพไปที่เจี้ยนเฉินและพูด “ฉินหวู่เจี้ยนขอคารวะผู้พิทักษ์จักรพรรดิ!”
เจี้ยนเฉินหัวเราะอย่างสุภาพ เขาไม่ได้ไปนั่งที่เก้าอี้ที่ปลายสุด แต่นั่งลงตรงนั้นเลย “ฉินหวู่เจี้ยน เจ้าไม่จำเป็นต้องสุภาพถึงเพียงนั้น ข้าสงสัยว่า ทำไมเจ้าถึงได้มาไกลจากอาณาจักรเกอซุนถึงที่นี่ได้?”
ฉินหวู่เจี้ยนไม่พูดอ้อมค้อมและตรงไปที่ประเด็น “ขอรายงานต่อผู้พิทักษ์จักรพรรดิ ผู้พิทักษ์จักรพรรดิที่เหลือทั้ง 4 ท่านขอเชิญท่านผู้พิทักษ์จักรพรรดิเจี้ยนเฉินเพื่อไปเยี่ยมเยียนอาณาจักรฉินหวง มันมีเรื่องสำคัญที่ต้องเจรจา”
หลังจากที่ได้ยินเช่นนั้น เจี้ยนเฉินก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เขาครุ่นคิดก่อนถามกลับไปที่ฉินหวู่เจี้ยนด้วยสายตาที่สดใส “ฉินหวู่เจี้ยน เจ้ารู้ไหมว่า ผู้พิทักษ์จักรพรรดิทั้งสี่ต้องการที่จะหารืออะไรกับข้า ? “
ฉินหวู่เจี้ยนส่ายหัวด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย “เรื่องนั้นข้าก็ไม่ทราบเช่นกัน”
เจี้ยนเฉินก้มหัวต่ำลงและครุ่นคิดอยู่สักครู่ มันช่วยไม่ได้ที่จะคิดว่ามีเหตุการณ์ที่น่าสงสัยที่อาณาจักรฉินหวง ซึ่งจะนำให้เกิดอะไรบางสิ่งบางอย่างที่สำคัญ เขาพยักหน้า “ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะรีบมุ่งหน้าไปที่อาณาจักรฉินหวง”
ฉินหวู่เจี้ยนยืนขึ้นจากที่นั่งของเขาแล้วประสานมือ “ท่านผู้พิทักษ์จักรพรรดิ ในเมื่อข้าได้ถ่ายทอดข้อความนี้ให้แก่ท่านแล้ว ภารกิจของฉินหวู่เจี้ยนก็เป็นอันสิ้นสุด ข้าต้องขอตัวก่อนเพื่อไปคุ้มกันอาณาจักรเกอซุน”
ฉินหวู่เจี้ยนไม่ได้อยู่ที่นี่นาน เขาจากกลุ่มทหารรับจ้างอัคนีเพื่อที่จะกลับไปยังอาณาจักรเกอซุน ทันทีที่เขาถ่ายทอดข้อความให้เจี้ยนเฉินเสร็จ
“เจี้ยนเฉิน ตอนนี้ ผู้พิทักษ์จักรพรรดิของอาณาจักรฉินหวง น่าจะรู้แล้วว่าเจ้าเป็นเซียนผู้คุมกฎแล้ว การที่เขาต้องการให้เจ้ากลับไปโดยเร็วนั้น อาจเป็นเพราะมีบางอย่างร้ายแรงเกิดขึ้นหรือไม่ ? ” หมิงตงคาดเดา
เจี้ยนเฉินพยักหน้าเล็กน้อย “ข้าสังหรณ์ใจมานานแล้ว บางทีอาณาจักรฉินหวงอาจจะกำลังประสบปัญหาบางอย่าง ตอนนี้ที่กลุ่มทหารรับจ้างอัคนีก็ไม่ได้มีปัญหาเรื่องอะไรนัก ดังนั้นข้าจะไปเยี่ยมเยียนอาณาจักรฉินหวงซักหน่อยครั้งนี้ ข้าอยากจะรู้ว่าอะไรกันแน่ที่ทำให้ผู้พิทักษ์จักรพรรดิทั้งสี่เรียกหาข้า”
“พี่ชาย ท่านต้องระวังตระกูลกิลลิกันให้ดี แม้ว่าผู้อาวุโสเทียนเจี้ยนจะได้ขับไล่ราชาของตระกูลกิลลิกันไปแล้ว แต่ก็ไม่มีใครรับรองได้ว่าพวกเขาจะไม่ส่งใครมาหาท่านอีก ในความเห็นของข้า ท่านควรพาผู้อาวุโสนูบิส, ผู้อาวุโสเจียเต๋อไท่และท่านตาไปกับท่านด้วยที่อาณาจักรฉินหวง” ไป๋เหลียนกล่าวด้วยความเป็นห่วง
เจี้ยนเฉินส่ายหน้า “เหลียนเอ๋อ เจ้าไม่ต้องเป็นกังวลไป ดัวยพลังที่พี่เจ้ามีในตอนนี้ โดยปกติแล้วใครก็ตามที่ระดับต่ำกว่าเซียนผู้คุมกฎชั้นสวรรค์ที่ 5 คงไม่ใช่คู่มือของข้า และถ้าข้าพบคนที่แข็งแกร่งกว่านั้น พวกผู้อาวุโสคงช่วยอะไรไม่ได้มาก แม้ว่าข้านำพวกนั้นไปด้วย เรื่องที่เกิดขึ้นกับตระกูลกิลลิกันก็ได้ล่วงรู้ไปถึงผู้อาวุโสเทียนแล้วด้วย ดังนั้นคนของตระกูลกิลลิกันคงไม่กล้าเข้ามาที่ทวีปเทียนหยวนอีกครั้ง แล้วพี่ชายของเจ้าจะเป็นอันตรายไปได้อย่างไร?”
