CLS ตอนที่ 176: เจ้าตระกูลจู้
คำพูดที่สองพี่น้องนี้พูดทำให้อี้เทียนหยุนใจสั่นจริงๆ แต่ว่าเขาก็ได้ยินถึงความจริงใจที่สื่อออกมาของพวกเธอ เรื่องนี้เห็นได้จากค่าความชอบ ขนาดเขายังไม่ทันทำอะไร ค่าความชอบของพวกเธอก็มากกว่า 200 แล้ว โดยเฉพาะจู้อวี่เหว่ยที่มีมากกว่า 300!
หมายความว่าถ้าเขาทำภารกิจนี้สำเร็จ ค่าความชอบของพวกเธอที่มีต่อเขาก็จะเพิ่มขึ้นจนถึงระดับสมบูรณ์
“เรื่องนี้ไม่จำเป็น ข้าไม่ได้มีความคิดแบบนั้น” อี้เทียนหยุนยิ้มอายๆ คิดว่าช่างน่าอายจริงๆ
“นี่เป็นความคิดของพวกเรา แค่ท่านช่วยพวกเรามาจนถึงตอนนี้ก็ถือว่าเป็นผู้มีพระคุณของพวกเราแล้ว ถ้าท่านช่วยปลดปล่อยพวกเราได้จริงๆ ก็ถือว่าเป็นของขวัญที่ล้ำค่าที่สุดสำหรับพวกเรา” ในสายตาของพวกเธอเต็มไปด้วยความขอบคุณ “พวกเราเชื่อว่าผู้อาวุโสอี้จะทำพวกเราไปยังหนทางที่ดีที่สุด!”
อี้เทียนหยุนฟังคำพูดของพวกเธอแล้วยิ่งอายขึ้นไปอีก นี่มันจะไปกันใหญ่แล้ว
“เอาล่ะ ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เอาไว้ผลของงานประลองออกมาแล้วค่อยว่ากันอีกที” อี้เทียนหยุนพูดด้วยรอยยิ้ม
“ข้าเชื่อผู้อาวุโสอี้ ในเมื่อท่านมั่นใจ ข้าก็เชื่อว่ามันจะไม่มีปัญหา” จู้อวี่เหว่ยยิ้ม เธอรู้นิสัยอี้เทียนหยุนดี เรื่องที่เขาทำไม่ได้ เขาจะรับปากได้ยังไง
อี้เทียนหยุนส่ายหัว แต่ก็ไม่พูดอะไร
จากนั้น พวกเขาก็แค่รอคอยให้วันประลองมาถึง แต่ก็ไม่นานนัก ไม่ถึงหนึ่งอาทิตย์ก็เริ่มแล้ว ไม่อย่างนั้นพวกเขาคงจะไม่กังวลกันถึงขนาดนี้
หลังจากจัดการห้องรับรองแล้ว เขาก็รอแค่ให้การประลองสลักอาคมของตำหนักซิงเฉินเริ่ม ระหว่างนี้ อี้เทียนหยุนก็ร้องขอวัตถุดิบเพื่อใช้ฝึกฝน ที่เขามาที่นี่ก็เพื่อเพิ่มความชำนาญให้กับการสลักอาคม ดังนั้นเขาต้องการวัตถุดิบที่เหมาะสมเพื่อใช้ฝึกฝน ไม่อาจปล่อยให้เวลาเสียไปเปล่าๆ ได้
“ก๊อก ก๊อก ก๊อก”
เสียงเคาะประตูดังนั้น หมายความว่าถึงเวลาของงานประลองสลักอาคมแล้ว
อี้เทียนหยุนเปิดประตูเดินออกไป เห็นว่าสองพี่น้องคู่นั้นคอยอยู่ข้างนอกก่อนแล้ว
“ผู้อาวุโสอี้ การประลองใกล้จะเริ่มแล้ว พวกเราจำเป็นต้องไปที่ตำหนักซิงเฉินสาขาหลัก ไม่ทราบว่าท่านมีอะไรต้องเตรียมหรือไม่?” จู้อวี่เหว่ยถามขึ้น
“ไม่มีอะไรต้องเตรียม ไปตอนนี้ได้” อี้เทียนหยุนพูด
จู้อวี่เหว่ยพยักหน้า จากนั้นก็พาเขาเดินไปที่ทางเข้า ตรงนั้นมีรถบินจัดเตรียมรอไว้แล้วหลายคัน ผู้จัดการหวงกับพวกก็รออยู่ที่นี่ หลังจากขึ้นรถบินแล้วเสร็จ ก็ทำการบินตรงไปยังตำหนักซิงเฉินสาขาหลักในทันที
การประลองนี้เป็นการประลองของตำหนักซิงเฉินแต่ละตระกูล สำหรับคนนอกนั้น มีเพียงแค่คนที่ได้รับการแนะนำเท่านั้นถึงจะเข้าไปชมได้ คนอื่นไม่มีทางที่จะได้ชม
