CLS ตอนที่ 189: สิ้นสุด
“ใครบอกว่าข้าสร้างเป็นแต่ค่ายกลชั้น 1?”
คำพูดนี้ของอี้เทียนหยุนเปรียบได้กับฝ่ามือที่ตบลงบนหน้าของพวกเขา ค่ายกลชั้น 4 ที่ปรากฏตรงหน้าของพวกเขานั้นสร้างออกมาได้สมบูรณ์แบบมาก ทำให้พวกเขาไม่อาจหาที่ติได้ ไม่ว่าจะยากหรือไม่ ขอแค่สร้างออกมาได้เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว
นี่เหมือนกับการกระชากหลินหลี่ออกมาตบหน้ากลางฝูงชน! แค่นี้ก็อธิบายได้แล้วว่า ถ้าไม่ใช่อาจารย์สลักอาคมชั้น 4 แล้วจะสร้างออกมาง่ายๆ อย่างนี้ได้ยังไง!
หลังจากคนรอบๆ ได้เห็น ทันใดนั้นก็พากันตกใจ บอกว่าจะสร้างก็สร้างออกมาจริงๆ เมื่อมองดูใบหน้าของแต่ละคนแล้ว ล้วนแต่มีความตกใจฉายชัดอยู่บนนั้น
ในตอนนี้เอง หลี่เทียนหลงที่ยังไม่ได้ไปไหน เมื่อเห็นฉากนี้เข้า ก็พลันฉวยกระดาษในมืออี้เทียนหยุนขึ้นมาดูอย่างระวัง พร้อมกับพูดชมขึ้นมาว่า “ดี ดีมาก! นี่เป็นค่ายกลชั้น 4 ที่สร้างได้ดีจริงๆ แต่ว่านะ ทำไมเจ้าถึงไม่สร้างค่ายกลชั้น 4 ออกมา? แต่กลับเลือกที่จะสร้างค่ายกลชั้น 1 ออกมาแทน ว่าก็ว่าเถอะ ค่ายกลชั้น 1 ห้าซั้นซ้อนของเจ้ามันยากกว่าค่ายกลชั้น 4 เสียอีก?”
นี่เป็นเรื่องที่คนอื่นๆ ก็สนใจเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าเขามีความสามารถพอที่จะสร้างค่ายกลชั้น 4 ออกมาได้ แต่กลับเลือกที่จะสร้างค่ายกลชั้น 1 ออกมาอย่างเจียมตัว หรือเพราะอยากจะตบหน้าคน? ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง เป้าหมายของเขาก็สำเร็จอย่างที่หวัง
“ที่จริงผู้เยาว์ก็อยากจะทำอย่างนั้นเหมือนกัน แต่เพราะสร้างค่ายกลชั้น 1 ออกมาแล้วโดนดูถูก ทั้งกฎในการประลองยังเป็นแบบนี้อีก ไม่ว่าจะเป็นค่ายกลชั้นไหน ตราบเท่าที่ผลลัพธ์ออกมาดีก็พอ ยิ่งกว่านั้น ใครกันที่บอกว่าการสร้างค่ายกลชั้น 1 ให้ผลไม่คุ้มค่า? ลองดูค่ายกลชั้น 1 ห้าชั้นซ้อนของข้าดีๆ สิ ข้ายึดมั่นในผลลัพธ์ ไม่ใช่ความเลิศหรู!”
อี้เทียนหยุนเผชิญหน้ากับพวกเขาอย่างเฉยชา ตอบสนองพวกเขาด้วยความสงบ
หลี่เทียนหลงคิดตาม จากนั้นก็พูดขึ้นมาอย่างพึ่งเข้าใจ “เมื่อคิดดูดีๆ แล้ว ค่ายกลชั้น 1 ที่เจ้าสร้างขึ้น สุดท้ายก็เป็นแค่ค่ายกลที่ธรรมดาอย่างที่สุด แต่เมื่อซ้อนทับลงไปถึง 5 ชั้น ก็ทำให้พลังของมันแสดงออกมาได้อีกเท่าตัว แต่เมื่อเทียบกับค่ายกลชั้น 4 พื้นฐานที่เสริมธาตุเข้าไป ถ้าเกิดเป็นอาวุธและเครื่องป้องกันของตน การที่จะใช้มันแทนค่ายกลชั้น 4 ออกจะไม่คุ้มสักเท่าไหร่….”