ไป๋เหลียนตระหนักลึก ๆ ว่านี่คือความจริง ดังนั้นนางจึงเลิกโน้มน้าวเขา อย่างไรก็ตาม นางก็อดไม่ได้ที่จะเตือนเจี้ยนเฉินเรื่องความปลอดภัยอีกครั้ง
ข่าวที่ว่าคนของตระกูลกิลลิกันได้บุกรุกมายังกลุ่มทหารรับจ้างอัคนีไม่ได้แพร่กระจายออกไปและถูกปกปิดอยู่ภายใน ทั้งหมดเป็นเพราะเจ้าสัตว์อสูรตนนั้นไม่ได้สร้างความวุ่นวายมากนัก ไม่อย่างนั้น ถ้าเขาทำให้วุ่นวายขึ้นมา ทุกคนจะต้องรู้เรื่องและตอนนั้นก็คงเป็นการยากที่จะป้องกันไม่ให้เรื่องนี้แพร่กระจายออกไป
เจี้ยนเฉินค้างคืนที่กลุ่มทหารรับจ้างอัคนี ในตอนเช้าของวันถัดมา เขาออกมาจากห้องพักพร้อมกับลูกเสือและกล่าวคำร่ำลากับทุกคนเล็กน้อย
“เจี้ยนเฉิน กลับมาไว ๆ นะ รักษาตัวระหว่างการเดินทางด้วย ตอนนี้ฝีมือเจ้ารุดหน้าข้าไปมาก แต่ระยะเวลา 3 ปีนี้เกือบจะจบแล้วล่ะ หลังจากเจ้าไป ข้าจะแยกตัวไปฝึกสมาธิเพื่อที่จะเป็นเซียนสวรรค์ให้ได้ก่อนที่เจ้าจะกลับมา” หมิงตงพูดอย่างระมัดระวัง น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความคาดหวังที่เขาพยายามปกปิดไว้
เขาได้ฝึกฝนเพื่อจะเป็นเซียนสวรรค์มา 3 ปีแล้ว
5 นาทีหลังจากนั้น เจี้ยนเฉินก็ได้จากทุกคนไปพร้อมกับลูกเสือที่กำลังหลับอยู่ เขาเดินทางโดยใช้พลังมิติ ซึ่งเหมือนกับว่าเขาได้กลายเป็นสายฟ้า เขาพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยความเร็วที่เหลือเชื่อ เขาถึงระดับความสูงหลายกิโลเมตรบนท้องฟ้าทันที ก่อนที่จะทำให้บรรยากาศรอบรอบดูยุ่งเหยิง เขาได้บินไปข้างหน้าด้วยความเร็ว และในชั่วอึดใจเขาก็หายไป
เจี้ยนเฉินเพิ่มความเร็วและบินขึ้นไปบนท้องฟ้ากว้างใหญ่ มองลงมายังแม่น้ำและภูเขาเบื้องล่างที่กลายเป็นภาพมัว ๆ เขารู้สึกผ่อนคลายร่างกายเล็กน้อยและจิตใจของเขาก็ค่อยค่อยลดความกดดันเรื่องทวีปสัตว์เทวะ และตระกูลผู้พิทักษ์ลงเรื่อย ๆ
หลังจากผ่านไปเกือบ 1 วันในการเดินทาง ดวงอาทิตย์ก็เกือบจะลับขอบฟ้าไปแล้ว เจี้ยนเฉินมาถึงเมืองหว่าลู่เหริน จากนั้นเขาก็ลดระดับลงก่อนถึงเมือง 2-3 กิโลเมตรและเดินเข้าเมือง
เขามาที่เมืองหว่าลู่เหรินเพราะเขาต้องการที่จะมาเยี่ยมนายน้อยคนโตของเผ่าเทียนฉิน ฉินเซียวซึ่งเป็นคนที่เขาไม่ได้พบมาซักพักหนึ่งแล้ว ครั้งที่แล้วเขาไปที่หุบเขายั่งยืนเพื่อที่จะไปรับเจ้าอ้วนน้อย เขาได้มาแวะที่เมืองหว่าลู่เหรินเพื่อที่จะได้พาฉินเซียวไปด้วยกับเขา อย่างไรก็ตามตอนนั้นความลับเรื่องเหมืองทังสเตนได้ถูกเปิดเผยและกลุ่มทหารรับจ้างอัคนีก็อยู่ในสถานการณ์อันตราย เวลามันกระชั้นชิดมาก นี่เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเขาไม่สามารถพาฉินเซียวไปด้วยและต้องใช้ประตูมิติที่อาณาจักรฉินหวงเพื่อกลับไปยังกลุ่มทหารรับจ้างอัคนีโดยตรง