ระยะทางไม่ได้ไกลเป็นพิเศษ โดยเฉพาะยิ่งเดินทางโดยรถบินแล้ว หลังจากเดินทางมาครึ่งวัน พวกเขาก็มาถึงตำหนักซิงเฉินสาขาหลัก ยังไงก็ตาม ที่นี่ก็ยังไม่ใช่ตำหนักใหญ่โดยสมบูรณ์ แต่เป็นเพียงพื้นที่ภายนอกที่สร้างไว้เท่านั้น
เมื่ออี้เทียนหยุนลงมาจากรถบิน มันไม่ได้มีการตกแต่งอะไรเป็นพิเศษให้น่ามอง มีแต่กำแพงหินที่รอบล้อมพื้นที่เปิด ถ้าคนนอกอยากจะดู นอกเสียจากจะบินได้แล้ว ก็ได้แต่ดูจากตึกสูงที่อยู่ไกลๆ เท่านั้น
เมื่อพวกเขามาถึงที่นี่ ที่นี่ก็เต็มไปด้วยผู้คนที่คราครั่งอยู่แล้ว พวกเขาไม่ได้ไปไหน แต่เหมือนจะเป็นคนที่มาดูการแข่งขันนี้โดยเฉพาะ ที่นี่เรียงรายไว้ด้วยรถบินของแต่ละตระกูล แน่นอนว่าตัวรถแต่ละคันนั้นล้วนแต่ดูหรูหราเตะตา
ยังไงก็ตาม เขาก็เห็นรถบินที่สลักตัวอักษร “จู้” ไว้บนรถ แสดงว่าคนของตระกูลจู้ได้มาถึงที่นี่แล้ว
คนที่เดินออกมาจากรถเป็นชายวัยกลางคน ท่าทางดูแล้วไม่ธรรมดา แสดงท่วงท่าของผู้เชี่ยวชาญออกมาเต็มที่ ระดับของเขาแข็งแกร่งมาก มาถึงระดับก่อแกนวิญญาณขั้นที่ 7 เลยทีเดียว และเมื่อลงมา เขาก็มองมายังพวกเขา ขณะที่สายตาจับจ้องมาที่อี้เทียนหยุนโดยเฉพาะ
“นี่คืออาจารย์สลักอาคมชั้น 4 ที่เจ้าหามาอย่างงั้นเหรอ ช่างเด็กอย่างที่เจ้าบอกจริงๆ” จู้เทียนหงมองสำรวจอี้เทียนหยุน “เจ้าบอกว่าเขาเป็นอาจารย์สลักอาคมชั้น 4 ข้าล่ะไม่อยากจะเชื่อจริงๆ ยินดีที่ได้รู้จัก ข้าคือเจ้าตระกูลจู้ ครั้งนี้ที่เชิญท่านมาก็เพื่อนำชัยชนะมาให้กับตระกูลจู้ของพวกเรา เรื่องอื่นข้าจะไม่พูดมาก ของที่เป็นของท่านก็จะเป็นของท่าน แต่ถ้าท่านทำไม่สำเร็จอย่างที่ตกลงกัน พวกเราคงต้องขอล่วงเกินแล้ว”
เปิดปากมาก็พูดเข้าเรื่องผลประโยชน์กันโต้งๆ เลยทีเดียว ไม่เสียทีที่เป็นถึงระดับเจ้าตระกูล
“วางใจได้ ข้าพูดคำไหนคำนั้น จะไม่ทำให้ท่านผิดหวังอย่างแน่นอน” อี้เทียนหยุนตอบกลับอย่างไม่เค็มไม่จืด
“ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ดี” จู้เทียนหงพยักหน้า “แล้วก็อาจจะมีบางเรื่องที่ท่านไม่ชอบใจ แต่นี่ก็เป็นตัวเลือกที่ลำบากใจของคนที่อยู่ในตำแหน่ง เรื่องที่ท่านอาจจะพูดว่าข้านั้นไร้ความรู้สึก แต่บางครั้งตระกูลจู้ก็ต้องมีผู้เสียสละ ไม่อย่างนั้นทั่วทั้งตระกูลจู้คงถึงกาลอวสาน….. แม้นี่จะโหดร้ายกับพวกเธอ แต่ถ้าไม่ใช่เพราะตระกูลจู้ พวกเธอสองพี่น้องคงมีชะตากรรมที่เลวร้ายยิ่งกว่าตอนนี้ ยังไงก็ตาม ถ้าท่านติด 1 ใน 3 เงื่อนไขทุกอย่างของท่าน พวกเราจะมอบให้อย่างไม่มีบิดพลิ้ว ข้าจะไม่ขัดขวางท่านแม้แต่น้อย กระทั่งจะมอบรางวัลที่ยิ่งใหญ่ยิ่งกว่าให้อีก ทั้งยังจะลงโทษพวกผู้จัดการหลิวที่ไม่มีตาอย่างแรงด้วย!”