“ใช่ ก็อย่างที่ผู้เยาว์ได้พูดไป ว่าข้ายึดมั่นในผลลัพธ์ไม่ใช่ความเลิศหรู” อี้เทียนหยุนยิ้ม “ก่อนหน้านี้ผู้เยาว์เชื่อว่า ค่ายกลที่สร้างออกมานี้ก็เพียงพอแล้ว…..”
“ฮ่าๆๆ นี่เพราะว่าระดับของเจ้าสูงพอหรอก” หลี่เทียนหลงคิด จากนั้นก็เอ่ยชวนอย่างใจดี “ได้ยินว่าเจ้าเป็นผู้ช่วยที่เจ้าตระกูลจู้เชิญมา แน่นอนว่าระดับจะต้องไม่ธรรมดา แม้ว่าจะไม่รู้ว่าเจ้ามาจากสำนักหรือว่าตระกูลไหน แต่ข้าขอเชิญเจ้ามาเป็นแขกของตำหนักใหญ่เรา พวกเขาให้ความสนใจต่ออัจฉริยะอย่างมาก พวกเราจะไม่ร้องขอให้เจ้าต้องทำอะไรให้ แต่ถ้าเจ้าไม่มีอะไรทำ ก็อยากจะให้ช่วยสร้างค่ายกลให้พวกเราบ้างเท่านั้น”
คำเชิญที่หลี่เทียนหลงเอ่ยออกมานี้ ไม่ต่างอะไรไปจากการตบหน้าหลินหลี่เลย
อี้เทียนหยุนส่งยิ้มอย่างสงบไปให้ พร้อมกับพูดปฏิเสธอย่างมีเล่ห์เหลี่ยมว่า “ขอบคุณสำหรับคำเชิญของเจ้าตำหนักหลี่มาก เพียงแต่ตอนนี้ผู้เยาว์ยังไม่มีความคิดนี้”
“น่าเสียดายจริง” หลี่เทียนหลงยิ้ม จากนั้นก็พูดต่อว่า “หวังว่าเจ้าจะเก็บไปคิด พวกเราจะไม่ทำการควบคุมเจ้าอย่างแน่นอน ทั้งยังจะมอบทรัพยากรที่มากพอให้กับเจ้าด้วย”
“ไว้ผู้เยาว์จะเก็บไปคิดดู” อี้เทียนหยุนพยักหน้าแล้วพูดออกไป
หลังจากเสร็จเรื่องนี้ หลี่เทียนหลงก็ไปจัดการดูแลเรื่องอื่นๆ เขาได้ยื่นกิ่งมะกอกออกไปแล้ว แต่ไม่รู้ว่าอี้เทียนหยุนจะรับไปหรือว่า
ส่วนหลินหลี่ที่อยู่ใกล้ๆ ได้ถูกหลี่เทียนหลงเพิกเฉยโดยสมบูรณ์ ต่อให้ระดับเขาจะไม่เลว แต่หลี่เทียนหลงก็ไม่ได้เอ่ยเชิญเขา แม้ระดับนี้จะดี แต่ก็ไม่มากพอที่จะให้เขาเป็นคนเชิญด้วยตนเอง
เพราะว่าเขาเป็นได้แค่อาจารย์สลักอาคมชั้น 4 เทียม ส่วนอี้เทียนหยุนนั้นเป็นอาจารย์สลักอาคมชั้น 4 เต็มตัวแล้ว จากความสามารถที่แสดงออกมา เขาเห็นได้ชัดว่าระดับของเขาได้มาถึงระดับสุดยอดของอาจารย์สลักอาคมชั้น 4 แล้ว ยิ่งกว่านั้นเขายังเด็กมาก แล้วอย่างนี้จะไม่ให้เขาลดตัวลงไปเชิญด้วยตัวเองได้ยังไง?