ตอนนี้เขากำลังจะผ่านเส้นทางเดิมที่เคยผ่านมา ไม่ว่าอย่างไรก็ตามเขาคงต้องไปเยี่ยมฉินเซียวพร้อมกับอธิบายเรื่องครั้งก่อน ทั้งหมดนั้นเพราะเจี้ยนเฉินนับถือฉินเซียวเป็นพี่เป็นน้องและไม่ใช่คนอื่นคนไกล
เจี้ยนเฉินเข้ามาในเมืองโดยไม่มีอุปสรรคใด ๆ ภาพถนนที่มีชีวิตชีวาและวุ่นวายเรียกร้องความสนใจของ เจี้ยนเฉิน ซึ่งมันทำให้เขาคิดถึงบ้าน โดยเฉพาะการที่ได้เห็นพ่อค้าที่ดูยุ่งที่กำลังทำค้าขายอยู่ที่ถนน มันช่วยไม่ได้ที่จะทำให้เจี้ยนเฉินคิดว่าเขาเป็นใครมาก่อน เขาลอบถอนใจเบา ๆ
หลายปีที่ผ่านมา เขาไม่เหมือนกับคนพวกนี้หรือ? เขายุ่งในทุก ๆ วัน เดินเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายในป่าที่เต็มไปด้วยสัตว์อสูร เพื่อที่จะต่อสู้อย่างยากลำบากเพื่ออนาคตของเขา น่าจะพูดได้ว่าผู้ยอดยุทธทุก ๆ คนต้องเดินย่ำบนถนนที่เปื้อนเลือดซึ่งออกมาจากศพนับไม่ถ้วน
ไม่มีใครรู้เลยว่าเจี้ยนเฉินได้มาถึงที่หน้าประตูของตระกูลเทียนฉินแล้ว ครั้งนี้ เขาไม่จำเป็นต้องใช้สัมผัสใด ๆ เลยเพื่อที่จะบอกได้ว่าฉินเซียวอยู่ที่ไหน ในตอนนี้ ฉินเซียวอยู่กับผู้คนกลุ่มใหญ่ในหอประชุมของตระกูลเทียนฉิน ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังหารือเรื่องสำคัญกันและแม้แต่บรรยากาศในหอประชุมก็ยังเต็มไปด้วยความตึงเครียด
ในเวลาเดียวกัน เจี้ยนเฉินก็ยังรู้สึกอีกว่าในตระกูลเทียนฉินมีบรรยากาศตึงเครียดแปลก ๆ แม้แต่ยามหน้าประตูก็เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก
เจี้ยนเฉินเดินตรงดิ่งเข้าไปในนั้น แต่ยามก็เหมือนจะไม่รู้เลยว่าเขาอยู่ตรงนั้น แม้แต่สายตาของพวกเขาก็ไม่ขยับ ปล่อยให้เจี้ยนเฉินเดินผ่านประตูเข้าไปง่าย ๆ มันเหมือนว่าพวกเขาไม่ได้สนใจเจี้ยนเฉินเลย
เจี้ยนเฉินเข้ามาที่ลานของตระกูลเทียนฉิน เขาเหมือนเป็นอากาศธาตุ แม้ว่าว่าเขาจะเดินผ่านไปหลายคน แต่ก็ไม่มีใครสังเกตเขาเลย หลังจากนั้นไม่นาน เจี้ยนเฉินก็เดินมาถึงหอประชุมของตระกูลเทียนฉิน ในตอนนี้ ความไม่มีตัวตนของเขาก็ได้หายไปแล้วและทุกอย่างกลับมาสู่สภาพปกติ
ทุก ๆ คนในหอประชุมสังเกตเห็นผู้ที่ไม่ได้ถูกรับเชิญเข้ามา มันทำให้พวกเขาประหลาดใจเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม มีหลายคนในนั้นที่จำเจี้ยนเฉินได้ ทันทีที่เขาเห็นหน้าของเจี้ยนเฉินชัด ๆ พวกเขาจ้องมองไปอย่างว่างเปล่าก่อนจะกลับมาอยู่ในสภาพตึงเครียดอีกครั้ง
“พี่เจี้ยนเฉิน ในที่สุดท่านก็มา แปลกจริง ท่านเข้ามาได้อย่างไรกัน? ทำไมไม่มียามมารายงานข้าเลย ? ” ฉินเซียวลุกขึ้นยืนขึ้นจากที่นั่งทันทีและมายืนตรงหน้าของเจี้ยนเฉินด้วยความสุข
Related