จู้เทียนหงบอกกล่าวทุกอย่างกับอี้เทียนหยุน บอกความจริงโดยไม่มีการอ้อมค้อม สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความจริงใจอย่างมาก กระทั่งค้อมตัวให้เขาอย่างไม่มีการถือตัว
การจัดการเรื่องราวของเขาทำให้อี้เทียนหยุนไม่ชอบใจ แต่เขาก็รู้ว่าพวกตระกูลใหญ่ล้วนแต่เป็นอย่างนี้ บางครั้งย่อมต้องมีผู้เสียสละ ไม่อย่างนั้นก็จะจบสิ้นทั้งตระกูล ถ้าการต้องเสียสละสักคนสองคนแล้วทำให้เรื่องทุกอย่างจบ เรื่องนี้ก็เป็นที่เข้าใจได้
“เรื่องที่เจ้าตระกูลจู้พูดนั้นข้าเข้าใจ แต่ข้าก็หวังว่าเมื่อจบเรื่องแล้วจะไม่มีการแทงข้างหลังกันเกิดขึ้นหรอกนะ” อี้เทียนหยุนพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม
“ข้าจู้เทียนหงพูดคำไหนคำนั้น แม้ท่านจะไม่ชอบวิธีจัดการเรื่องราวของข้า แต่นี่ก็คือวิธีชีวิตของข้า ข้าจะไม่มีวันแทงข้างหลังท่านเด็ดขาด เพราะทำไปข้าก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร” จู้เทียนหงพูดอย่างเฉยชา “มีเพียงผลประโยชน์ที่ยั่งยืน ไม่มีเพื่อนที่ถาวร ตราบเท่าที่ท่านช่วยข้า ข้าจะให้ทุกอย่างที่ท่านต้องการ แต่ถ้าท่านไม่มีประโยชน์อะไรกับข้า ข้าก็จะไม่ยุ่งอะไรกับท่าน ไม่หาเรื่องท่าน ทั้งยังไม่แทงข้างหลังท่านอีกด้วย”
“ถึงแม้ว่าครั้งนี้จะไม่ได้ร่วมมือกัน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าครั้งหน้าจะไม่มีโอกาส ข้าไม่ใช่คนที่ชอบหาเรื่องใคร หรือจะให้พูดอีกอย่างก็คือ น้อยครั้งมากที่จะโจมตีใคร ทั้งยังไม่ชอบการลอบโจมตีอีกด้วย”
ช่างเป็นคำตอบที่เรียบง่ายและแข็งกระด้างจริงๆ แม้ว่าจะไม่น่าฟัง แต่ก็เป็นการพูดตรงๆ เห็นได้ชัดว่าตำแหน่งที่เขานั่งอยู่ทำให้เขาต้องทำอย่างนี้ แม้ว่าเขาจะชอบหรือไม่ก็ตาม
“ดีมาก คำพูดนี้ข้าชอบ” อี้เทียนหยุนก็ไม่ได้คิดที่จะญาติดีอะไรกับเขา ตอนนี้แค่ทำการแลกเปลี่ยนกันเท่านั้น
ตัวจู้เทียนหงที่มีนิสัยอย่างนี้ เป็นตัวเลือกที่ดีที่เขาจะแลกเปลี่ยนด้วย ถ้าคิดจะเป็นเพื่อนกับเขา ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการเป็นเพื่อนกับคนแบบนี้คือการหาที่ตาย ถ้าวันไหนที่ท่านหมดประโยชน์แล้วล่ะก็ อีกฝ่ายก็จะไม่มีทางที่จะช่วยเหลือท่าน นี่มันต่างจากคำว่าเพื่อนมากนัก เป็นได้อย่างมากก็แค่การร่วมมือกันเท่านั้น