นี่ไม่ใช่เพราะความชอบพอของหลี่เทียนหลง แต่เป็นเพราะอี้เทียนหยุนมีค่าพอที่เขาจะเป็นคนเชิญด้วยตัวเอง!
นี่ไม่ต่างอะไรไปจากการตบหน้าหลินหลี่เล่น
“การเดิมพันครั้งนี้ข้าชนะ งั้นข้าจะขอรับรางวัลไปอย่างไม่เกรงใจล่ะนะ” อี้เทียนหยุนยิ้ม พร้อมกับรับแหวนเก็บของไป การเดิมพันนี้เขาชนะ ส่วนหลินหลี่จะคิดยังไงนั้น ไม่เกี่ยวอะไรกับเขา
หลินหลี่หน้าซีด ในสายตามีประกายโกรธแค้นวาบผ่านไม่หยุด เขากัดฟันแน่น ราวกับระยับความโกรธไว้ ไม่ให้อารมณ์โกรธต้องระเบิดออกไป
“ฮึ่ม!” หลินหลี่แค่นเสียงออกมาคำหนึ่ง จากนั้นก็เดินจากไป เขาไม่มีหน้าจะเจอใครแล้ว ทำได้เพียงออกไปจากที่นี่ให้เร็วเท่านั้น
หลินหลี่ที่เดินจากมา อย่างรวดเร็วก็เดินไปหาเจ้าตระกูลหวังด้วยสีหน้าดำคล้ำ
“เจ้าตระกูลหวัง ขอโทษด้วย ครั้งนี้เป็นความผิดของข้าเอง!” หลินหลี่พูดขอโทษออกไป
“เรื่องนี้ไม่อาจพูดว่าเป็นความผิดของเจ้า ยิ่งกว่านั้น ได้อันดับที่ 2 ก็ถือว่าดีแล้ว แต่ไม่รู้ว่าเจ้าหนูนั่นกระโดดออกมาจากไหน เรื่องนี้ต้องสืบให้รู้….. ความแค้นครานี้ ข้าจะไม่ทน!” เจ้าตระกูลหวังพูดอย่างหน้าดำคร่ำเครียด
“เจ้าตระกูลหวัง ที่ท่านพูดหมายถึง…..” หลินหลี่เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย เขาเหมือนเห็นประกายดุร้ายวาบผ่านดวงตาของเจ้าตระกูลหวัง
“มันจะมีชีวิตอยู่ต่อไม่ได้ ดูจากที่มันอยู่ฝั่งเจ้าตระกูลจู้ ครั้งหน้าเจ้าตระกูลจู้จะต้องเป็นคู่แข่งในการขึ้นเป็นรองเจ้าตำหนักของข้าแน่ ครั้งนี้มันเป็นฝ่ายชนะ….. ทั้งเจ้าตำหนักหลี่ยังชื่นชมเจ้าเด็กนั่นอีก เมื่อเป็นอย่างนี้ การที่มันชีวิตอยู่จึงเป็นเรื่องร้ายแรง!” สีหน้าเจ้าตระกูลหวังเย็นชา
หลินหลี่พยักหน้า เป็นอย่างนี้ก็ดี ในฐานะศัตรู แน่นอนว่าต้องทำลายให้สิ้นซาก เพื่อไม่ให้เป็นปัญหาในภายหลัง!
หลังจากพวกเขาจากไป จู้เทียนหงก็หัวเราะ พร้อมกับเดินเข้ามา “เห็นสีหน้าเจ้าตระกูลหวังหรือเปล่า หน้าดำเชียว! นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าเห็นเขาต้องกล้ำกลืนความโกรธไว้ขนาดนั้น ครั้งนี้ลำบากเจ้าแล้วจริงๆ”
“นั่นก็สมกับเขาแล้ว” อี้เทียนหยุนส่งยิ้มเอื่อยๆ กลับไป ที่เขาช่วยจู้เทียนหงนั้นไม่ใช่อะไร แต่เพื่อรับตัวจู้อวี่เหว่ยกับจู้อวี่เสวียนสองพี่น้อง
“เรื่องนี้ข้าเข้าใจ ครั้งนี้เจ้าช่วยข้าไว้มากจริงๆ!” จู้เทียนหงส่งสายตาให้ผู้จัดการหลิวและผู้จัดการหวงให้เข้ามา พวกเขาเดินเข้ามาอย่างขลาดเขลา พร้อมด้วยอาการก้มหัว ไม่กล้าเงยหน้ามองอี้เทียนหยุน
“พวกเจ้าทั้งคู่คงรู้ใช่ไหมว่าต้องทำอะไร?” จู้เทียนหงมองพวกเขาอย่างเย็นชา
ผู้จัดการหวงและผู้จัดการหลิวแม้ว่าจะไม่อยาก แต่ยกมือขึ้น พร้อมกับตบเข้าที่หน้าของตนอย่างแรง จนเกิดรอยฝ่ามือขึ้นบนหน้า
“ขอโทษคุณชายอี้….. นี่เป็นความผิดของพวกเรา เป็นพวกเราที่ปากเสีย มีตาแต่ไร้แวว….” พวกเขาไม่อยากจะทำอย่างนี้ แต่เจ้าตระกูลจู้ได้สั่งมาเป็นพิเศษ พวกเขาจึงทำได้เพียงทำตามคำสั่งอย่างเชื่อฟังเท่านั้น
อี้เทียนหยุนมองพวกเขาอย่างเย็นชา เขาขี้เกียจเกินกว่าจะสนใจสองคนนี้ ในความเห็นของเขา นี่เป็นเพียงการทำร้ายตนเองให้ศัตรูดูเท่านั้น
จู้อวี่เหว่ยกับจู้อวี่เสวียนส่ายหัว แต่ก็ไม่พูดอะไร พวกเขาเพื่อตระกูลจู้แล้ว ทำเรื่องที่ผิดไปมากมายนัก
“ช่างเถอะ เรื่องนี้ก็ได้จบลงแล้ว จากนี้ไป พวกเธอสองคนจะไม่ใช่คนของตระกูลจู้อีก บุญคุณเมื่อก่อนหน้า สิ้นสุดลงวันนี้” อี้เทียนหยุนพูดอย่างจริงจัง
“แน่นอนอยู๋แล้ว ข้าเป็นคนรักษาคำพูด ไม่คิดจะสร้างความรู้สึกอับอายให้กับพวกเธออีกแม้แต่น้อย” จู้เทียนหงพูดด้วยรอยยิ้มบางๆ “จากนี้ไป หวังว่าพวกเราจะร่วมมือกันด้วยดี ส่วนของรางวัลอะไรนั้น เราคุยกันได้”
“ถ้ามีโอกาสล่ะนะ” อี้เทียนหยุนมีสีหน้าเฉยชา ยังไม่คิดที่จะร่วมมืออะไรกับพวกเขาต่อในตอนนี้
จู้เทียนหงส่ายหัว พร้อมกับแอบถอนหายใจอย่างหดหู่ ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องที่ทำลงไปก่อนหน้า พวกเขาจะต้องกลายมาเป็นคู่หูที่ดีต่อกันอย่างแน่นอน ถ้าเขากลายเป็นแขกของตระกูลจู้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่า อำนาจของตระกูลจู้ของพวกเขาจะต้องเพิ่มขึ้นอีกหลายจุด
ส่วนเรื่องจะให้ใช้กำลังกับอี้เทียนหยุนนั้น จู้เทียนหงไม่คิดจะทำ เพราะเขาก็มีอุดมการณ์ของตนอยู่